ลำดับ | คำ | ความหมาย | มีคำศัพท์ทั้งหมด : 4776
---|---|---|
กกุธานที | แม่น้ำที่พระอานนท์ทูลเชิญเสด็จพระพุทธเจ้า ให้ไปเสวยและสรงชำระพระกาย ในระหว่างเดินทางไปเมืองกุสินารา ในวันปรินิพพาน | |
กฏัตตาวาปนกรรม | ดู กตัตตากรรม | |
กฐิน | ตามศัพท์แปลว่า “ไม้สะดึง” คือไม้แบบสำหรับขึงเพื่อตัดเย็บจีวร; ในทางพระวินัยใช้เป็นชื่อเรียกสังฆกรรมอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว เพื่อแสดงออกซึ่งความสามัคคีของภิกษุที่ได้จำพรรษาอยู่ร่วมกัน โดยให้พวกเธอพร้อมใจกันยกมอบผ้าผืนหนึ่งที่เกิดขึ้นแก่สงฆ์ ให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในหมู่พวกเธอ ที่เป็นผู้มีคุณสมบัติสมควร แล้วภิกษุรูปนั้นนำผ้าที่ได้รับมอบไปทำเป็นจีวร (จะทำเป็นอันตรวาสก หรืออุตราสงค์ หรือสังฆาฏิก็ได้ และพวกเธอทั้งหมดจะต้องช่วยภิกษุนั้นทำ) ครั้นทำเสร็จแล้ว ภิกษุรูปนั้นแจ้งให้ที่ประชุมสงฆ์ซึ่งได้มอบผ้าแก่เธอนั้นทราบเพื่ออนุโมทนา เมื่อสงฆ์คือที่ประชุมแห่งภิกษุเหล่านั้นอนุโมทนาแล้ว ก็ทำให้พวกเธอได้สิทธิพิเศษที่จะขยายเขตทำจีวรให้ยาวออกไป (เขตทำจีวรตามปกติ ถึงกลางเดือน ๑๒ ขยายต่อออกไปถึง กลางเดือน ๔); ผ้าที่สงฆ์ยกมอบให้แก่ภิกษุรูปหนึ่งนั้นเรียกว่า ผ้ากฐิน (กฐินทุสสะ); สงฆ์ผู้ประกอบกฐินกรรมต้องมีจำนวนภิกษุอย่างน้อย ๕ รูป; ระยะเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ประกอบกฐินกรรมได้ มีเพียง ๑ เดือนต่อจากสิ้นสุดการจำพรรษา เรียกว่า เขตกฐิน คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ภิกษุผู้กรานกฐินแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ ๕ ประการ (เหมือนอานิสงส์การจำพรรษา; ดู จำพรรษา) ยืดออกไปอีก ๔ เดือน (ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔) และได้โอกาสขยายเขตจีวรกาลออกไปตลอด ๔ เดือนนั้น คำถวายผ้ากฐิน แบบสั้นว่า: “อิมํ, สปริวารํ, ก?ินจีวรทุสฺสํ, สงฺฆสฺส, โอโณ-ชยาม” (ว่า ๓ จบ) แปลว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ผ้ากฐินจีวรกับทั้งบริวารนี้แก่พระสงฆ์” แบบยาวว่า:?“อิมํ, ภนฺเต, สปริวารํ, ก?ินจีวรทุสฺสํ, สงฺฆสฺส, โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, สงฺโฆ, อิมํ, สปริวารํ,ก?ินทุสฺสํ, ปฏิคฺคณฺหาตุ, ปฏิคฺคเหตฺวา จ, อิมินาทุสฺเสน, ก?ินํ, อตฺถรตุ, อมฺหากํ, ทีฆรตฺตํ, หิตาย, สุขาย” แปลว่า “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐินจีวร กับทั้งบริวารนี้แก่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐินกับทั้งบริวารนี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย ครั้นรับแล้ว จงกรานกฐินด้วยผ้านี้ เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ” (เครื่องหมาย , ใส่ไว้เพื่อเป็นที่กำหนดที่จะกล่าวเป็นตอนๆ ในพิธี) | |
กฐินทาน | การทอดกฐิน, การถวายผ้ากฐิน คือการที่คฤหัสถ์ผู้ศรัทธาหรือแม้ภิกษุสามเณร นำผ้าไปถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว ณ วัดใดวัดหนึ่ง เพื่อทำเป็นผ้ากฐิน เรียกสามัญว่า ทอดกฐิน (นอกจากผ้ากฐินแล้วปัจจุบันนิยมมีของถวายอื่นๆ อีกด้วยจำนวนมาก เรียกว่า บริวารกฐิน) | |
กฐินัตถารกรรม | การกรานกฐิน | |
กตญาณ | ปรีชากำหนดรู้ว่าได้ทำกิจเสร็จแล้ว คือ ทุกข์ ควรกำหนดรู้ ได้รู้แล้ว สมุทัย ควรละ ได้ละแล้ว นิโรธ ควรทำให้แจ้งได้ทำให้แจ้งแล้ว มรรค ควรเจริญ ได้เจริญ คือปฏิบัติหรือทำให้เกิดแล้ว (ข้อ ๓ ใน ญาณ ๓) | |
กตเวทิตา | ความเป็นคนกตเวที, ความเป็นผู้สนองคุณท่าน | |
กตัญญุตา | ความเป็นคนกตัญญู, ความเป็นผู้รู้คุณท่าน | |
กตัญญูกตเวทิตา | ความเป็นคนกตัญญูกตเวที | |
กตัญญูกตเวที | ผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้วและตอบแทน แยกออกเป็น ๒ คือ กตัญญู รู้คุณท่าน; กตเวที ตอบแทนหรือสนองคุณท่าน; ความกตัญญูกตเวทีว่าโดยขอบเขต แยกได้เป็น ๒ ระดับ คือ กตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้มีคุณความดีหรืออุปการะต่อตนเป็นส่วนตัว อย่างหนึ่ง กตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้ได้บำเพ็ญคุณประโยชน์หรือมีคุณความดีเกื้อกูลแก่ส่วนรวม เช่นที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้าโดยฐานที่ได้ทรงประกาศธรรมยังหมู่ชนให้ตั้งอยู่ในกุศล-กัลยาณธรรม เป็นต้น อย่างหนึ่ง (ข้อ ๒ ในบุคคลหาได้ยาก ๒) | |
กตัตตากรรม | กรรมสักว่าทำ, กรรมที่เป็นกุศลก็ตามอกุศลก็ตาม สักแต่ว่าทำคือไม่ได้จงใจจะให้เป็นอย่างนั้นโดยตรง หรือมีเจตนาอ่อนไม่ชัดเจน ย่อมให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่น ท่านเปรียบเสมือนคนบ้ายิงลูกศร ย่อมไม่มีความหมายจะให้ถูกใคร ทำไปโดยไม่ตั้งใจชัดเจน; ดู กรรม ๑๒ | |
กตัตตาวาปนกรรม | ดู กตัตตากรรม | |
กติกา | (ในคำว่า “ข้าพเจ้าถวายตามกติกาของสงฆ์”) ข้อตกลง, ข้อบังคับ, กติกาของสงฆ์ในกรณีนี้ คือข้อที่สงฆ์ ๒ อาวาส มีข้อตกลงกันไว้ว่า ลาภเกิดในอาวาสหนึ่ง สงฆ์อีกอาวาสหนึ่งมีส่วนได้รับแจกด้วย ทายกกล่าวคำถวายว่า “ข้าพเจ้าถวายตามกติกาของสงฆ์” ลาภที่ทายกถวายนั้น ย่อมตกเป็นของภิกษุผู้อยู่ในอาวาสที่ทำกติกากันไว้ด้วย | |
กถา | ถ้อยคำ, เรื่อง, คำกล่าว, คำอธิบาย | |
กถาวัตถุ | ถ้อยคำที่ควรพูด, เรื่องที่ควรนำมาสนทนากันในหมู่ภิกษุ มี ๑๐ อย่างคือ ๑. อัปปิจฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย ๒. สันตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสันโดษ ๓. ปวิเวกกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสงัดกายสงัดใจ ๔. อสังสัคคกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ๕. วิริยา-รัมภกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ปรารภความเพียร ๖. สีลกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล ๗. สมาธิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำจิตมั่น ๘. ปัญญากถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา ๙. วิมุตติกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลสและความทุกข์ ๑๐ วิมุตติญาณทัสสนกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดความรู้ความเห็นในภาวะที่หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ | |
กนิฏฐภาดา | น้องชาย | |
กนิษฐภาดา | น้องชาย | |
กบิลดาบส | ดาบสที่อยู่ในดงไม้สักกะประเทศหิมพานต์ พระราชบุตรและพระราชบุตรี ของพระเจ้าโอกกากราช พากันไปสร้างพระนครใหม่ในที่อยู่ของกบิล-ดาบส จึงขนานนามพระนครที่สร้างใหม่ว่า กบิลพัสดุ์ แปลว่า “ที่หรือที่ดินของกบิลดาบส” | |
กบิลพัสดุ์ | เมืองหลวงของแคว้นสักกะ หรือศากยะ ที่ได้ชื่อว่า กบิลพัสดุ์ เพราะเดิมเป็นที่อยู่ของกบิลดาบส บัดนี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล | |
กปิสีสะ | ไม้ที่ทำเป็นรูปหัวลิง ในวันที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนทเถระ ยืนเหนี่ยวไม้นี้ร้องไห้เสียใจว่าตนยังไม่สำเร็จพระอรหัต พระพุทธเจ้าก็จักปรินิพพานเสียแล้ว | |
กพฬิงการาหาร | ดู กวฬิงการาหาร | |
กรณียะ | เรื่องที่ควรทำ, ข้อที่พึงทำ, กิจ | |
กรมการ | เจ้าพนักงานคณะหนึ่งมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในระดับหนึ่งๆ เช่น กรมการจังหวัด กรมการอำเภอ เป็นต้น | |
กรมพระสุรัสวดี | ชื่อกรมสมัยโบราณ มีหน้าที่เกี่ยวกับการรวบรวมบัญชีเลขหรือชายฉกรรจ์ | |
กรรโชก | ขู่เอาด้วยกิริยาหรือวาจาให้กลัว (แผลงมาจาก กระโชก) | |
กรรณ | หู | |
กรรม | การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือ ทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้ สัตว์ตกลงไปตายเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่า บ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย แล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปตาย ก็ไม่พ้นเป็นกรรม) การกระทำที่ดีเรียกว่า กรรมดี ที่ชั่ว เรียกว่า กรรมชั่ว | |
กรรม ๒ | กรรมจำแนกตามคุณภาพหรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุมี ๒ คือ ๑. อกุศลกรรม กรรมที่เป็นอกุศล กรรมชั่ว คือเกิดจากอกุศลมูล ๒. กุศลกรรม กรรมที่เป็นกุศล กรรมดี คือเกิดจากกุศลมูล | |
กรรม ๓ | กรรมจำแนกตามทวารคือทางที่ทำกรรม มี ๓ คือ ๑. กายกรรม การกระทำทางกาย ๒. วจีกรรม การกระทำทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทำทางใจ | |
กรรม ๑๒ | กรรมจำแนกตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผล พระอรรถกถาจารย์รวบรวมแสดงไว้ ๑๒ อย่าง คือ หมวดที่ ๑ ว่าโดยปากกาล คือ จำแนกตามเวลาที่ให้ผล ได้แก่ ๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมกรรมให้ผลในปัจจุบันคือในภพนี้ ๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหน้า ๓. อปราปริย-เวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพต่อๆ ไป ๔. อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ คือ จำแนกการให้ผลตามหน้าที่ ได้แก่ ๕. ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิดหรือกรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด ๖. อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน คือเข้าสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม ๗. อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น คือเข้ามาบีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภก-กรรมนั้นให้แปรเปลี่ยนทุเลาเบาลงหรือสั้นเข้า ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือกรรมแรงฝ่ายตรงข้ามที่เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมสองอย่างนั้นให้ขาดหรือหยุดไปทีเดียว หมวดที่ ๓ ว่าโดยปากทานปริยาย คือจำแนกตามลำดับความแรงในการให้ผล ได้แก่ ๙. ครุกกรรม กรรมหนักให้ผลก่อน ๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม กรรมทำมากหรือกรรมชินให้ผลรองลงมา ๑๑. อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ถ้าไม่มีสองข้อก่อนก็จะให้ผลก่อนอื่น ๑๒. กตัตตากรรม หรือกตัตตา-วาปนกรรม กรรมสักว่าทำ คือเจตนาอ่อนหรือมิใช่เจตนาอย่างนั้น ให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผล | |
กรรมกรณ์ | เครื่องลงอาชญา, ของสำหรับใช้ลงโทษ เช่น โซ่ ตรวน ขื่อ คา เป็นต้น | |
กรรมการ | บุคคลในคณะซึ่งร่วมกันทำงานบางอย่างที่ได้รับมอบหมาย | |
กรรมกิเลส | กรรมเครื่องเศร้าหมอง, การกระทำที่เป็นเหตุให้เศร้าหมอง มี ๔ อย่างคือ ๑. ปาณาติบาต การทำชีวิตให้ตกล่วงคือ ฆ่าฟันสังหารกัน ๒. อทินนาทาน ถือเอาของที่เจ้าของเขามิได้ให้ คือลักขโมย ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม ๔. มุสาวาท พูดเท็จ | |
กรรมฐาน | ดู กัมมัฏฐาน | |
กรรมลักษณะ | ดู กัมมลักขณะ | |
กรรมวัฏฏ์ | ดู กัมมวัฏฏ์ | |
กรรมวาจา | คำประกาศกิจในท่ามกลางสงฆ์, การสวดประกาศ แบ่งเป็น ๒ คือ ญัตติ ๑ อนุสาวนา ๑ | |
กรรมวาจาจารย์ | พระอาจารย์ผู้สวดกรรมวาจาประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในการอุปสมบท | |
กรรมวาจาวิบัติ | เสียเพราะกรรมวาจา, กรรมวาจาบกพร่องใช้ไม่ได้ | |
กรรมวาจาสมบัติ | ฃความสมบูรณ์แห่งกรรมวาจา, คำสวดประกาศถูกต้องใช้ได้ | |
กรรมวิปากญาณ | ปรีชาหยั่งรู้ผลของกรรม แม้จะมีกรรมต่างๆ ให้ผลอยู่มากมายซับซ้อน ก็สามารถแยกแยะล่วงรู้ได้ว่าอันใดเป็นผลของกรรมใด | |
กรรมสิทธิ์ | ความเป็นเจ้าของทรัพย์, สิทธิที่ได้ตามกฎหมาย | |
กรรมมารหะ | ดู กัมมารหะ | |
กรรแสง | ร้องไห้ บัดนี้เขียน กันแสง | |
กรวดน้ำ | ตั้งใจอุทิศบุญกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ พร้อมไปกับหลั่งรินน้ำเป็นเครื่องหมาย และเป็นเครื่องรวมกระแสจิตที่ตั้งใจอุทิศนั้นให้แน่วแน่; เริ่มรินน้ำเมื่อพระองค์หัวหน้าเริ่มสวดยถา รินน้ำหมดพร้อมกับพระหัวหน้าสวดยถาจบ และพระทั้งหมดเริ่มสวดพร้อมกัน จากนั้นวางที่กรวดน้ำลงแล้วประนมมือรับพรต่อไป; คำกรวดน้ำอย่างสั้นว่า “อิทํ โน ?าตีนํ โหตุ” แปลว่า “ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ ... (ออกชื่อผู้ล่วงลับ) และญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าเถิด” จะต่ออีกก็ได้ว่า “สุขิตา โหนฺตุ ?าตโย” แปลว่า “ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด” | |
กระทู้ | หัวข้อ, เค้าเงื่อน | |
กระแสความ | แนวความ | |
กระแสเทศนา | แนวเทศนา | |
กระหย่ง | (ในคำว่า “นั่งกระหย่ง”) นั่งคุกเข่าเอาปลายเท้าตั้งลงที่พื้น ส้นเท้าทั้งสองรับก้น เรียกว่า นั่งกระโหย่ง ก็ได้; บางแห่งว่าหมายถึงนั่งยองๆ | |
กรานกฐิน | ขึงไม้สะดึง คือเอาผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรเข้าขึงที่ไม้สะดึง เย็บเสร็จแล้วบอกแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ร่วมใจกันยกผ้าให้ในนามของสงฆ์ เพื่ออนุโมทนา ภิกษุผู้เย็บจีวรเช่นนั้นเรียกว่า ผู้กรานพิธีทำในบัดนี้คือ ภิกษุซึ่งจำพรรษาครบสามเดือนในวัดเดียวกัน (ต้องมีจำนวน ๕ รูปขึ้นไป) ประชุมกันในอุโบสถ พร้อมใจกันยกผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปหนึ่งในหมู่พวกเธอ ภิกษุรูปนั้นทำกิจ ตั้งแต่ ซัก กะ ตัด เย็บ ย้อมให้เสร็จในวันนั้น ทำพินทุกัปปะอธิษฐานเป็นจีวรครองผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวร แล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์ผู้ยกผ้าให้เพื่ออนุโมทนา และภิกษุนั้นอนุโมทนาแล้ว เรียกว่า กรานกฐิน ถ้าผ้ากฐินเป็นจีวรสำเร็จรูป กิจที่จะต้อง ซัก กะ ตัด เย็บ ย้อม ก็ไม่มี (กราน เป็นภาษาเขมร แปลว่า “ขึง” คือทำให้ตึง กฐิน เป็นภาษาบาลี แปลว่า “ไม้สะดึง” กรานกฐิน ก็คือ “ขึงไม้สะดึง” คือเอาผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรเข้าขึงที่ไม้สะดึง) เขียน กราลกฐิน บ้างก็มี | |
กริยา | ในทางไวยากรณ์ คือรูปสันสกฤตของคำว่า กิริยา | |
กรีษ, กรีส | คูถ อุจจาระ ขี้ | |
กรุณา | ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ , ความหวั่นใจ เมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์ คิดหาทางช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ของเขา; ดู พรหมวิหาร | |
กรุย | หลักที่ปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายกำหนดแนวทางหรือระยะทาง | |
กล่าวคำอื่น | ในประโยคว่า “เป็นปาจิตติยะ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น” ถูกซักอยู่ในท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะให้การตามตรง เอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนเสีย | |
กวฬิงการาหาร | อาหารคือคำข้าว ได้แก่อาหารที่กลืนกินเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย, อาหารที่เป็นวัตถุ (ข้อ ๑ ในอาหาร ๔) | |
กษัตริย์ | พระเจ้าแผ่นดิน, เจ้านาย, ชนชั้นปกครอง หรือนักรบ | |
กสาวเภสัช | น้ำฝาดเป็นยา, ยาที่ทำจากน้ำฝาดของพืช เช่น น้ำฝาดของสะเดา น้ำฝาดกระดอม น้ำฝาดบอระเพ็ด เป็นต้น | |
กสิกรรม | การทำนา, การเพาะปลูก | |
กสิณ | วัตถุอันจูงใจ คือ จูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ เป็นชื่อของกรรมฐานที่ใช้วัตถุสำหรับเพ่งเพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิ มี ๑๐ อย่าง คือ ภูตกสิณ ๔: ๑. ป?วี ดิน ๒. อาโป น้ำ ๓. เตโช ไฟ ๔. วาโย ลม วรรณกสิณ ๔: ๕. นีลํ สีเขียว ๖. ปีตํ สีเหลือง ๗. โลหิตํ สีแดง ๘. โอทาตํ สีขาว และ ๙. อาโลโก แสงสว่าง ๑๐. อากาโส ที่ว่าง | |
กหาปณะ | ชื่อมาตราเงินในสมัยโบราณ ๑ กหาปณะเท่ากับ ๒๐ มาสก หรือ ๔ บาท | |
กะเทย | คนหรือสัตว์ที่ไม่ปรากฏว่าเป็นชายหรือหญิง | |
กังขาเรวตะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เดิมเป็นบุตรของตระกูลที่มั่งคั่ง ชาวพระนครสาวัตถี ได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระศาสดาทรงแสดง มีความเลื่อมใสขอบวช ต่อมาได้สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะในทางเป็นผู้ยินดีในฌานสมาบัติ | |
กังขาวิตรณวิสุทธิ | ความบริสุทธิ์ด้วยหมดสงสัยในนามรูป คือ กำหนดรู้ปัจจัยแห่งนามรูปได้ว่า เพราะอะไรเกิด นามรูปจึงเกิด เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ | |
กังสดาล | ระฆังวงเดือน | |
กัจจานโคตร, กัจจายนโคตร | ตระกูลพราหมณ์กัจจานะ หรือกัจจายนะ | |
กัจจายนปุโรหิต | ปุโรหิตชื่อกัจจายนะ เป็นปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชต กรุงอุชเชนี ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า บรรลุพระอรหัตแล้วขออุปสมบท มีชื่อในพระศาสนาว่า พระ มหากัจจายนะ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางอธิบายความของคำย่อให้พิสดาร | |
กัจฉะ, กัจฉประเทศ | รักแร้ | |
กัญจนา | เจ้าหญิงแห่งเทวทหนครเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสีหหนุ ผู้ครองนครกบิลพัสดุ์ เป็นพระชนนีของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระอัยยิกาของเจ้าชายสิทธัตถะ | |
กัณฐกะ | ชื่อม้าสีขาวที่พระมหาบุรุษทรงในวันออกผนวช | |
กัณฐชะ | อักษรเกิดในลำคอ คือ อ, อา, ก, ข, ค, ฆ, ง | |
กัณฑ์ | หมวด, ตอน, ส่วนของเรื่อง | |
กัณฑกสามเณร | ชื่อสามเณรรูปหนึ่งในครั้งพุทธกาล ผู้กล่าวตู่พระธรรมเป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทที่ ๑๐ แห่งสัปปาณกวรรคในปาจิตติยกัณฑ์ และทรงให้สงฆ์นาสนะเธอเสีย เขียนเป็น กัณฏกะ ก็มี | |
กัณฑ์เทศน์ | ดู เครื่องกัณฑ์ | |
กัณหปักข์ | “ฝ่ายดำ” หมายถึง ข้างแรม; กาฬปักษ์ ก็เรียก; ตรงข้ามกับ ชุณหปักษ์ หรือ ศุกลปักษ์ | |
กัณหปักษ์ | “ฝ่ายดำ” หมายถึง ข้างแรม; กาฬปักษ์ ก็เรียก; ตรงข้ามกับ ชุณหปักษ์ หรือ ศุกลปักษ์ | |
กัตติกมาส | เดือน ๑๒ | |
กัตติกา | 1. ดาวลูกไก่ 2. เดือน ๑๒ ตามจันทรคติ ตกในราวปลายเดือนตุลาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน | |
กัตตุกัมยตาฉันทะ | ความพอใจคือความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำ, ความต้องการที่จะทำ ได้แก่ ฉันทะที่เป็นกลางๆ ดีก็ได้ ชั่วก็ได้ แต่โดยทั่วไปหมายถึงฉันทะที่เป็นกุศล คือกุศลฉันทะ หรือธรรมฉันทะ ต่างจากกามฉันทะที่เป็นแต่ฝ่ายอกุศล | |
กันดาร | อัตคัด, ฝืดเคือง, หายาก, ลำบาก, แห้งแล้ง, ทางที่ผ่านไปยาก | |
กัป, กัลป์ | กาลกำหนด, ระยะเวลายาวนานเหลือเกิน ที่กำหนดว่าโลกคือสกล-จักรวาฬ ประลัยครั้งหนึ่ง (ศาสนาฮินดูว่าเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของพระพรหม) ท่านให้เข้าใจด้วยอุปมาว่าเปรียบเสมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูง ด้านละ ๑ โยชน์ ทุก ๑๐๐ ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรือสิ้นไป กัปหนึ่งยาวนานกว่านั้น; กำหนดอายุของโลก, กำหนดอายุ เรียกเต็มว่า อายุกัป เช่นว่า อายุกัปของคนยุคนี้ ประมาณ ๑๐๐ ปี | |
กัปปมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ | |
กัปปาสิกะ | ผ้าทำด้วยฝ้าย คือผ้าสามัญ | |
กัปปิยะ | สมควร, ควรแก่สมณะที่จะบริโภค, ของที่สมควรแก่ภิกษุบริโภคใช้สอย คือพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ภิกษุใช้หรือฉันได้ เช่น ข้าวสุก จีวร ร่ม ยาแดง เป็นกัปปิยะ แต่สุรา เสื้อ กางเกง หมวก น้ำอบ ไม่เป็นกัปปิยะ สิ่งที่ไม่เป็นกัปปิยะ เรียกว่า อกัปปิยะ | |
กัปปิยการก | ผู้ทำของที่สมควรแก่สมณะ, ผู้ทำหน้าที่จัดของที่สมควรแก่ภิกษุบริโภค, ผู้ปฏิบัติภิกษุ, ลูกศิษย์พระ | |
กัปปิยกุฎี | เรือนเก็บของที่เป็นกัปปิยะ; ดู กัปปิยภูมิ | |
กัปปิยบริขาร | เครื่องใช้สอยที่สมควรแก่สมณะ, ของใช้ที่สมควรแก่ภิกษุ | |
กัปปิยภัณฑ์ | ของใช้ที่สมควรแก่ภิกษุ, สิ่งของที่สมควรแก่สมณะ | |
กัปปิยภูมิ | ที่สำหรับเก็บเสบียงอาหารของวัด, ครัววัด มี ๔ อย่าง คือ ๑. อนุสสาว- นันติกา กัปปิยภูมิที่ทำด้วยการประกาศให้รู้กันแต่แรกสร้างว่าจะทำเป็นกัปปิย-ภูมิ คือพอเริ่มยกเสาหรือตั้งฝาก็ประกาศให้ได้ยินว่า “กปฺปิยภูมึ กโรม” แปลว่า “เราทั้งหลายทำกัปปิยกุฎี” ๒. โคนิสาทิกา กัปปิยภูมิขนาดเล็กเคลื่อนที่ได้ ดุจเป็นที่โคจ่อม ๓. คหปติกา เรือนของคฤหบดีเขาสร้างถวายเป็นกัปปิยภูมิ ๔. สัมมติกา กัปปิยภูมิที่สงฆ์สมมติ ได้แก่กุฎีที่สงฆ์เลือกจะใช้เป็นกัปปิยกุฎี แล้วสวดประกาศด้วยญัตติทุติยกรรม | |
กปฺปิเย อกปฺปิยส?ฺ?ิตา | อาการที่ต้องอาบัติด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร | |
กัปปิละ | ชื่อพราหมณ์นายบ้านของ หมู่บ้านพราหมณ์หมู่หนึ่ง ในแขวงกรุงราชคฤห์ เป็นบิดาของปิปผลิมาณพ | |
กัมปิลละ | ชื่อนครหลวงแห่งแคว้นปัญจาละ | |
กัมพล | ผ้าทอด้วยขนสัตว์ เช่นสักหลาด | |
กัมโพชะ | แคว้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แคว้น แห่งชมพูทวีป มีนครหลวงชื่อทวารกะ บัดนี้อยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน | |
กัมมขันธกะ | ชื่อหมวดหนึ่งในคัมภีร์ จุลลวรรค พระวินัยปิฎก ว่าด้วยนิคหกรรม ๕ ประเภท | |
กัมมลักขณะ | การอันมีลักษณะเป็น (สังฆ)กรรมนั้นได้, กิจการที่มีลักษณะอันจัดเข้าเป็นสังฆกรรมอย่างหนึ่งในสังฆ-กรรมประเภทนั้นได้ แต่ท่านไม่ได้ออกชื่อไว้ และไม่อาจจัดเข้าในชื่ออื่นๆ แห่งสังฆกรรมประเภทเดียวกัน เช่น การอปโลกน์แจกอาหารในโรงฉัน เป็นกัมม-ลักขณะในอปโลกนกรรม การประกาศเริ่มต้นระงับอธิกรณ์ด้วยติณวัตถารก-วินัย เป็นกัมมลักขณะในญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรมที่สวดในลำดับไปในการระงับอธิกรณ์ด้วยติณวัตถารกวินัย เป็นกัมมลักขณะในญัตติทุติยกรรม อุปสมบทและอัพภานเป็น กัมมลักขณะในญัตติ-จตุตถกรรม | |
กัมมวัฏฏ์ | วนคือกรรม, วงจรส่วนกรรม, หนึ่งในวัฏฏะ ๓ แห่งปฏิจจสมุปบาทประกอบด้วยสังขารและกรรมภพ; ดู ไตรวัฏฏ์ | |
กมฺมวิปากชา อาพาธา | ความเจ็บไข้เกิดแต่วิบากของกรรม | |
กัมมสัทธา | ดู สัทธา | |
กัมมัฏฐาน | ที่ตั้งแห่งการงาน, อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ, อุบายทางใจ, วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภท คือ ๑. สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ ๒. วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา (นิยมเขียน กรรมฐาน); ดู ภาวนา | |
กัมมัฏฐาน ๔๐ | คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อาหาเร-ปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ อรูป ๔ | |
กัมมัญญตา | ความควรแก่การงาน, ภาวะที่ใช้การได้ หรือเหมาะแก่การใช้งาน, ความเหมาะงาน | |
กัมมัสสกตาสัทธา | ความเชื่อว่า สัตว์มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว; ดู สัทธา | |
กัมมารหะ | ผู้ควรแก่กรรม คือบุคคลที่ถูกสงฆ์ทำกรรม เช่น ภิกษุที่สงฆ์พิจารณาทำปัพพาชนียกรรม คฤหัสถ์ที่ถูกสงฆ์ดำเนินการคว่ำบาตร เป็นต้น | |
กัลบก | ช่างตัดผม, ช่างโกนผม | |
กัลป์ | ดู กัป | |
กัลปนา | 1. ที่หรือสิ่งอื่นซึ่งเจ้าของอุทิศผลประโยชน์ให้แก่วัด 2. ส่วนบุญที่ผู้ทำอุทิศให้แก่ผู้ตาย | |
กัลยาณคุณ | คุณอันบัณฑิตพึงนับ, คุณ-ธรรมที่ดีงาม, คุณงามความดี | |
กัลยาณชน | คนประพฤติดีงาม, คนดี | |
กัลยาณธรรม | ธรรมอันดี, ธรรมดีงาม, ธรรมของกัลยาณชน; ดู เบญจธรรม | |
กัลยาณปุถุชน | คนธรรมดาที่มีความประพฤติดี, ปุถุชนผู้มีคุณธรรมสูง | |
กัลยาณมิตร | เพื่อนที่ดี, มิตรผู้มีคุณอันบัณฑิตพึงนับ (คุณสมบัติ ดู เพื่อน) | |
กัลยาณมิตตตา | ความมีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว (ข้อ ๓ ในทิฏฐธัมมิกัตถ- สังวัตตนิธรรม ๔) | |
กัลยาณี | นางงาม, หญิงงาม, หญิงที่มีคุณธรรมน่านับถือ | |
กัลลวาลมุตตคาม | ชื่อหมู่บ้าน อยู่ในแคว้นมคธ พระโมคคัลลานะอุปสมบทได้ ๗ วัน ไปทำความเพียรจนอ่อนใจ นั่งโงกง่วงอยู่ พระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศนาโปรด จนได้สำเร็จพระอรหัตที่หมู่บ้านนี้ | |
กัสสปะ | 1. พระนามพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอดีต; ดู พระพุทธเจ้า ๕ 2. ชื่อของพระมหากัสสปเถระเมื่อเรียกตามโคตร ท่านมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ปิปผลิ หรือ ปิปผลิมาณพ 3. หมายถึงกัสสปะสามพี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ เป็นนักบวช ประเภทชฎิล ถือลัทธิบูชาไฟ เป็นที่เคารพนับถือของชาวราชคฤห์ ภายหลังได้เป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้งสามพี่น้องและบริวารหนึ่งพัน ด้วยได้ฟังเทศนาอาทิตตปริยายสูตร จากพระพุทธเจ้า | |
กัสสปโคตร | ตระกูลพราหมณ์กัสสปะ | |
กัสสปสังยุตต์ | ชื่อเรียกพระสูตรหมวดหนึ่ง ในคัมภีร์สังยุตตนิกาย รวบรวมเรื่องเกี่ยวกับพระมหากัสสปไว้เป็นหมวดหมู่ | |
กาจ | ร้าย, กล้า, เก่ง | |
กาพย์ | คำร้อยกรองที่แต่งทำนองฉันท์ แต่ไม่นิยมครุลหุเหมือนฉันท์ทั้งหลาย | |
กาม | ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่, กามมี ๒ คือ ๑.กิเลสกาม กิเลสที่ทำให้ใคร่ ๒. วัตถุกาม วัตถุอันน่าใคร่ ได้แก่ กามคุณ ๕ | |
กามคุณ | ส่วนที่น่าปรารถนาน่าใคร่มี ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่ใคร่น่าพอใจ | |
กามฉันท์, กามฉันทะ | ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น, ความพอใจในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ข้อ ๑ ในนิวรณ์ ๕) | |
กามตัณหา | ความทะยานอยากในกาม, ความอยากได้กาม (ข้อ ๑ ในตัณหา ๓) | |
กามภพ | ที่เกิดของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ในกาม, โลกเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสพกาม ได้แก่ อบายภูมิ ๔ มนุษยโลก และสวรรค์ ๖ ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกาถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตดีรวมเป็น ๑๑ ชั้น (ข้อ ๑ ในภพ ๓) | |
กามราคะ | ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลส-กาม, ความใคร่กาม (ข้อ ๔ ในสังโยชน์ ๑๐, ข้อ ๑ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ข้อ ๑ ในอนุสัย ๗) | |
กามสมบัติ | สมบัติคือกามารมณ์, ความถึงพร้อมด้วยกามารมณ์ | |
กามสังวร | ความสำรวมในกาม, การรู้จักยับยั้งควบคุมตนในทางกามารมณ์ไม่ให้หลงใหลหมกมุ่นใน รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส (ข้อ ๓ ในเบญจธรรม) | |
กามสุข | สุขในทางกาม, สุขที่เกิดจากกามารมณ์ | |
กามสุขัลลิกานุโยค | การประกอบตนให้พัวพันหมกมุ่นอยู่ในกามสุข เป็นที่สุดอย่างหนึ่งในมรรคาที่สุดสอง คือ กาม-สุขัลลิกานุโยค ๑ อัตตกิลมถานุโยค ๑ | |
กามสุคติภูมิ | กามาวจรภูมิที่เป็นสุคติ คือ มนุษย์และสวรรค์ ๖ (จะแปลว่า “สุคติภูมิที่ยังเกี่ยวข้องกับกาม” ก็ได้) | |
กามาทีนพ | โทษแห่งกาม, ข้อเสียของกาม | |
กามารมณ์ | 1. อารมณ์ที่น่าใคร่ น่า ปรารถนา หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ได้แก่กามคุณ ๕ นั่นเอง 2. ในภาษาไทย มักหมายถึงความรู้สึกทางกาม | |
กามาวจร | ซึ่งท่องเที่ยวไปในกามภพ, ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับกาม | |
กามาสวะ | อาสวะคือกาม, กิเลสดองอยู่ในสันดานที่ทำให้เกิดความใคร่; ดู อาสวะ | |
กามุปาทาน | ความยึดติดถือมั่นในกาม ยึดถือว่าเป็นของเราหรือจะต้องเป็นของเรา จนเป็นเหตุให้เกิดริษยาหรือหวงแหน ลุ่มหลง เข้าใจผิด ทำผิด | |
กาเมสุมิจฉาจาร | ความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย, ความผิดประเวณี | |
กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี | เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม, เว้นการล่วงประเวณี | |
กายกรรม | การกระทำทางกาย เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม หรือเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์เป็นต้น | |
กายกัมมัญญตา | ความควรแก่งานแห่งนามกาย, ธรรมชาติที่ทำนามกาย คือ เจตสิกทั้งหลายให้อยู่ในภาวะที่จะทำงานได้ดี (ข้อ ๑๔ ในโสภณเจตสิก ๒๕) | |
กายคตาสติ, กายสติ | สติที่เป็นไปในกาย, สติอันพิจารณากายให้เห็นตามสภาพที่มีส่วนประกอบ ซึ่งล้วนเป็นของไม่สะอาด ไม่งาม น่ารังเกียจ ทำให้เกิดความรู้เท่าทัน ไม่หลงใหลมัวเมา | |
กายทวาร | ทวารคือกาย, กายในฐานเป็นทางทำกรรม, ทางกาย | |
กายทุจริต | ประพฤติชั่วด้วยกาย, ประพฤติชั่วทางกาย มี ๓ อย่างคือ ๑. ปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ ๒. อทินนาทาน ลักทรัพย์ ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม; ดู ทุจริต | |
กายบริหาร | การรักษาร่างกายให้เหมาะสมแก่ความเป็นสมณะ เช่นไม่ไว้ผมยาวเกินไป ไม่ไว้หนวดเครา ไม่ไว้เล็บยาว ไม่ผัดหน้า ไม่แต่งเครื่องประดับกาย ไม่เปลือยกาย เป็นต้น | |
กายประโยค | การประกอบทางกาย, การกระทำทางกาย | |
กายปัสสัทธิ | ความสงบรำงับแห่งนาม-กาย, ธรรมชาติทำนามกาย คือ เจตสิกทั้งหลายให้สงบเย็น (ข้อ ๘ ในโสภณ-เจตสิก ๒๕) | |
กายปาคุญญตา | ความคล่องแคล่วแห่งนามกาย, ธรรมชาติทำนามกายคือ เจตสิกทั้งหลาย ให้แคล่วคล่องว่องไว รวดเร็ว (ข้อ ๑๖ ในโสภณเจตสิก ๒๕) | |
กายมุทุตา | ความอ่อนโยนแห่งนามกาย, ธรรมชาติทำนามกาย คือ เจตสิกทั้งหลายให้นุ่มนวลอ่อนละมุน (ข้อ ๑๒ ในโสภณเจตสิก ๒๕) | |
กายลหุตา | ความเบาแห่งนามกาย, ธรรมชาติทำนามกาย คือกองเจตสิก ให้เบา (ข้อ ๑๐ ในโสภณเจตสิก ๒๕) | |
กายวิญญัติ | ความเคลื่อนไหวร่างกายให้รู้ความหมาย เช่น สั่นศีรษะ โบกมือ ขยิบตา ดีดนิ้ว เป็นต้น; เทียบ วจีวิญญัติ | |
กายวิญญาณ | ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะโผฏฐัพพะกระทบกาย, โผฏฐัพพะกระทบกาย เกิดความรู้ขึ้น (ข้อ ๕ ในวิญญาณ ๖) | |
กายสมาจาร | ความประพฤติทางกาย | |
กายสักขี | “ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย”, “ผู้ประจักษ์กับตัว”, พระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจนถึงผู้ตั้งอยู่ในอรหัตต-มรรค ที่เป็นผู้มีสมาธินทรีย์แรงกล้า ได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ (เมื่อบรรลุอรหัตตผล กลายเป็นอุภโตภาควิมุต); ดู อริยบุคคล ๗ | |
กายสังขาร | 1. ปัจจัยปรุงแต่งกาย ได้แก่ลมหายใจเข้า หายใจออก 2. สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกายได้แก่ กาย-สัญเจตนา หรือความจงใจ ทางกาย ซึ่งทำให้เกิดกายกรรม | |
กายสังสัคคะ | ความเกี่ยวข้องด้วยกาย, การเคล้าคลึงร่างกาย, เป็นชื่ออาบัติสังฆาทิเสสข้อที่ ๒ ที่ว่าภิกษุมีความกำหนัดถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม, การจับต้องกายหญิงโดยมีจิตกำหนัด | |
กายสัมผัส | สัมผัสทางกาย, อาการที่กายโผฏฐัพพะ และกายวิญญาณประจวบกัน | |
กายสัมผัสสชาเวทนา | เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่กาย โผฏฐัพพะ และกาย-วิญญาณประจวบกัน | |
กายสุจริต | ประพฤติชอบด้วยกาย, ประพฤติชอบทางกาย มี ๓ อย่าง คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากประพฤติผิดในกาม; ดู กายทุจริต, สุจริต | |
กายานุปัสสนา | สติพิจารณากายเป็นอารมณ์ว่า กายนี้ก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็นสติปัฏฐานข้อหนึ่ง; ดู สติปัฏฐาน | |
กายิกสุข | สุขทางกาย เช่นได้ยินเสียงไพเราะ ลิ้มรสอร่อย ถูกต้องสิ่งที่อ่อนนุ่ม เป็นต้น | |
กายุชุกตา | ความซื่อตรงแห่งนามกาย, ธรรมชาติที่ทำนามกายคือเจตสิก ทั้งหลายให้ซื่อตรง (ข้อ ๑๘ ในโสภณเจตสิก ๒๕) | |
การก | ผู้กระทำกรรมได้ตามพระวินัยมี ๓ คือ สงฆ์ คณะ และ บุคคล เช่นในการทำอุโบสถ ภิกษุตั้งแต่สี่รูปขึ้นไปเรียก สงฆ์ สวดปาฏิโมกข์ได้ ภิกษุสองหรือสามรูป เรียก คณะ ให้บอกความบริสุทธิ์ได้ ภิกษุรูปเดียวเรียกว่า บุคคล ให้อธิษฐาน | |
การกสงฆ์ | “สงฆ์ผู้กระทำ” หมายถึงสงฆ์หมู่หนึ่งผู้ดำเนินการในกิจสำคัญ เช่น การสังคายนา หรือในสังฆกรรมต่างๆ | |
การงานชอบ | ดู สัมมากัมมันตะ | |
กาล | เวลา | |
กาละ | เวลา, คราว, ครั้ง, หน | |
กาลกิริยา | “การกระทำกาละ”, การตาย, มรณะ | |
กาลทาน | ทานที่ให้ตามกาล, ทานที่ให้ได้เป็นครั้งคราวภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่ใช่ให้ได้ตลอดเวลา เช่นการถวายผ้ากฐิน การถวายผ้าอาบน้ำฝน เป็นต้น ซึ่งทายกจะถวายได้ตามกำหนดเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตเท่านั้น ก่อนหรือเลยเขตกำหนดไป ทำไม่ได้ | |
กาลเทศะ | เวลาและประเทศ, เวลา และสถานที่ | |
กาลวิภาค | การแจกกาลออกเป็นเดือน ปักษ์ และวัน | |
กาลัญญุตา | ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันสมควรในการประกอบกิจนั้นๆ เช่น รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร เป็นต้น (ข้อ ๕ ในสัปปุริสธรรม ๗) | |
กาลามสูตร | สูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาตอังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผล ตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา, ด้วยการถือสืบๆ กันมา, ด้วยการเล่าลือด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์, ด้วยตรรก, ด้วยการอนุมาน, ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล, เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน, เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ, เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา; ต่อเมื่อใด พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือ เกสปุตตสูตร | |
กาลิก | เนื่องด้วยกาล, ขึ้นกับกาล, ของอันจะกลืนกินให้ล่วงลำคอเข้าไปซึ่งพระวินัยบัญญัติให้ภิกษุรับเก็บไว้และฉันได้ภายในเวลาที่กำหนด จำแนกเป็น ๔ อย่าง คือ ๑. ยาวกาลิก รับประเคนไว้และฉันได้ชั่วเวลาเช้าถึงเที่ยงของวันนั้น เช่น ข้าว ปลา เนื้อ ผัก ผลไม้ ขนมต่างๆ ๒. ยามกาลิก รับประเคนไว้และฉันได้ชั่ววันหนึ่งกับคืนหนึ่ง คือก่อนรุ่งอรุณของวันใหม่ ได้แก่ ปานะ คือ น้ำคั้นผลไม้ที่ทรงอนุญาต ๓. สัตตาหกาลิก รับประเคนไว้แล้วฉันได้ภายในเวลา ๗ วัน ได้แก่เภสัชทั้งห้า ๔. ยาวชีวิก รับประเคนแล้ว ฉันได้ตลอดไปไม่จำกัดเวลา ได้แก่ของที่ใช้ปรุงเป็นยา นอกจากกาลิก ๓ ข้อต้น (ความจริงยาวชีวิก ไม่เป็นกาลิก แต่นับเข้าด้วยโดยปริยาย เพราะเป็นของเกี่ยวเนื่องกัน) | |
กาววาว | ฉูดฉาด, หรูหรา, บาดตา | |
กาสะ | ไอ (โรคไอ) | |
กาสาวะ | ผ้าย้อมฝาด, ผ้าเหลืองสำหรับพระ | |
กาสาวพัสตร์ | ผ้าที่ย้อมด้วยรสฝาด, ผ้าย้อมน้ำฝาด, ผ้าเหลืองสำหรับพระ | |
กาสี | แคว้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แคว้นแห่งชมพูทวีป มีนครหลวงชื่อพาราณสี ในสมัยพุทธกาล กาสีได้ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโกศลแล้ว | |
กาฬเทวิลดาบส | เป็นอีกชื่อหนึ่งของ อสิตดาบส; ดู อสิตดาบส | |
กาฬปักษ์ | “ซีกมืด” หมายถึง ข้างแรม; กัณหปักษ์ ก็เรียก; ตรงข้ามกับ ศุกลปักษ์ หรือ ชุณหปักษ์ | |
กาฬสิลา | สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในแคว้นมคธ อยู่ข้างภูเขาอิสิคิลิ พระนครราชคฤห์ ณ ที่นี้พระพุทธเจ้าเคยทำนิมิตต์โอภาสแก่พระอานนท์ และเป็นที่ที่พระโมคคัลลานะถูกคนร้ายซึ่งรับจ้างจากพวกเดียรถีย์ไปลอบฆ่าด้วยการทุบตีจนร่างแหลก | |
กาฬิโคธา | มารดาของพระภัททิยะ กษัตริย์ศากยวงศ์ | |
กาฬุทายี | อำมาตย์ของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นสหชาติและเป็นพระสหายสนิทของพระโพธิสัตว์เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ พระเจ้าสุทโธทนะส่งไปทูลเชิญพระศาสดาเพื่อเสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์ กาฬุทายีไปเฝ้าพระศาสดาที่กรุงราชคฤห์ ได้ฟังพระธรรมเทศนา บรรลุพระอรหัตตผล อุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว ทูลเชิญพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ ท่านได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในบรรดาผู้ทำตระกูลให้เลื่อมใส | |
กำลังของพระมหากษัตริย์ | ดู พละ | |
กิงกรณีเยสุ ทักขตา | ความเป็นผู้ขยันช่วยเอาใจใส่ในกิจธุระของเพื่อนภิกษุสามเณร (ข้อ ๕ ในนาถกรณธรรม ๑๐) | |
กิจจญาณ | ปรีชากำหนดรู้กิจที่ควรทำในอริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง คือรู้ว่า ทุกข์ ควรกำหนดรู้ สมุทัย ควรละ นิโรธ ควรทำให้แจ้ง มรรค ควรเจริญ คือควรปฏิบัติ (ข้อ ๒ ในญาณ ๓) | |
กิจจาธิกรณ์ | การงานเป็นอธิกรณ์ คือเรื่องที่เกิดขึ้นอันสงฆ์ต้องจัดต้องทำหรือกิจธุระที่สงฆ์จะพึงทำ; อรรถกถาพระวินัยว่าหมายถึงกิจอันจะพึงทำด้วยประชุมสงฆ์ ได้แก่ สังฆกรรมทั้ง ๔ คือ อปโลกนกรรม ญัตติกรรม ญัตติทุติย-กรรม ญัตติจตุตถกรรม | |
กิจในอริยสัจจ์ | ข้อที่ต้องทำในอริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง คือ ปริญญา การกำหนดรู้ เป็นกิจในทุกข์ ปหานะ การละ เป็นกิจในสมุทัย สัจฉิกิริยา การทำให้แจ้งหรือการบรรลุ เป็นกิจในนิโรธ ภาวนา การเจริญคือปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นกิจในมรรค | |
กิจเบื้องต้น | ในการอุปสมบท หมายถึงให้บรรพชา ถือนิสัย ถืออุปัชฌายะ จนถึงถามอันตรายิกธรรมในที่ประชุมสงฆ์ (คำเดิมเป็น บุพกิจ) | |
กิตติศัพท์ | เสียงสรรเสริญ, เสียงเล่าลือความดี | |
กินร่วม | ในประโยคว่า “ภิกษุใดรู้อยู่ กินร่วมก็ดี อยู่ร่วมก็ดี สำเร็จการนอนด้วยกันก็ดี” คบหากันในทางให้หรือรับอามิส และคบหากันในทางสอนธรรมเรียนธรรม | |
กิมพิละ | เจ้าศากยะองค์หนึ่ง ออกบวชพร้อมกับพระอนุรุทธะ ได้สำเร็จอรหัต และเป็นมหาสาวกองค์หนึ่งในจำนวน ๘๐ | |
กิริยา | การกระทำ | |
กิริยากิตตกะ (กิริยากิตก์) | เป็นชื่อกิริยา-ศัพท์ประเภทหนึ่งในภาษาบาลี ใช้เป็นกิริยาสำคัญในประโยคบ้าง ใช้เป็นกิริยาในระหว่างของประโยคบ้าง และใช้เป็นคุณบทบ้าง เช่น ปรินิพฺพุโต (ดับรอบแล้ว) ปพฺพชิตฺวา (บวชแล้ว) เป็นต้น | |
กิริยาอาขยาต | เป็นชื่อกิริยาศัพท์ประเภทหนึ่งในภาษาบาลี ใช้เป็นกิริยาสำคัญในประโยค อันแสดงถึงการกระทำของประธาน เช่น คจฺฉติ (ย่อมไป) ปรินิพฺพายิ (ดับรอบแล้ว) เป็นต้น | |
กิลาโส | โรคกลาก | |
กิเลส | สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง, ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ | |
กิเลสกาม | กิเลสเป็นเหตุใคร่, กิเลสที่ทำให้อยาก, เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ ได้แก่ราคะ โลภะ อิจฉา (อยากได้) เป็นต้น | |
กิเลสธุลี | ธุลีคือกิเลส, ฝุ่นละอองคือกิเลส | |
กิเลสมาร | มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมาร โดยอาการที่เข้าครอบงำจิตใจ ขัดขวาง ไม่ให้ทำความดี ชักพาให้ทำความชั่ว ล้างผลาญคุณความดี ทำให้บุคคลประสบหายนะและความพินาศ | |
กิเลสวัฏฏ์ | วนคือกิเลส, วงจรส่วนกิเลส, หนึ่งในวัฏฏะ ๓ แห่งปฏิจจสมุปบาท ประกอบด้วย อวิชชา ตัณหา และอุปาทาน; ดู ไตรวัฏฏ์ | |
กิเลสานุสัย | กิเลสจำพวกอนุสัย, กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน จะปรากฏเมื่ออารมณ์มายั่วยุ เหมือนตะกอนน้ำที่อยู่ก้นโอ่ง ถ้าไม่มีคนกวนตะกอนก็นอนเฉยอยู่ ถ้ากวนน้ำเข้าตะกอนก็ลอยขึ้นมา | |
กิโลมกะ | พังผืด | |
กีสาโคตมี | พระเถรีสำคัญองค์หนึ่ง เดิมเป็นธิดาคนยากจนในพระนครสาวัตถีแต่ได้เป็นลูกสะใภ้ของเศรษฐีในพระนครนั้น นางมีบุตรชายคนหนึ่ง อยู่มาไม่นานบุตรชายตาย นางมีความเสียใจมาก อุ้มบุตรที่ตายแล้วไปในที่ต่างๆ เพื่อหายาแก้ให้ฟื้น จนได้ไปพบพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนด้วยอุบายและทรงประทานโอวาท นางได้ฟังแล้วบรรลุโสดาปัตติผล บวชในสำนักนางภิกษุณี วันหนึ่งนั่งพิจารณาเปลวประทีปที่ตามอยู่ในพระอุโบสถ ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางทรงจีวรเศร้าหมอง | |
กุกกุจจะ | ความรำคาญใจ, ความเดือดร้อนใจ เช่นว่า สิ่งดีงามที่ควรทำ ตนมิได้ทำ สิ่งผิดพลาดเสียหายไม่ดีไม่งามที่ไม่ควรทำ ตนได้ทำแล้ว, ความยุ่งใจ กลุ้มใจ กังวลใจ, ความรังเกียจหรือกินแหนงในตนเอง, ความระแวงสงสัย เช่นว่า ตนได้ทำความผิดอย่างนั้นๆ แล้วหรือมิใช่ สิ่งที่ตนได้ทำไปแล้วอย่างนั้นๆ เป็นความผิดข้อนี้ๆ เสียแล้วกระมัง | |
กุกฺกุจฺจปกตตา | อาการที่จะต้องอาบัติด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง | |
กุฎี | กระท่อมที่อยู่ของนักบวช เช่นพระภิกษุ, เรือนหรือตึกที่อยู่อาศัยของพระภิกษุสามเณร | |
กุฎุมพี | คนมีทรัพย์, คนมั่งคั่ง | |
กุฏกะ | เครื่องลาดที่ใหญ่ ชนิดที่มีนางฟ้อน ๑๖ คนยืนฟ้อนรำได้ (เช่นพรมปูห้อง) | |
กุฏฐัง | โรคเรื้อน | |
กุฏิภัต | อาหารที่เขาถวายแก่ภิกษุผู้อยู่ในกุฎีอันเขาสร้าง | |
กุฑวะ | ชื่อมาตราตวง แปลว่า “ฟายมือ” คือ เต็มอุ้งมือหนึ่ง; ดู มาตรา | |
กุณฑธานะ | พระเถระผู้เป็นมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เรียนจบไตรเพทตามลัทธิพราหมณ์ ต่อมา เมื่อสูงอายุแล้วได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสจึงบวชในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมา ก็มีรูปหญิงคนหนึ่งติดตามตัวตลอดเวลาจนกระทั่งได้บรรลุพระอรหัต รูปนั้นจึงหายไป ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะในการถือเอาสลากเป็นปฐม | |
กุณฑลเกสี | ดู ภัททากุณฑลเกสา | |
กุปปธรรม | “ผู้มีธรรมที่ยังกำเริบได้” หมายถึงผู้ที่ได้สมาบัติแล้วแต่ยังไม่ชำนาญ อาจเสื่อมได้ เทียบ อกุปปธรรม | |
กุมมาส | ขนมสด คือขนมที่เก็บไว้นานเกินไปจะบูด เช่น ขนมด้วง ขนมครก ขนมถ้วย ขนมตาล เป็นต้น พระพุทธเจ้า หลังจากเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาก็เสวยข้าวสุกและกุมมาส | |
กุมาร | เด็ก, เด็กชาย, เด็กหนุ่ม | |
กุมารกัสสปะ | พระเถระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรธิดาเศรษฐีในพระนครราชคฤห์ คลอดเมื่อมารดาบวชเป็นภิกษุณีแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม ทารกนั้นได้นามว่า กัสสปะ ภายหลังเรียกกันว่า กุมารกัสสปะ เพราะท่านเป็นเด็กสามัญ แต่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างราชกุมาร ท่านอุปสมบทในสำนักของพระศาสดา ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะในทางแสดงธรรมวิจิตร | |
กุมารี | เด็กหญิง, เด็กรุ่นสาว, นางสาว | |
กุมารีภูตวรรค | ชื่อหมวดในพระวินัย-ปิฎก หมายถึงตอนอันว่าด้วยกุมารีภูตา คือสามเณรีผู้เตรียมจะอุปสมบทเป็นภิกษุณี มีอยู่ในปาจิตติยกัณฑ์ ในภิกขุนีวิภังค์ | |
กุมารีภูตา | “ผู้เป็นนางสาวแล้ว” หมายถึง สามเณรีที่จะอุปสมบทเป็นภิกษุณีเช่นในคำว่า “อีฉันเป็นนางสาว (กุมารีภูตา) ของแม่เจ้าชื่อนี้ มีอายุ ๒๐ ปีเต็ม มีสิกขาอันศึกษาแล้วในธรรม ๖ ประการ ๒ ปี ขอวุฏฐานสมมติต่อสงฆ์เจ้าข้า” | |
กุรุ | แคว้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แคว้นแห่งชมพูทวีป นครหลวงชื่อ อินทปัตถ์ | |
กุล | ตระกูล, วงศ์, เชื้อสาย, เผ่าพันธุ์ | |
กุลทูสก | “ผู้ประทุษร้ายตระกูล” หมายถึง ภิกษุผู้ประจบคฤหัสถ์ เอาใจเขาต่างๆ ด้วยอาการอันผิดวินัย มุ่งเพื่อให้เขาชอบตนเป็นส่วนตัว เป็นเหตุให้เขาคลายศรัทธาในพระศาสนาและเสื่อมจากกุศล-ธรรม เช่นให้ของกำนัลเหมือนอย่างคฤหัสถ์เขาทำกัน ยอมตัวให้เขาใช้ เป็นต้น | |
กุลธิดา | ลูกหญิงผู้มีตระกูลมีความประพฤติดี | |
กุลบุตร | ลูกชายผู้มีตระกูลมีความประพฤติดี | |
กุลปสาทกะ | ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส | |
กุลมัจฉริยะ | “ตระหนี่ตระกูล” ได้แก่หวงแหนตระกูล ไม่ยอมให้ตระกูลอื่นมาเกี่ยวดองด้วย ถ้าเป็นบรรพชิตก็หวงอุปัฏฐาก ไม่พอใจให้ไปบำรุงภิกษุอื่น; ดู มัจฉริยะ | |
กุลสตรี | หญิงมีตระกูลมีความประพฤติดี | |
กุลุปกะ | “ผู้เข้าถึงสกุล”, พระที่คุ้นเคยสนิท ไปมาหาสู่ประจำของตระกูล, พระที่เขาอุปถัมภ์และเป็นที่ปรึกษาประจำของครอบครัว | |
กุลูปกะ | “ผู้เข้าถึงสกุล”, พระที่คุ้นเคยสนิท ไปมาหาสู่ประจำของตระกูล, พระที่เขาอุปถัมภ์และเป็นที่ปรึกษาประจำของครอบครัว | |
กุศล | บุญ, ความดี, ฉลาด, สิ่งที่ดี, กรรมดี | |
กุศลกรรม | กรรมดี, กรรมที่เป็นกุศล, การกระทำที่ดีคือเกิดจากกุศลมูล | |
กุศลกรรมบถ | ทางแห่งกรรมดี, ทางทำดี, ทางแห่งกรรมที่เป็นกุศล, กรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่สุคติมี ๑๐ อย่างคือ ก. กายกรรม ๓ ได้แก่ ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากทำลายชีวิต ๒. อทินนา-ทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้ ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม ข. วจีกรรม ๔ ได้แก่ ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ ๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ค. มโนกรรม ๓ ได้แก่ ๘. อนภิชฌา ไม่โลภคอยจ้องอยากได้ของเขา ๙. อพยาบาท ไม่คิดร้ายเบียดเบียนเขา ๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม; เทียบ อกุศลกรรมบถ | |
กุศลธรรม | ธรรมที่เป็นกุศล, ธรรมฝ่ายกุศล ธรรมที่ดี, ธรรมฝ่ายดี | |
กุศลบุญจริยา | ความประพฤติที่เป็นบุญเป็นกุศล, การทำความดีอย่างฉลาด | |
กุศลมูล | รากเหง้าของกุศล, ต้นเหตุของกุศล, ต้นเหตุของความดีมี ๓ อย่าง คือ ๑. อโลภะ ไม่โลภ (จาคะ) ๒. อโทสะ ไม่คิดประทุษร้าย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม่หลง (ปัญญา); เทียบ อกุศลมูล | |
กุศลวัตร | ข้อปฏิบัติที่ดี, กิจที่พึงทำที่ดี | |
กุศลวิตก | ความตริตรึกที่เป็นกุศล, ความนึกคิดที่ดีงามมี ๓ คือ ๑. เนกขัมมวิตก ความตรึกปลอดจากกาม ๒. อพยาบาท-วิตก ความตรึกปลอดจากพยาบาท ๓. อวิหิงสาวิตก ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน | |
กุสาวดี | ชื่อเก่าของเมืองกุสินารา นครหลวงของแคว้นมัลละ เมื่อครั้งเป็นราช-ธานีของพระเจ้ามหาสุทัศน์ จักรพรรดิครั้งโบราณ | |
กุสิ | เส้นคั่นดุจคันนายืนระหว่างขัณฑ์กับขัณฑ์ของจีวร; เทียบ อัฑฒกุสิ | |
กุสินารา | เมืองหลวงแห่งหนึ่งของแคว้นมัลละ (อีกแห่งหนึ่งคือ ปาวา) สมัยพุทธ-กาล กุสินาราเป็นเมืองเล็กๆ มีมัลล-กษัตริย์เป็นผู้ปกครอง พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองนี้ | |
กูฏทันตสูตร | สูตรหนึ่งในคัมภีร์ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค สุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่กูฏทันตพราหมณ์ผู้กำลังเตรียมพิธีบูชายัญ ว่าด้วยวิธีบูชายัญตามความหมายในแบบของพระพุทธ-ศาสนา ซึ่งไม่ต้องมีการฆ่าฟันเบียดเบียนสัตว์ มีแต่การเสียสละทำทานและการทำความดีอื่นๆ เริ่มด้วยการตระเตรียมพิธีโดยจัดการบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยก่อนตามธรรมวิธี มีการส่งเสริม กสิกรรม พาณิชยกรรม สัมมาชีพ และบำรุงส่งเสริมข้าราชการที่ดี ซึ่งจะทำให้ประชาชนขวนขวายขะมักเขม้นในหน้าที่การงานของตนๆ จนบ้านเมืองมีความเกษมปลอดภัย พลเมืองมีความสุข ราชทรัพย์บริบูรณ์ดีแล้ว จึงกระทำพิธีบูชายัญ ด้วยการบริจาคทรัพย์ทำทานเป็นต้น ผลของพระธรรมเทศนานี้ คือ กูฏทันต-พราหมณ์ล้มเลิกพิธีบูชายัญของตน ปล่อยสัตว์ทั้งหมด และประกาศตนเป็นอุบาสก | |
เกตุมาลา | รัศมีซึ่งเปล่งอยู่เหนือพระเศียรของพระพุทธเจ้า | |
เก็บปริวาส | ดู เก็บวัตร | |
เก็บมานัต | ดู เก็บวัตร | |
เก็บวัตร | โวหารเรียกวินัยกรรมเกี่ยวกับวุฏฐานวิธีอย่างหนึ่ง คือ เมื่อภิกษุต้องครุกาบัติขั้นสังฆาทิเสสกำลังอยู่ปริวาส ยังไม่ครบเวลาที่ปกปิดอาบัติไว้ก็ดี กำลังประพฤติมานัตยังไม่ครบ ๖ ราตรีก็ดี เมื่อมีเหตุอันสมควร ก็ไม่ต้องประพฤติติดต่อกันเป็นรวดเดียว พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ทำผ้าห่มเฉวียงบ่า นั่งกระหย่ง ประนมมือ ถ้าเก็บปริวาส พึงกล่าวว่า “ปริวาสํ นิกฺขิปามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้าเก็บปริวาส” หรือว่า “วตฺตํ นิกฺขิ-ปามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้าเก็บวัตร” ว่าคำใดคำหนึ่ง ก็เป็นอันพักปริวาส; ถ้าเก็บมานัต พึงกล่าวว่า “มานตฺตํ นิกฺขิปามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้าเก็บมานัต” หรือว่า “วตฺตํ นิกฺขิปามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้าเก็บวัตร” ดังนี้ ว่าคำใดคำหนึ่งก็เป็นอันพักมานัต ต่อไปเมื่อมีโอกาสก็ให้สมาทานวัตรใหม่ได้อีก | |
เกษม | ปลอดภัย, พ้นภัย, สบายใจ | |
เกษมจากโยคธรรม | ปลอดภัยจากธรรมเครื่องผูกมัด, ปลอดโปร่งจากเรื่องที่จะต้องถูกเทียมแอก, พ้นจากภัยคือกิเลสที่เป็นตัวการสวมแอก; ดู โยคเกษมธรรม | |
เกสา | ผม | |
เกินพิกัด | เกินกำหนดที่จะต้องเสียภาษีอากร | |
เกียรติยศ | ยศคือเกียรติ หรือกิตติคุณ, ความเป็นใหญ่โดยเกียรติ; ดู ยศ | |
แกงได | รอยกากบาทหรือขีดเขียนซึ่งคนไม่รู้หนังสือขีดเขียนลงไว้เป็นสำคัญ | |
โกฏิ | ชื่อมาตรานับ เท่ากับสิบล้าน | |
โกณฑัญญะ | พราหมณ์หนุ่มที่สุดในบรรดาพราหมณ์ ๘ คน ผู้ทำนายลักษณะของสิทธัตถกุมาร ต่อมาออกบวชตามปฏิบัติพระสิทธัตถะขณะบำเพ็ญ ทุกรกิริยา เป็นหัวหน้าพระปัญจวัคคีย์ ฟังพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม ขอบรรพชาอุปสมบทเป็นปฐมสาวกของพระพุทธเจ้า มีชื่อเรียกกันภายหลังว่า พระอัญญา-โกณฑัญญะ | |
โกธะ | ความโกรธ, เคือง, ขุ่นเคือง | |
โกนาคมน์ | พระนามพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอดีต; ดู พระพุทธเจ้า ๕ | |
โกมารภัจ | ดู ชีวก | |
โกรัพยะ | พระเจ้าแผ่นดินแคว้นกุรุ | |
โกละ | ผลกะเบา | |
โกลังโกละ | “ผู้ไปจากตระกูลสู่ตระกูล” หมายถึงพระโสดาบัน ซึ่งจะต้องไปเกิดอีก ๒–๓ ภพ แล้วจึงบรรลุพระอรหัต | |
โกลิตะ | ชื่อเดิมของพระมหาโมคคัลลานะ เรียกตามชื่อหมู่บ้านที่เกิด (โกลิตคาม) เพราะเป็นบุตรของตระกูลหัวหน้าในหมู่บ้านนั้น สมัยเมื่อเข้าไปบวชเป็นปริพาชกในสำนักของสญชัย ก็ยังใช้ชื่อว่า โกลิตะ ต่อมาภายหลังคือเมื่อบวชในพระพุทธศาสนา จึงเรียกกันว่า โมค-คัลลานะ หรือ พระมหาโมคคัลลานะ | |
โกลิตปริพาชก | พระโมคคัลลานะเมื่อเข้าไปบวชเป็นปริพาชกในสำนักของสญชัย มีชื่อเรียกว่า โกลิตปริพาชก | |
โกลิยชนบท | แคว้นโกลิยะ หรือดินแดนของกษัตริย์โกลิยวงศ์ เป็นแคว้นหนึ่งในชมพูทวีปครั้งพุทธกาล มีนครหลวงชื่อ เทวทหะ และ รามคาม บัดนี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล | |
โกลิยวงศ์ | ชื่อวงศ์กษัตริย์ข้างฝ่ายพระพุทธมารดา ที่ครองกรุงเทวทหะ; พระนางสิริมหามายา พุทธมารดา และพระนางพิมพา ชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นเจ้าหญิงฝ่ายโกลิยวงศ์ | |
โกศล | ความฉลาด, ความเชี่ยวชาญ มี ๓ คือ ๑. อายโกศล ความฉลาดในความเจริญ, รอบรู้ทางเจริญและเหตุของความเจริญ ๒. อปายโกศล ความฉลาดในทางเสื่อม, รอบรู้ทางเสื่อมและเหตุของความเสื่อม ๓. อุปายโกศลความฉลาดในอุบาย, รอบรู้วิธีแก้ไขเหตุการณ์และวิธีที่จะทำให้สำเร็จ ทั้งในการป้องกันความเสื่อมและในการสร้างความเจริญ | |
โกสัลละ | ความฉลาด, ความเชี่ยวชาญ มี ๓ คือ ๑. อายโกศล ความฉลาดในความเจริญ, รอบรู้ทางเจริญและเหตุของความเจริญ ๒. อปายโกศล ความฉลาดในทางเสื่อม, รอบรู้ทางเสื่อมและเหตุของความเสื่อม ๓. อุปายโกศล ความฉลาดในอุบาย, รอบรู้วิธีแก้ไขเหตุการณ์และวิธีที่จะทำให้สำเร็จ ทั้งในการป้องกันความเสื่อมและในการสร้างความเจริญ | |
โกศล | ชื่อแคว้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แคว้นแห่งชมพูทวีป โกศลเป็นแคว้นใหญ่มีอำนาจมากในสมัยพุทธกาลกษัตริย์ผู้ครองแคว้นมีพระนามว่า พระเจ้าปเสนทิ-โกศล มีนครหลวงชื่อ สาวัตถี บัดนี้เรียก Sahet-Mahet | |
โกสละ | ดู โกศล | |
โกสัชชะ | ความเกียจคร้าน | |
โกสัมพิกขันธกะ | ชื่อขันธกะที่ ๑๐ (สุดท้าย) แห่งคัมภีร์มหาวรรค วินัยปิฎกว่าด้วยเรื่องของภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะวิวาทกัน จนเป็นเหตุให้พระพุทธ-เจ้าเสด็จไปจำพรรษาในป่ารักขิตวัน ตำบลปาริไลยกะ ในที่สุด พระภิกษุเหล่านั้น ถูกมหาชนบีบคั้นให้ต้องกลับปรองดองกัน บังเกิดสังฆสามัคคีอีกครั้งหนึ่ง | |
โกสัมพี | ชื่อนครหลวงของแคว้นวังสะ อยู่ตอนใต้ของแม่น้ำยมุนา บัดนี้เรียกว่า Kosam | |
โกสัลละ | ดู โกศล | |
โกสิยเทวราช | พระอินทร์, จอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียก ท้าวโกสีย์ บ้าง ท้าวสักกเทวราช บ้าง | |
โกสิยวรรค | ตอนที่ว่าด้วยเรื่องขนเจียมเจือด้วยไหม เป็นวรรคที่ ๒ แห่งนิสสัคคิย-กัณฑ์ในพระวินัยปิฎก | |
โกเสยยะ, โกไสย | ผ้าทำด้วยใยไหม ได้แก่ ผ้าไหม ผ้าแพร | |
โกฬิวิสะ | ดู โสณะ โกฬิวิสะ | |
ขจร | ฟุ้งไป, ไปในอากาศ | |
ขณิกสมาธิ | สมาธิชั่วขณะ, สมาธิขั้นต้นพอสำหรับใช้ในการเล่าเรียนทำการงานให้ได้ผลดี ให้จิตใจสงบสบายได้พักชั่วคราว และใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้ (ขั้นต่อไป คือ อุปจารสมาธิ) | |
ขณิกาปีติ | ความอิ่มใจชั่วขณะ เมื่อเกิดขึ้นทำให้รู้สึกเสียวแปลบๆ เป็นขณะๆ เหมือนฟ้าแลบ (ข้อ ๒ ในปีติ ๕) | |
ขนบ | แบบอย่างที่ภิกษุควรประพฤติในกาลนั้นๆ ในที่นั้นๆ แก่บุคคลนั้นๆ | |
ขนบธรรมเนียม | แบบอย่างที่นิยมกัน | |
ขนาบ | กระหนาบ | |
ขมา | ความอดโทษ, การยกโทษให้ | |
ขรรค์ | อาวุธมีคม ๒ ข้าง ที่กลางทั้งหน้าและหลังเป็นสัน ด้ามสั้น | |
ขราพาธ | อาพาธหนัก, ป่วยหนัก | |
ขลุปัจฉาภัตติกังคะ | องค์แห่งผู้ถือ ห้ามภัตที่เขานำมาถวายภายหลัง คือ เมื่อลงมือฉันแล้วมีผู้นำอาหารมาถวายอีกก็ไม่รับ (ข้อ ๗ ในธุดงค์ ๑๓) | |
ของต้องพิกัด | ของเข้ากำหนดที่จะต้องเสียภาษี | |
ขอนิสัย | ดู นิสัย | |
ขอโอกาส | ดู โอกาส | |
ขัชชภาชกะ | ภิกษุผู้ได้รับสมมติ คือ แต่งตั้งจากสงฆ์ให้มีหน้าที่แจกของเคี้ยว | |
ขัณฑ์ | ตอน, ท่อน, ส่วน, ชิ้น, จีวรมีขัณฑ์ ๕ ก็คือมี ๕ ชิ้น | |
ขัณฑสีมา | สีมาเล็กผูกเฉพาะโรงอุโบสถที่อยู่ในมหาสีมา มีสีมันตริกคั่น | |
ขัดบัลลังก์ | ดู บัลลังก์ | |
ขัตติยธรรม | หลักธรรมสำหรับกษัตริย์, ธรรมของพระจ้าแผ่นดิน | |
ขัตติยมหาสาล | กษัตริย์ผู้มั่งคั่ง | |
ขันติ | ความอดทน คือ ทนลำบาก ทนตรากตรำ ทนเจ็บใจ, ความหนักเอาเบาสู้ เพื่อบรรลุจุดหมายที่ดีงาม (ข้อ ๓ ในฆราวาสธรรม ๔, ข้อ ๑ ในธรรมที่ทำให้งาม ๒, ข้อ ๖ ในบารมี ๑๐) | |
ขันติสังวร | สำรวมด้วยขันติ (ข้อ ๔ ในสังวร ๕) | |
ขันธ์ | กอง, พวก, หมวด, หมู่ ลำตัว; หมวดหนึ่งๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดที่แบ่งออกเป็นห้ากอง คือ รูป-ขันธ์ กองรูป เวทนาขันธ์ กองเวทนา สัญญาขันธ์ กองสัญญา สังขารขันธ์ กองสังขาร วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ เรียกรวมว่า เบญจขันธ์ (ขันธ์ ๕) | |
ขันธกะ | หมวด, พวก, ตอน หมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระวินัย และสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ ที่จัดประมวลเข้าเป็นหมวดๆ เรียกว่า ขันธกะ, ขันธกะหนึ่งๆ ว่าด้วยเรื่องหนึ่งๆ เช่น อุโบสถ-ขันธกะ หมวดที่ว่าด้วยการทำอุโบสถ จีวรขันธกะ หมวดที่ว่าด้วยจีวร เป็นต้น รวมทั้งสิ้นมี ๒๒ ขันธกะ (พระวินัยปิฎกเล่ม ๔, ๕, ๖, ๗); ดู ไตรปิฎก | |
ขันธปัญจก | หมวดห้าแห่งขันธ์ อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (นิยมเรียก ขันธบัญจก); ดู ขันธ์ | |
ขันธมาร | ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ ถูกปัจจัยต่างๆ มีอาพาธเป็นต้น บีบคั้นเบียดเบียนเป็นเหตุขัดขวางหรือรอนโอกาส มิให้สามารถทำความดีงามได้เต็มที่ หรืออาจตัดโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง (ข้อ ๒ ในมาร ๕) | |
ขาทนียะ | ของควรเคี้ยว, ของขบของเคี้ยว ได้แก่ผลไม้ต่างๆ และเหง้าต่างๆ เช่น เผือกมัน เป็นต้น | |
ข้าวสุก | ในโภชนะ ๕ อย่างคือ ข้าวสุก ๑ ขนมสด ๑ ขนมแห้ง ๑ ปลา ๑ เนื้อ ๑ ข้าวสุกในที่นี้หมายถึงธัญญชาติทุกชนิดที่หุงให้สุกแล้ว เช่นข้าวเจ้า ข้าวเหนียวหรือที่ตกแต่งเป็นของต่างชนิด เช่นข้าวมัน ข้าวผัด เป็นต้น | |
ขิปปาภิญญา | รู้ฉับพลัน | |
ขีณาสพ | ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว, ผู้หมดกิเลส, พระอรหันต์ | |
ขีระ | นมสด; ดู เบญจโครส | |
ขึ้นใจ | เจนใจ, จำได้แม่นยำ | |
ขึ้นปาก | เจนปาก, คล่องปาก, ว่าปากเปล่าได้อย่างว่องไว | |
ขึ้นวัตร | โวหารเรียกวินัยกรรมเกี่ยวกับวุฏฐานวิธีอย่างหนึ่ง คือเมื่อภิกษุต้อง ครุกาบัติชั้นสังฆาทิเสสแล้วอยู่ปริวาสยังไม่ครบเวลาที่ปกปิดอาบัติไว้หรือประพฤติมานัตอยู่ยังไม่ครบ ๖ ราตรี พักปริวาสหรือมานัตเสียเนื่องจากมีเหตุอันสมควร เมื่อจะสมาทานวัตรใหม่เพื่อประพฤติปริวาสหรือมานัตที่เหลือนั้น เรียกว่า ขึ้นวัตร คือการสมาทานวัตรนั่นเอง ถ้าขึ้นปริวาสพึงกล่าวคำในสำนักภิกษุรูปหนึ่งว่า “ปริวาสํ สมาทิยามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้าขึ้นปริวาส” “วตฺตํ สมาทิยามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้าขึ้นวัตร” ถ้าขึ้นมานัต พึงกล่าวว่า “มานตฺตํ สมาทิยามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้าขึ้นมานัต” หรือ “วตฺตํ สมาทิยามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้าขึ้นวัตร” | |
ขุชชโสภิติ | ชื่อพระเถระองค์หนึ่งใน การกสงฆ์ผู้ทำสังคายนาครั้งที่ ๒ | |
ขุททกาปีติ | ปีติเล็กน้อย, ความอิ่มใจอย่างน้อย เมื่อเกิดขึ้นให้ขนชันน้ำตาไหล (ข้อ ๑ ในปีติ ๕) | |
เขต | 1. แดนที่กันไว้เป็นกำหนด เช่น นา ไร่ ที่ดิน แคว้น เป็นต้น 2. ข้อที่ภิกษุระบุถึงเพื่อการลาสิกขา เช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น | |
เขนง | เขาสัตว์, ภาชนะที่ทำด้วยเขา | |
เขมา | พระเถรีมหาสาวิการูปหนึ่ง ประสูติในราชตระกูลแห่งสาคลนครในมัททรัฐต่อมาได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร มีความมัวเมาในรูปสมบัติของตน ได้ฟังพระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องราคะ และการกำจัดราคะ พอจบพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุพระอรหัต แล้วบวชเป็นภิกษุณี ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางมีปัญญามาก และเป็นอัครสาวิกาฝ่ายขวา | |
เขฬะ | น้ำลาย | |
เข้าที่ | นั่งภาวนากรรมฐาน | |
เข้ารีต | เปลี่ยนไปถือศาสนาอื่น (โดยเฉพาะศาสนาคริสต์), ทำพิธีเข้าถือศาสนาอื่น | |
โขมะ | ผ้าทำด้วยเปลือกไม้ ใช้เปลือกไม้ทุบเอาแต่เส้น แล้วนำเส้นนั้นมาทอเป็นผ้า | |
โขมทุสสนิคม | นิคมหนึ่งในแคว้นสักกะ | |
คณญัตติกรรม | การประกาศให้สงฆ์ทราบแทนคณะคือพวกฝ่ายตน ได้แก่การที่ภิกษุรูปหนึ่งในนามแห่งภิกษุฝ่ายหนึ่ง สวดประกาศขออนุมัติเป็นผู้แสดงแทนซึ่งอาบัติของฝ่ายตนและของตนเองด้วยติณวัตถารกวิธี (อีกฝ่ายหนึ่งก็พึงทำเหมือนกันอย่างนั้น); เป็นขั้นตอนหนึ่งแห่งการระงับอธิกรณ์ด้วยติณ- วัตถารกวินัย | |
คณปูรกะ | ภิกษุผู้เป็นที่ครบจำนวนใน คณะนั้นๆ เช่น สังฆกรรมที่ต้องมีภิกษุ ๔ รูป หรือยิ่งขึ้นไป เป็นผู้ทำ ยังขาดอยู่เพียงจำนวนใดจำนวนหนึ่ง มีภิกษุอื่นมาสมทบ ทำให้ครบองค์สงฆ์ในสังฆ-กรรมนั้นๆ ภิกษุที่มาสมทบนั้นเรียกว่า คณปูรกะ | |
คณโภชน์ | ฉันเป็นหมู่ คือ ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป รับนิมนต์ออกชื่อโภชนะแล้วฉัน; อีกนัยหนึ่งว่า นั่งล้อมโภชนะฉัน หรือฉันเข้าวง | |
คณะธรรมยุต | คณะสงฆ์ที่ตั้งขึ้นใหม่ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเป็นภิกษุในรัชกาลที่ ๓ (เรียกว่า ธรรมยุตติกา หรือ ธรรม-ยุติกนิกาย ก็มี); สมเด็จพระมหาสมณ-เจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงให้ความหมายว่า “พระสงฆ์ออกจากมหานิกายนั้นเอง แต่ได้รับอุปสมบทในรามัญนิกายด้วย” (การคณะสงฆ์ น. ๑๐) | |
คณะมหานิกาย | คณะสงฆ์ไทยเดิมที่สืบมาแต่สมัยสุโขทัย, เป็นชื่อที่ใช้เรียกในเมื่อได้เกิดมีคณะธรรมยุตขึ้นแล้ว; สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา วชิรญาณวโรรส ทรงให้ความหมายว่า “พระสงฆ์อันมีเป็นพื้นเมือง [ของประเทศไทย – ผู้เขียน]” ก่อนเกิดธรรมยุติกนิกาย” (การคณะสงฆ์ น. ๙๐) | |
คณาจารย์ | อาจารย์ของหมู่คณะ | |
คณิกา | หญิงแพศยา, หญิงงามเมือง | |
คดีธรรม | ทางธรรม, คติแห่งธรรม | |
คดีโลก | ทางโลก, คติแห่งโลก | |
คติ | 1. การไป, ทางไป, ความเป็นไป, ทางดำเนิน, วิธี, แนวทาง, แบบอย่าง 2. ที่ไปเกิดของสัตว์, ภพที่สัตว์ไปเกิด, แบบการดำเนินชีวิต มี ๕ คือ ๑. นิรยะ นรก ๒. ติรัจฉานโยนิ กำเนิด ดิรัจฉาน ๓. เปตติวิสัย แดนเปรต ๔. มนุษย์ สัตว์มีใจสูงรู้คิดเหตุผล ๕. เทพ ชาวสวรรค์ ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ถึงอกนิษฐ-พรหม (ท่านว่าในที่นี้ จัดอสูรเข้าใน เปตติวิสัยด้วย) ๓ คติแรกเป็น ทุคติ (ที่ไปเกิดอันชั่วหรือแบบดำเนินชีวิตที่ไม่ดี) ๒ คติหลังเป็น สุคติ (ที่ไปเกิดอันดี หรือแบบดำเนินชีวิตที่ดี) | |
คมิยภัต | ภัตเพื่อผู้ไป, อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุผู้จะเดินทางไปอยู่ที่อื่น; คมิกภัต ก็ว่า | |
คยา | จังหวัดที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จเมื่อครั้งโปรดนักบวชชฎิล และได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอาทิตตปริยายสูตรที่ตำบลคยาสีสะในจังหวัดนี้ ปัจจุบันตัวเมืองคยาอยู่ห่างจากพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าประมาณ ๗ ไมล์ | |
คยากัสสป | นักบวชชฎิลแห่งกัสสปโคตรตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลคยาสีสะเป็นน้องชายคนเล็กของอุรุเวลกัสสปะ ออกบวชตามพี่ชาย พร้อมด้วยชฎิล ๒๐๐ ที่เป็นบริวาร ได้ฟังพระธรรมเทศนาอาทิตต-ปริยายสูตร บรรลุพระอรหัตและเป็นมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก | |
คยาสีสะ | ชื่อตำบล ซึ่งเป็นเนินเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดคยา พระพุทธเจ้าเทศนาอาทิตตปริยายสูตร โปรดภิกษุสงฆ์ ปุราณชฎิลทั้งหมดให้สำเร็จพระอรหัตที่ตำบลนี้ | |
ครรภ์ | ท้อง, ลูกในท้อง, ห้อง | |
ครรโภทร | ท้อง, ท้องมีลูก | |
ครองผ้า | นุ่งห่มผ้า | |
คราวใหญ่ | คราวที่ภิกษุอยู่มากด้วยกันบิณฑบาตไม่พอฉัน (ฉันเป็นหมู่ได้ ไม่ต้องอาบัติปาจิตตีย์) | |
ครุ | เสียงหนัก ได้แก่ทีฆสระ คือ อา, อี, อู, เอ, โอ และสระที่มีพยัญชนะสะกดซึ่งเรียกว่า สังโยค เช่น พุทฺโธ โลเก อุปฺ-ปนฺโน; คู่กับ ลหุ | |
ครุกกรรม | ดู ครุกรรม | |
ครุกรรม | กรรมหนักทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล ในฝ่ายกุศลได้แก่ฌานสมาบัติ ในฝ่ายอกุศล ได้แก่ อนันตริยกรรม กรรมนี้ให้ผลก่อนกรรมอื่นเหมือนคนอยู่บนที่สูงเอาวัตถุต่างๆ ทิ้งลงมาอย่างไหนหนักที่สุด อย่างนั้นถึงพื้นก่อน | |
ครุกาบัติ | อาบัติหนัก ได้แก่ อาบัติปาราชิก เป็นอาบัติที่แก้ไขไม่ได้ ภิกษุต้องแล้วจำต้องสึกเสีย และ อาบัติสังฆาทิเสส อยู่กรรมจึงจะพ้นได้ คู่กับ ลหุกาบัติ | |
ครุธรรม | ธรรมอันหนัก, หลักความประพฤติสำหรับนางภิกษุณีจะพึงถือเป็นเรื่องสำคัญอันต้องปฏิบัติด้วยความเคารพไม่ละเมิดตลอดชีวิต มี ๘ ประการ คือ ๑. ภิกษุณีแม้บวชร้อยพรรษาแล้วก็ต้องกราบไหว้ภิกษุแม้บวชวันเดียว ๒. ภิกษุณีจะอยู่ในวัดที่ไม่มีภิกษุไม่ได้ ๓. ภิกษุณีต้องไปถามวันอุโบสถและเข้าไปฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน ๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้วต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่ายโดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน โดยรังเกียจ (รังเกียจ หมายถึง ระแวงสงสัยหรือเห็นพฤติ-กรรมอะไรที่น่าเคลือบแคลง) ๕. ภิกษุณีต้องอาบัติหนัก ต้องประพฤติมานัตในสงฆ์สองฝ่าย (คือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) ๑๕ วัน ๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์สองฝ่าย เพื่อนางสิกขมานา ๗. ภิกษุณีไม่พึงด่าไม่พึงบริภาษภิกษุไม่ว่าจะโดยปริยายใดๆ ๘. ไม่ให้ภิกษุณีว่ากล่าวภิกษุแต่ภิกษุว่ากล่าวภิกษุณีได้ | |
ครุภัณฑ์ | ของหนัก เช่น กุฎี ที่ดิน เตียง ตั่ง เป็นต้น; คู่กับ ลหุภัณฑ์ | |
ครูทั้ง ๖ | ดู ติตถกร | |
คฤหบดี | ผู้เป็นใหญ่ในเรือน, พ่อเจ้าเรือน, ผู้มั่งคั่ง | |
คฤหบดีจีวร | ผ้าจีวรที่ชาวบ้านถวายพระ | |
คฤหัสถ์ | ผู้ครองเรือน, ชาวบ้าน | |
คลองธรรม | ทางธรรม | |
ควรทำความไม่ประมาท | ในที่ ๔ สถาน; ดู อัปปมาท | |
ความปรารถนา | ของบุคคลในโลกที่ได้สมหมายด้วยยาก ๔ อย่าง; ดู ทุลลภธรรม | |
ควัมปติ | ชื่อกุลบุตรผู้เป็นสหายของพระ ยสะ เป็นบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี ได้ทราบข่าวว่ายสกุลบุตรออกบวชจึงบวชตามพร้อมด้วยสหายอีกสามคน คือ วิมล สุพาหุ ปุณณชิ ต่อมาได้สำเร็จพระอรหัตทั้งหมด | |
ความค้ำ | ในประโยคว่า “เราจักไม่ทำความค้ำ ไปในละแวกบ้าน” เดินเอามือค้ำบั้นเอว นั่งเท้าแขน | |
ความไม่ประมาท | ดู อัปปมาท | |
คว่ำบาตร | การที่สงฆ์ลงโทษอุบาสกผู้ปรารถนาร้ายต่อพระรัตนตรัย โดยประกาศให้ภิกษุทั้งหลายไม่คบด้วย คือไม่รับบิณฑบาต ไม่รับนิมนต์ ไม่รับไทยธรรม; คู่กับ หงายบาตร | |
คหปติกา | “เรือนของคฤหบดี” คือเรือนอันชาวบ้านสร้างถวายเป็นกัปปิยกุฎี; ดู กัปปิยภูมิ | |
คหปติมหาสาล | คฤหบดีผู้มั่งคั่ง หมายถึงคฤหบดีผู้ร่ำรวย มีสมบัติมาก | |
คัคคภิกษุ | ชื่อภิกษุรูปหนึ่งในครั้งพุทธกาล เคยเป็นบ้า และได้ต้องอาบัติหลายอย่างในระหว่างเวลานั้น ภายหลังหายเป็นบ้าแล้ว ได้มีผู้โจทว่า เธอต้อง อาบัตินั้นๆ ในคราวที่เป็นบ้าไม่รู้จบ พระพุทธองค์จึงได้ทรงมีพุทธานุญาตให้ระงับอธิกรณ์ด้วย อมูฬหวินัย เป็นครั้งแรก | |
คณฺโฑ | โรคฝี | |
คันถะ | 1. กิเลสที่ร้อยรัดมัดใจสัตว์ให้ติดอยู่ 2. ตำรา, คัมภีร์ | |
คันถธุระ | ธุระฝ่ายคัมภีร์, ธุระคือการเรียนพระคัมภีร์, การศึกษาปริยัติธรรม; เทียบ วิปัสสนาธุระ | |
คันถรจนาจารย์ | อาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์ | |
คันธกุฎี | “กุฎีอบกลิ่นหอม”, ชื่อเรียกพระกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้า เช่น พระคันธกุฎีที่อนาถปิณฑิกเศรษฐีสร้างถวายที่พระเชตวัน ในนครสาวัตถี เป็นต้น พระกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ก็เรียกว่า คันธกุฎี เช่นเดียวกัน (เช่น ขุ.อป.๓๒/๑๘/๘๕; ๑๗๒/๒๗๒; ๓๓/๑๓๑/๒๒๐) อย่างไรก็ตาม คำเรียกที่ประทับของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันว่าคันธกุฎีนั้น มีใช้แต่ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาลงมา (ไม่มีในพระไตรปิฎก) | |
คันธาระ | ชื่อแคว้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แคว้นใหญ่แห่งชมพูทวีป ตั้งอยู่แถบลุ่มแม่น้ำสินธุตอนเหนือ ตรงกับแคว้น ปัญจาปภาคเหนือในปัจจุบัน นครหลวงชื่อ ตักสิลา เป็นนครที่รุ่งเรืองด้วย ศิลป-วิทยาต่างๆ แคว้นคันธาระอยู่ติดกันกับแคว้นกัษมีระ (เขียนอย่างสันสกฤตเป็นกัศมีระ) หรือแคชเมียร์ พระราชาผู้ปกครองคันธาระในสมัยพุทธกาล มีพระนามว่า ปุกกุสาติ | |
คันโพง | คันชั่งที่ถ่วงภาชนะสำหรับตักน้ำ เพื่อช่วยทุ่นแรงเวลาตักน้ำขึ้นจากบ่อลึกๆ (คัน = คันชั่งที่ใช้ถ่วง, โพง = ภาชนะสำหรับตักน้ำในบ่อลึกๆ), เครื่องสำหรับตักน้ำ หรือโพงน้ำ มีคันยาวที่ปลายเพื่อถ่วงให้เบาแรงเวลาตักหรือโพงน้ำขึ้น (โพง = ตัก, วิด) | |
คัพภเสยยกสัตว์ | สัตว์ที่อยู่ครรภ์ คือ สัตว์ที่เกิดเป็นตัวตั้งแต่อยู่ในครรภ์ | |
คัมภีร์ | 1. ลึกซึ้ง 2. ตำราที่ยกย่อง เช่นตำราทางศาสนา ตำราโหราศาสตร์ | |
คัมภีรภาพ | ความลึกซึ้ง | |
คากรอง | เครื่องปกปิดร่างกายที่ทำด้วยหญ้า หรือเปลือกไม้ | |
คาถา | 1. คำประพันธ์ประเภทร้อยกรองในภาษาบาลี คู่กับไวยากรณ์ 2. คาถาอาคม คาถาหนึ่งๆ มี ๔ บาท เช่น อาโรคฺยปรมา สนฺตุฏ??ีปรมํ ธนํ ลาภา วิสฺสาสปรมา ?าติ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ฯ 2. พุทธพจน์ที่เป็นคาถา (ข้อ ๔ ในนวังคสัตถุศาสน์) 3. ในภาษาไทย บางทีใช้ในความหมายว่า คำเสกเป่าที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่เรียกว่า คาถาอาคม | |
คาถาพัน | “คาถาหนึ่งพัน” เป็นชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกบทประพันธ์เรื่องมหาเวสสันดร-ชาดก ซึ่งแต่งเป็นคาถาล้วนๆ ๑ พันบท; การเทศน์มหาเวสสันดรชาดกที่เป็นคาถาล้วนๆ อย่างนี้เรียกว่า เทศน์คาถาพัน | |
คาพยุต | ดู คาวุต | |
คามเขต | เขตบ้าน, ละแวกบ้าน | |
คามสีมา | “แดนบ้าน” คือเขตที่กำหนดด้วยบ้าน, สีมาที่ถือกำหนดตามเขตบ้านเป็นอพัทธสีมาอย่างหนึ่ง | |
คารวโวหาร | ถ้อยคำแสดงความเคารพ | |
คารวะ | ความเคารพ, ความเอื้อเฟื้อ, ความใส่ใจมองเห็นความสำคัญที่จะต้องปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ ให้ถูกต้องเหมาะสม มี ๖ อย่างคือ ๑. พุทฺธคารวตา ความเคารพในพระพุทธเจ้า ๒. ธมฺมคารวตา ความเคารพในพระธรรม ๓. สงฺฆคารวตา ความเคารพในพระสงฆ์ ๔. สิกฺขาคารวตา ความเคารพในการศึกษา ๕. อปฺปมาท-คารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท ๖. ปฏิสนฺถารคารวตา ความเคารพในปฏิสันถาร คือ การต้อนรับปราศรัย | |
คาวุต | ชื่อมาตราวัดระยะทาง เท่ากับ ๘๐ อุสภะ หรือ ๑๐๐ เส้น (๔ คาวุตเป็น ๑ โยชน์); ดู มาตรา | |
คาหาปกะ | ผู้ให้รับ คือผู้แจก | |
คำรบ | ครบ, ถ้วน, เต็มตามจำนวนที่กำหนดไว้ | |
คำไวยากรณ์ | คำร้อยแก้ว; ดู ไวยากรณ์ 2. | |
คิชฌกูฏ | ชื่อภูเขาลูกหนึ่งในบรรดาภูเขาห้าลูกที่เรียกว่า เบญจคีรี ล้อมรอบพระนครราชคฤห์ | |
คิมหฤดู | ฤดูร้อน | |
คิลานปัจจัย | ปัจจัยสำหรับคนไข้, ยารักษาโรค | |
คิลานภัต | อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุอาพาธ | |
คิลานศาลา | โรงพักคนไข้, หอรักษาคนไข้, สถานพยาบาล | |
คิลานุปฐาก | ผู้ปฏิบัติภิกษุไข้ | |
คิลานุปัฏฐากภัต | อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุผู้พยาบาลไข้ | |
คิหิณี | หญิงผู้ครองเรือน, คฤหัสถ์หญิง | |
คิหิปฏิบัติ | ข้อปฏิบัติสำหรับคฤหัสถ์ | |
คืบพระสุคต | ชื่อมาตราวัด ตามอรรถ-กถานัยว่า เท่ากับ ๓ คืบของคนปานกลาง คือ เท่ากับศอกคืบช่างไม้ แต่มตินี้ไม่สมจริง ปัจจุบันยุติกันว่าให้ถือตามไม้เมตร คือ เท่ากับ ๒๕ เซนติเมตร ประมาณกันกับคืบช่างไม้ ซึ่งเป็นการสะดวก และถ้าหากจะสั้นกว่าขนาดจริงก็ไม่เสีย เพราะจะไม่เกินกำหนด ไม่เสียทางวินัย | |
คุณของพระรัตนตรัย | คุณของรัตนะ ๓ คือ ๑. พระพุทธเจ้า รู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เองก่อนแล้วทรงสอนผู้อื่นให้รู้ตามด้วย ๒. พระธรรม เป็นหลักแห่งความจริงและความดีงาม ย่อมรักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ๓. พระสงฆ์ ปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว สอนผู้อื่นให้กระทำตามด้วย | |
คุณธรรม | ธรรมที่เป็นคุณ, ความดีงาม, สภาพที่เกื้อกูล | |
คุณบท | บทที่แสดงคุณ, บทที่กล่าวถึงคุณงามความดี, คำแสดงคุณสมบัติ | |
คูถภักขา | มีคูถเป็นอาหาร ได้แก่สัตว์จำพวก ไก่ สุกร สุนัข เป็นต้น | |
คู้บัลลก์ | ดู บัลลังก์ | |
เครื่องกัณฑ์ | สิ่งของสำหรับถวายพระเทศน์; กัณฑ์เทศน์ ก็เรียก | |
เครื่องต้น | เครื่องทรงสำหรับกษัตริย์, สิ่งของที่พระเจ้าแผ่นดินทรงใช้และเสวย | |
เครื่องราง | ของที่นับถือว่าป้องกันอันตรายได้ เช่น ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า | |
เคลือบแฝง | อาการชักให้เป็นที่สงสัย, แสดงความจริงไม่กระจ่างทำให้เป็นที่สงสัย | |
เคหสถาน | ที่ตั้งเหย้าเรือน | |
เคหสิตเปมะ | ความรักอันอาศัยเรือนได้แก่รักกันโดยฉันเป็นคนเนื่องถึงกันเป็นญาติกัน เป็นคนร่วมเรือนเดียวกัน ความรักฉันพ่อแม่ลูกและญาติพี่น้อง | |
เคารพ | ความนับถือ, ความมีคารวะ | |
เคาะ | ในประโยคว่า “เหมือนชายหนุ่มพูดเคาะหญิงสาว” พูดให้รู้ท่า | |
เคาะแคะ | พูดแทะโลม, พูดเกี้ยว | |
โคจรคาม | หมู่บ้านที่อาศัยเที่ยวภิกขาจาร, หมู่บ้านที่ภิกษุไปเที่ยวบิณฑบาต | |
โคจรวิบัติ | วิบัติแห่งโคจร, เสียในเรื่องที่เที่ยว, ความเสียหายในการไปมาหาสู่ เช่น ภิกษุไปในที่อโคจรมีร้านสุรา หญิงแพศยา แม่หม้าย บ่อนการพนัน เป็นต้น | |
โคณกะ | ผ้าขน มีขนยาวกว่า ๔ นิ้ว | |
โคดม | ชื่อตระกูลของพระ พุทธเจ้า มหาชนเรียกพระพุทธเจ้าตามพระโคตรว่า พระโคดม พระโคตมะ หรือ พระสมณโคดม | |
โคตมะ | ชื่อตระกูลของพระ พุทธเจ้า มหาชนเรียกพระพุทธเจ้าตามพระโคตรว่า พระโคดม พระโคตมะ หรือ พระสมณโคดม | |
โคตมกเจดีย์ | ชื่อเจดียสถานแห่งหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเวสาลี เป็นที่ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับหลายครั้งและเคยทรงทำนิมิตต์โอภาสแก่พระอานนท์ | |
โคตมโคตร | ตระกูลโคตมะ เป็นชื่อตระกูลของพระพุทธเจ้า | |
โคตมนิโครธ | ตำบลที่พระพุทธเจ้าเคยทำนิมิตต์โอภาสแก่พระอานนท์ อยู่ที่พระนครราชคฤห์ | |
โคตมี | ชื่อเรียกสตรีแห่งโคตมโคตร เช่น พระนางมหาปชาบดี ผู้เป็นพระแม่น้าของพระสิทธัตถะ เป็นต้น | |
โคตร | ตระกูล, เผ่าพันธุ์, วงศ์ | |
โคตรภู | ผู้ตั้งอยู่ในญาณซึ่งเป็นลำดับที่จะถึงอริยมรรค, ผู้อยู่ในหัวต่อระหว่างความเป็นปุถุชนกับความเป็นอริยบุคคล | |
โคตรภูญาณ | “ญาณครอบโคตร” คือ ปัญญาที่อยู่ในลำดับจะถึงอริยมรรคหรืออยู่ในหัวต่อที่จะข้ามพ้นภาวะปุถุชนขึ้นสู่ภาวะเป็นอริยะ; ดู ญาณ ๑๖ | |
โคตรภูสงฆ์ | พระสงฆ์ที่ไม่เคร่งครัดปฏิบัติเหินห่างธรรมวินัย แต่ยังมีเครื่องหมายเพศ เช่น ผ้าเหลืองเป็นต้น และถือตนว่ายังเป็นภิกษุสงฆ์อยู่, สงฆ์ในระยะหัวต่อจะสิ้นศาสนา | |
โคธาวรี | ชื่อแม่น้ำสายหนึ่ง ระหว่างเมืองอัสสกะกับเมืองอาฬกะ พราหมณ์พาวรี ตั้งอาศรมสอนไตรเพทอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสายนี้ (มักเพี้ยนเป็น โคธาวารี ในฝ่ายสันสกฤตเขียนเป็น โคทาวรี) | |
โคนิสาทิกา | “กัปปิยภูมิอันดุจเป็นที่โคจ่อม” คือเรือนครัวน้อยๆ ที่ไม่ได้ปักเสา ตั้งอยู่กับที่ ตั้งฝาบนคาน ยกเลื่อนไปจากที่ได้; ดู กัปปิยภูมิ | |
โคมัย | ขี้วัว | |
โครส | ดู เบญจโครส | |
ฆฏิการพรหม | พระพรหมผู้นำสมณ-บริขารมีบาตรและจีวร เป็นต้น มาถวายแด่พระโพธิสัตว์เมื่อคราวเสด็จออก พรรพชา (มติของพระอรรถกถาจารย์) | |
ฆนะ | ก้อน, แท่ง | |
ฆนสัญญา | ความสำคัญว่าเป็นก้อน, ความสำคัญเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งบังปัญญาไม่ให้เห็นภาวะที่เป็นอนัตตาฆนิโตทนะ กษัตริย์ศากยวงศ์ เป็นพระราชบุตรองค์ที่ ๕ ของพระเจ้าสีหหนุ เป็นพระอนุชาองค์ที่ ๔ ของพระเจ้า สุทโธทนะ เป็นพระเจ้าอาของพระพุทธเจ้า | |
ฆราวาส | การอยู่ครองเรือน, ชีวิตชาวบ้าน; ในภาษาไทย มักใช้หมายถึงผู้ครองเรือน คือ คฤหัสถ์ | |
ฆราวาสธรรม | หลักธรรมสำหรับการครองเรือน, ธรรมของผู้ครองเรือน มี ๔ อย่างคือ ๑. สัจจะ ความจริง เช่นซื่อสัตย์ต่อกัน ๒. ทมะ ความฝึกฝนปรับปรุงตน เช่น รู้จักข่มใจ ควบคุมอารมณ์ บังคับตนเองปรับตัวเข้ากับการงานและสิ่งแวดล้อมให้ได้ดี ๓. ขันติ ความอดทน ๔. จาคะ ความเสียสละ เผื่อแผ่ แบ่งปัน มีน้ำใจ | |
ฆราวาสวิสัย | วิสัยของฆราวาส, ลักษณะที่เป็นภาวะของผู้ครองเรือน, เรื่องของชาวบ้าน | |
ฆราวาสสมบัติ | วิสัยของฆราวาส, ลักษณะที่เป็นภาวะของผู้ครองเรือน, เรื่องของชาวบ้าน | |
ฆานะ | จมูก | |
ฆานวิญญาณ | ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะกลิ่นกระทบจมูก, กลิ่นกระทบจมูกเกิดความรู้ขึ้น, ความรู้กลิ่น (ข้อ ๓ ในวิญญาณ ๖) | |
ฆานสัมผัส | อาการที่ จมูก กลิ่น และ ฆานวิญญาณประจวบกัน | |
ฆานสัมผัสชาเวทนา | เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่จมูก กลิ่น และ ฆาน-วิญญาณประจวบกัน | |
โฆสัปปมาณิกา | คนพวกที่ถือเสียงเป็นประมาณ, คนที่นิยมเสียง เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเพราะเสียง ชอบฟังเสียงไพเราะ เช่น เสียงสวดสรภัญญะเทศน์มหาชาติเป็นทำนอง เสียงประโคม เป็นต้น; อีกนัยหนึ่งว่า ผู้ถือชื่อเสียงกิตติศัพท์ หรือความโด่งดังเป็นประมาณ เห็นใครมีชื่อเสียงก็ตื่นไปตาม | |
โฆสิตาราม | ชื่อวัดสำคัญในกรุงโกสัมพีครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยประทับหลายครั้ง เช่น คราวที่ภิกษุชาวโกสัมพี แตกกัน เป็นต้น | |
งมงาย | ไม่รู้ท่า, ไม่เข้าใจ, เซ่อเซอะ, หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังผู้อื่น | |
จงกรม | เดินไปมาโดยมีสติกำกับ | |
จตุกกะ | หมวด ๔ | |
จตุกกัชฌาน | ฌานหมวด ๔ คือ รูปฌานที่แบ่งเป็น ๔ ชั้น อย่างที่รู้จักกันทั่วไป; ดู ฌาน ๔; เทียบ ปัญจกัชฌาน | |
จตุตถฌาน | ฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ ละสุขเสียได้ มีแต่อุเบกขากับเอกัคคตา | |
จตุธาตุววัตถาน | การกำหนดธาตุ ๔ คือ พิจารณาร่างกายนี้ แยกแยะออกไป มองเห็นแต่ส่วนประกอบต่างๆ ที่จัดเข้าในธาตุ ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย ทำให้รู้ภาวะความเป็นจริงของร่างกายว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ประชุมกันเข้าเท่านั้น ไม่เป็นตัวสัตว์บุคคลที่แท้จริง | |
จตุบริษัท | บริษัทสี่เหล่า คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา | |
จตุปัจจัย | เครื่องอาศัยของชีวิต หรือสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต สี่อย่าง คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช (เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่ ยา) | |
จตุรงคินีเสนา | กองทัพมีกำลังสี่เหล่า คือ เหล่าช้าง เหล่าม้า เหล่ารถ เหล่าราบ | |
จตุรบท | สัตว์สี่เท้า มี ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น | |
จตุรพิธพร | พร ๔ ประการ คือ อายุ (ความมีอายุยืน) วรรณะ (ความมีผิวพรรณผ่องใส) สุขะ (ความสุขกายสุขใจ) พละ (ความมีกำลังแข็งแรง มีสุขภาพดี) | |
จตุรวรรค | สงฆ์พวกสี่, สงฆ์ที่กำหนดจำนวนภิกษุอย่างต่ำเพียง ๔ รูป เช่น สงฆ์ที่ทำอุโบสถกรรมเป็นต้น | |
จตุวรรค | สงฆ์พวกสี่, สงฆ์ที่กำหนดจำนวนภิกษุอย่างต่ำเพียง ๔ รูป เช่น สงฆ์ที่ทำอุโบสถกรรมเป็นต้น | |
จตุราริยสัจจ์ | อริยสัจจ์สี่ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดู อริยสัจจ์ | |
จรณะ | เครื่องดำเนิน, ปฏิปทา คือ ข้อปฏิบัติอันเป็นทางบรรลุวิชา มี ๑๕ คือ สีลสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศีล อปัณณกปฏิปทา ๓ สัทธรรม ๗ และ ฌาน ๔ | |
จริต | ความประพฤติ, พื้นนิสัย หรือพื้นเพแห่งจิตของคนทั้งหลายที่หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง แตกต่างกันไปคือ ๑. ราค-จริต ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางรักสวยรักงาม มักติดใจ) ๒. โทสจริต ผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางใจร้อนขี้หงุดหงิด) ๓. โมหจริต ผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางเหงาซึมงมงาย) ๔. สัทธาจริต ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางน้อมใจเชื่อ) ๕. พุทธิ-จริต ผู้มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางคิดพิจารณา) ๖. วิตกจริต ผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางคิดจับจดฟุ้งซ่าน) | |
จริมกจิต | จิตดวงสุดท้าย ซึ่งจะดับไปเมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส-นิพพานธาตุ | |
จริยธรรม | “ธรรมคือความประพฤติ”, “ธรรมคือการดำเนินชีวิต”, หลักความประพฤติ, หลักการดำเนินชีวิต; คำ จริยธรรม นี้นักปราชญ์ประเทศไทยได้บัญญัติให้ใช้สำหรับคำภาษาอังกฤษว่า ethics หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม หรือกฎศีลธรรม; จริยะ (หรือ จริยธรรม) อันประเสริฐ เรียกว่า พรหมจริยะ (พรหมจริยธรรม หรือ พรหมจรรย์) แปลว่า “ความประพฤติอันประเสริฐ” หรือ การดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐ หมายถึง มรรคมีองค์ ๘ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา; เทียบ ศีลธรรม | |
จักกวัตติสูตร | ชื่อสูตรที่ ๓ แห่งทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระสุตตันตปิฎก พระพุทธ-เจ้าตรัสสอนภิกษุทั้งหลายให้พึ่งตน คือ พึ่งธรรม ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งจะทำให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ดำเนินอยู่ในแดนของตนเองที่สืบมาแต่บิดา จะมีแต่ความดีงามเจริญขึ้น ไม่เปิดช่องให้แก่มาร เช่นเดียวกับพระเจ้าจักรพรรดิที่ทรงประพฤติตามหลักจักรวรรดิวัตร อันสืบกันมาแต่บรรพชนของพระองค์ ย่อมทำให้จักรรัตนะบังเกิดขึ้นมาเอง, จักรวรรดิวัตร นั้นมี ๔ ข้อใหญ่ ใจความว่า ๑. พระเจ้าจักรพรรดิเป็นธรรมาธิปไตย และจัดการคุ้มครองป้องกันโดยชอบธรรมแก่ชนทุกหมู่เหล่าในแผ่นดิน ตลอดไปถึงสัตว์ที่ควรสงวนพันธุ์ทั้งหลาย ๒. มิให้มีการอันอธรรมเกิดขึ้นในแผ่นดิน ๓. ปันทรัพย์เฉลี่ยให้แก่ผู้ไร้ทรัพย์ ๔. ปรึกษาสอบถามการดีชั่ว ข้อควรและไม่ควรประพฤติ กะสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ อยู่เสมอ; จักรวรรดิวัตร ๔ ข้อนี้ บางทีจัดเป็น ๕ โดยแยกข้อ ๑. เป็น ๒ ข้อ คือ เป็นธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่อย่างหนึ่ง กับจัดการคุ้มครองป้องกันอันชอบธรรม อย่างหนึ่ง, นอกจากนั้น สมัยต่อมา อรรถกถาจัดแบ่งซอยออกไป และเพิ่มเข้ามาอีก รวมเป็น ๑๒ ข้อ เรียกว่า จักรวรรดิวัตร ๑๒; พระสูตรนี้ถือว่าเป็นคำสอนแสดงหลักวิวัฒนาการของสังคมตามแนวจริย-ธรรมกล่าวถึงหลักการปกครอง และหลักความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจกับจริย-ธรรม; เรื่อง พระศรีอารยเมตไตรย ก็มีต้นเค้ามาจากพระสูตรนี้; ดู จักรวรรดิ-วัตร ๑๒ | |
จักขุ | ตา ของพระพุทธเจ้า มี ๕ คือ มังส-จักขุ ทิพพจักขุ ปัญญาจักขุ พุทธจักขุ สมันตจักขุ (ดูที่คำนั้นๆ) | |
จักขุวิญญาณ | ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะรูปกระทบตา, รูปกระทบตา เกิดความรู้ขึ้น, การเห็น (ข้อ ๑ ในวิญญาณ ๖) | |
จักขุสัมผัส | อาการที่ ตา รูป และจักขุวิญญาณประจวบกัน | |
จักขุสัมผัสสชาเวทนา | เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ ตา รูป และจักขุวิญญาณ ประจวบกัน | |
จักร | ล้อ, ล้อรถ, ธรรมนำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ดุจล้อนำรถไปสู่ที่หมาย มี ๔ อย่าง คือ ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในถิ่นที่เหมาะ ๒. สัปปุริสูปัสสยะ สมาคมกับคนดี ๓. อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ ๔. ปุพเพกตปุญญตา ได้ทำความดีไว้ก่อน | |
จักรธรรม | ธรรมเปรียบด้วยล้อรถ ซึ่งจะนำไปสู่ความเจริญ หรือให้ถึงจุดมุ่งหมาย มี ๔ อย่าง; ดู จักร | |
จักรพรรดิ | พระราชาธิราช หมายถึงพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ มีราชอาณาเขตปกครองกว้างขวางมาก บ้านเมืองในปกครองมีความร่มเย็นเป็นสุข ปราบข้าศึกศัตรูด้วยธรรม ไม่ต้องใช้อาชญาและศัสตรา มีรัตนะ ๗ ประการประจำพระองค์ คือ ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว จักรแก้ว แก้วมณี | |
จักรพรรดิราชสมบัติ | สมบัติ คือความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ, ความพรั่งพร้อมสมบูรณ์แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ | |
จักรรัตนะ | จักรแก้ว หมายถึงตัวอำนาจแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ | |
จักรวรรดิวัตร ๑๒ | ๑. อนฺโตชนสฺมึ พล-กายสฺมึ คุ้มครองสงเคราะห์แก่ชนในพระราชฐานและพยุหเสนา ๒. ขตฺติเยสุ แก่กษัตริย์เมืองขึ้นหรือผู้ครองนครภายใต้พระบรมเดชานุภาพ ๓. อนุยนฺเตสุ แก่กษัตริย์ที่ตามเสด็จคือ เหล่าเชื้อ พระวงศ์ผู้เป็นราชบริพาร ๔. พฺราหฺมณคหปติเกสุ แก่พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ๕. เนคมชานปเทสุ แก่ชาวนิคมและชาวชนบทคือ ราษฎรพื้นเมืองทั้งหลาย ๖. สมณ พฺราหฺมเณสุ แก่เหล่าสมณพราหมณ์ ๗. มิคปกฺขีสุ แก่เหล่าเนื้อนกอันพึงบำรุงไว้ให้มีสืบพันธุ์ ๘. อธมฺมการ ปฏิกฺเขโป ห้ามปรามมิให้มีความประพฤติการอันไม่เป็นธรรม ๙. อธนานํ ธนานุปฺปทานํ เจือจานทรัพย์ทำนุบำรุงแก่ผู้ขัดสนไร้ทรัพย์ ๑๐. สมณ พฺราหฺมเณ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหา-ปุจฺฉนํ ไปสู่หาสมณพราหมณ์ไต่ถามอรรถปริศนา ๑๑. อธมฺมราคสฺส ปหานํ เว้นความกำหนัดในกามโดยอาการไม่เป็นธรรม ๑๒. วิสมโลภสฺส ปหานํ เว้นโลภกล้า ไม่เลือกควรไม่ควร จักรวรรดิวัตร ๑๒ นี้ มาในอรรถกถา โดยแบ่งซอยและเพิ่มเติมจากของเดิมใน จักกวัตติสูตร; ดู จักกวัตติสูตร | |
จักษุ | ตา, นัยน์ตา | |
จักษุทิพย์ | ตาทิพย์ คือดูอะไรเห็นได้หมด; ดู ทิพพจักขุ | |
จังหัน | ข้าว, อาหาร (ใช้แก่พระสงฆ์) | |
จัญไร | ชั่วร้าย, เลวทราม, เสีย | |
จัณฑปัชโชต | พระเจ้าแผ่นดินแคว้น อวันตี ครองราชสมบัติอยู่ที่กรุงอุชเชนี | |
จัณฑาล | ลูกต่างวรรณะ เช่นบิดาเป็นศูทร มารดาเป็นพราหมณ์ มีลูกออกมา เรียกว่า จัณฑาล ถือว่าเป็นคนต่ำทราม ถูกเหยียดหยามที่สุดในระบบวรรณะของศาสนาพราหมณ์ | |
จันทน์ | ไม้จันทน์ เป็นไม้มีกลิ่นหอมใช้ทำยาและปรุงเครื่องหอม | |
จันทรคติ | การนับวันโดยถือเอาการเดินของพระจันทร์เป็นหลัก เช่น ๑ ค่ำ ๒ ค่ำ และเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือน ๓ เป็นต้น; คู่กับ สุริยคติ | |
จันทรุปราคา | การจับจันทร์ คือเงาโลกเข้าไปปรากฏที่ดวงจันทร์ ขณะเมื่อดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์อยู่ตรงกันข้ามโดยมีโลกอยู่ระหว่างกลางที่เรียกว่า ราหูอมจันทร์; คู่กับ สุริยุปราคา | |
จัมปา | ชื่อนครหลวงของแคว้นอังคะตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำจัมปา ไม่ห่างไกลมากนักจากที่บรรจบกับแม่น้ำคงคา | |
จัมเปยยขันธกะ | ชื่อขันธกะที่ ๙ แห่งคัมภีร์มหาวรรค วินัยปิฎก ว่าด้วยข้อควรทราบบางแง่เกี่ยวกับนิคหกรรมต่างๆ | |
จัมมขันธกะ | ชื่อขันธกะที่ ๕ แห่งคัมภีร์มหาวรรค วินัยปิฎก ว่าด้วยเครื่องหนังต่างๆ มีรองเท้าและเครื่องลาดเป็นต้น | |
จาคะ | การสละ, การให้ปัน, การเสียสละ, การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ความ จริงใจ; การสละกิเลส (ข้อ ๔ ในฆราวาสธรรม ๔, ข้อ ๓ ในอธิษฐานธรรม ๔, ข้อ ๖ ในอริยทรัพย์ ๗) | |
จาคสัมปทา | ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน เป็นการเฉลี่ยสุขให้แก่ผู้อื่น; ดู สัมปรายิกัตถะ | |
จาคานุสสติ | ระลึกถึงการบริจาค คือระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้ว และพิจารณาเห็นจาคธรรมที่มีในตน; ดู อนุสติ | |
จาตุมหาราช | ท้าวมหาราชสี่, เทวดาผู้รักษาโลกในสี่ทิศ, ท้าวโลกบาลทั้งสี่คือ ๑. ท้าวธตรฐ จอมภูต หรือจอมคนธรรพ์ ครองทิศตะวันออก ๒. ท้าววิรุฬหก จอมกุมภัณฑ์ ครองทิศใต้ ๓. ท้าววิรูปักษ์ จอมนาค ครองทิศตะวันตก ๔. ท้าวกุเวร หรือ เวสสวัณ จอมยักษ์ ครองทิศเหนือ | |
จาตุมหาราชิกา | สวรรค์ชั้นที่ ๑ มีมหาราช ๔ องค์ เป็นประธาน ปกครองประจำทิศทั้ง ๔; ดู จาตุมหาราช | |
จาตุรคสันนิบาต | การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ ๑. วันนั้นดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (เพ็ญเดือนสาม) ๒. พระสงฆ์ ๑๒๕๐ รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ๓. พระสงฆ์เหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ ๔. พระสงฆ์เหล่านั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุ; ดู มาฆบูชา | |
จ่าย | ในประโยคว่า “ภิกษุใดมีบาตรมีแผลหย่อน ๕ ให้จ่ายบาตรใหม่” ให้จ่ายคือให้ขอบาตรใหม่ | |
จาร | เขียนตัวหนังสือหรือเลขลงบนใบลาน เป็นต้น โดยใช้เหล็กแหลมขีด, ใช้เหล็กแหลมเขียนตัวหนังสือ | |
จาริก | เที่ยวไป, เดินทางเพื่อศาสนกิจ | |
จารีต | ธรรมเนียมที่ประพฤติกันมา, ประเพณี, ความประพฤติที่ดี | |
จารึก | เขียน, เขียนเป็นตัวอักษร, เขียนรอยลึกเป็นตัวอักษรลงในใบลาน หรือลงแผ่นศิลา แผ่นโลหะ | |
จำนำพรรษา | ดู ผ้าจำนำพรรษา | |
จำเนียรกาล | เวลาช้านาน | |
จำปา | ชื่อเมืองในมัธยมประเทศ ที่ถูกเขียน จัมปา | |
จำพรรษา | อยู่ประจำวัดสามเดือนในฤดูฝน คือ ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ (อย่างนี้เรียกปุริมพรรษา แปลว่า “พรรษาต้น”) หรือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๙ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ (อย่างนี้เรียก ปัจฉิมพรรษา แปลว่า “พรรษาหลัง”); วันเข้าพรรษาต้น คือ แรม ๑ ค่ำเดือน ๘ เรียกว่า ปุริมิกา-วัสสูปนายิกา, วันเข้าพรรษาหลังคือ แรม ๑ ค่ำเดือน ๙ เรียกว่า ปัจฉิมิกา- วัสสูปนายิกา; คำอธิษฐานพรรษาว่า “อิมสฺมึ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุปมิ; ทุติยมฺปิ อิมสฺมึ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุปมิ; ตติยมฺปิ อิมสฺมึ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุปมิ” แปลว่า “ข้าพเจ้าเข้าอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนในวัดนี้” (วิหาเร จะเปลี่ยนเป็น อาวาเส ก็ได้); อานิสงส์การจำพรรษามี ๕ อย่าง คือ ๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา ๒. จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ ๓. ฉันคณโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้ ๔. เก็บอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา ๕. จีวรอันเกิดในที่นั้น เป็นเจ้าของได้แก่พวกเธอ อานิสงส์ทั้งห้านี้ได้ชั่วเวลาเดือนหนึ่ง นับแต่ออกพรรษาแล้วคือ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ นอกจากนั้นยังได้สิทธิที่จะกรานกฐิน และได้รับอานิสงส์ ๕ นั้น ต่อออกไปอีก ๔ เดือน (ภิกษุผู้เข้าพรรษาหลัง ไม่ได้อานิสงส์หรือสิทธิพิเศษเหล่านี้) | |
จำวัด | นอนหลับ (ใช้แก่พระสงฆ์) | |
จำศีล | อยู่รักษาศีล, ถือศีลเป็นกิจวัตร | |
จำหลัก | แกะให้เป็นลวดลาย, สลัก | |
จิต | ธรรมชาติที่รู้อารมณ์, สภาพที่นึกคิด, ความคิด, ใจ; ตามหลักฝ่ายอภิธรรม จำแนกจิตเป็น ๘๙ (หรือพิสดารเป็น ๑๒๑) แบ่ง โดยชาติ เป็น อกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ (พิสดารเป็น ๓๗) วิปากจิต ๓๖ (๕๒) และ กิริยาจิต ๒๐; แบ่ง โดยภูมิ เป็น กามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจรจิต ๑๒ และโลกุตตรจิต ๘ (พิสดารเป็น ๔๐) | |
จิตต์ | ธรรมชาติที่รู้อารมณ์, สภาพที่นึกคิด, ความคิด, ใจ; ตามหลักฝ่ายอภิธรรม จำแนกจิตเป็น ๘๙ (หรือพิสดารเป็น ๑๒๑) แบ่ง โดยชาติ เป็น อกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ (พิสดารเป็น ๓๗) วิปากจิต ๓๖ (๕๒) และ กิริยาจิต ๒๐; แบ่ง โดยภูมิ เป็น กามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจรจิต ๑๒ และโลกุตตรจิต ๘ (พิสดารเป็น ๔๐) | |
จิตกาธาน | เชิงตะกอน, ที่เผาศพ | |
จิตตะ | เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ, ความคิดฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย (ข้อ ๓ ในอิทธิบาท ๔) | |
จิตตกัมมัญญตา | ความควรแก่การงานแห่งจิต, ธรรมชาติทำจิตให้เหมาะแก่การใช้งาน (ข้อ ๑๕ ในโสภณเจตสิก ๒๕) | |
จิตตกา | เครื่องลาดทำด้วยขนแกะ ที่ปักหรือทอเป็นลวดลายต่างๆ | |
จิตตคฤหบดี | ชื่ออุบาสกคนหนึ่ง มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกธรรมกถึก; ท่านผู้นี้เคยถูกภิกษุชื่อ สุธรรมด่า เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติปฏิสาราณียกรรม คือการลงโทษภิกษุผู้ด่าว่าคฤหัสถ์ที่ไม่มีความผิด ด้วยการให้ไปขอขมาเขา | |
จิตตปาคุญญตา | ความคล่องแคล่วแห่งจิต, ธรรมชาติที่ทำจิตให้สละสลวยคล่องแคล่วว่องไว (ข้อ ๑๗ ในโสภณ-เจตสิก ๒๕) | |
จิตตภาวนา | ดู ภาวนา | |
จิตตมาส | เดือน ๕ | |
จิตตมุทุตา | ความอ่อนแห่งจิต, ธรรมชาติทำจิตให้นุ่มนวลอ่อนละมุน (ข้อ ๑๓ ในโสภณเจตสิก ๒๕) | |
จิตตลหุตา | ความเบาแห่งจิต, ธรรมชาติที่ทำให้จิตเบาพร้อมที่จะเคลื่อนไหวทำหน้าที่ (ข้อ ๑๑ ในโสภณเจตสิก ๒๕) | |
จิตตวิสุทธิ | ความหมดจดแห่งจิต คือได้ฝึกอบรมจิตจนเกิดสมาธิพอเป็นบาทฐานแห่งวิปัสสนา (ข้อ ๒ ใน วิสุทธิ ๗) | |
จิตตสังขาร | 1. ปัจจัยปรุงแต่งจิตได้แก่สัญญาและเวทนา 2. สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ ได้แก่เจตนาที่ก่อให้เกิดมโนกรรม; ดู สังขาร | |
จิตตสันดาน | การสืบต่อมาโดยไม่ขาดสายของจิต; ในภาษาไทยหมายถึงพื้นความรู้สึกนึกคิดหรืออุปนิสัยใจคอที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจมาแต่กำเนิด (ความหมายนัยหลังนี้ มิใช่มาในบาลี) | |
จิตตสิกขา | ดู อธิจิตตสิกขา | |
จิตตานุปัสสนา | สติพิจารณาใจที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้วเป็นอารมณ์ว่าใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา กำหนดรู้จิตตามสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้นๆ เช่นจิตมี ราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ว่าจิตมี ราคะ โทสะ โมหะ จิตปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ว่า จิตปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ (ข้อ ๓ ในสติปัฏฐาน ๔) | |
จิตตุชุกตา | ความซื่อตรงแห่งจิต, ธรรมชาติที่ทำให้จิตซื่อตรงต่อหน้าที่การงานของมัน (ข้อ ๑๙ ในโสภณเจตสิก ๒๕) | |
จิตประภัสสร | ดู ภวังคจิต | |
จินตกวี | นักปราชญ์ผู้ชำนาญคิดคำประพันธ์, ผู้สามารถในการแต่งร้อยกรองตามแนวความคิดของตน | |
จีวร | ผ้าที่ใช้นุ่งห่มของพระในพระพุทธ-ศาสนาผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ ในจำนวน ๓ ผืนที่เรียกว่า ไตรจีวร คือผ้าทาบ (สังฆาฏิ) ผ้าห่ม (อุตราสงค์) และผ้านุ่ง (อันตรวาสก); แต่ในภาษาไทย นิยมเรียกเฉพาะผ้าห่มคืออุตราสงค์ ว่าจีวร; ดู ไตรจีวร ด้วย | |
จีวรกรรม | การทำจีวร, งานเกี่ยวกับจีวร เช่น ตัด เย็บ ย้อม เป็นต้น | |
จีวรการสมัย | คราวที่พระทำจีวร, เวลาที่กำลังทำจีวร | |
จีวรกาล | ฤดูถวายจีวร, ฤดูถวายผ้าแก่พระสงฆ์; ดู จีวรกาลสมัย | |
จีวรกาลสมัย | สมัยหรือคราวที่เป็นฤดูถวายจีวร; งวดหนึ่ง สำหรับภิกษุที่มิได้กรานกฐิน ตั้งแต่แรมค่ำหนึ่งเดือน ๑๑ ถึง เพ็ญเดือนสิบสอง (คือเดือนเดียว), อีกงวดหนึ่ง สำหรับภิกษุที่ได้กรานกฐินแล้ว ตั้งแต่แรมค่ำหนึ่งเดือน ๑๑ ไปจนหมดฤดูหนาวคือถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ (รวม ๕ เดือน) | |
จีวรทานสมัย | สมัยที่เป็นฤดูถวายจีวรตรงกับจีวรกาลสมัย | |
จีวรนิทหกะ | ผู้เก็บจีวร คือ ภิกษุที่สงฆ์สมมติให้เป็นเจ้าหน้าที่เก็บรักษาจีวร เป็นตำแหน่งหนึ่งในบรรดาเจ้าอธิการแห่งจีวร | |
จีวรปฏิคคาหก | ผู้รับจีวร คือ ภิกษุที่สงฆ์สมมติให้เป็นเจ้าหน้าที่รับจีวร เป็น ตำแหน่งหนึ่งในบรรดาเจ้าอธิการแห่งจีวร | |
จีวรปลิโพธ | ความกังวลในจีวร คือภิกษุยังไม่ได้ทำจีวร หรือทำค้างหรือหายเสียในเวลาทำ แต่ยังไม่สิ้นความหวังว่าจะได้จีวรอีก | |
จีวรภาชก | ผู้แจกจีวร คือ ภิกษุที่สงฆ์สมมติให้เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวร, เป็นตำแหน่งหนึ่งในบรรดาเจ้าอธิการแห่งจีวร | |
จีวรมรดก | จีวรของภิกษุหรือสามเณรผู้ถึงมรณภาพ (มตกจีวร) สงฆ์พึงมอบให้แก่คิลานุปฐาก (ผู้พยาบาลคนไข้) ด้วยญัตติทุติยกรรม อย่างไรก็ตาม อรรถกถาแสดงมติไว้ว่า กรณีเช่นนี้เป็นกรรมไม่สำคัญนัก จะทำด้วยอปโลกนกรรม ก็ควร | |
จีวรลาภ | การได้จีวร | |
จีวรวรรค | ตอนที่ว่าด้วยเรื่องจีวร เป็นวรรคที่ ๑ แห่งนิสสัคคิยกัณฑ์ | |
จีวรอธิษฐาน | จีวรครอง, ผ้าจำกัดจำนวน ๓ ผืนที่อธิษฐาน คือกำหนดไว้ใช้ประจำตัวตามที่พระวินัยอนุญาตไว้; ตรงข้ามกับ อติเรกจีวร | |
จีวรักขันธกะ | ชื่อขันธกะที่ ๘ แห่งคัมภีร์มหาวรรค วินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่องจีวร | |
จุณณ์ | ละเอียด | |
จุณณิยบท | คำร้อยแก้ว, บางแห่งว่าบทบาลีเล็กน้อย ที่ยกขึ้นแสดงก่อนเนื้อความ (พจนานุกรมเขียน จุณณียบท) | |
จุติ | เคลื่อนจากภพหนึ่งไปสู่ภพอื่น, ตาย (ส่วนมากใช้แก่เทวดา) | |
จุตูปปาตญาณ | ปรีชารู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย, มีจักษุทิพย์มองเห็นสัตว์กำลังจุติบ้าง กำลังเกิดบ้าง มีอาการดีบ้าง เลวบ้างเป็นต้น ตามกรรมของตน เรียกอีกอย่างว่า ทิพพจักขุ (ข้อ ๒ ในญาณ ๓ หรือวิชชา ๓, ข้อ ๗ ในวิชชา ๘, ข้อ ๕ ในอภิญญา ๖) | |
จุนทะ | พระเถระผู้ใหญ่ชั้นมหาสาวก เป็นน้องชายของพระสารีบุตร เคยเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธองค์ และเป็นผู้นำอัฐิธาตุของพระสารีบุตรจากบ้านเกิดที่ท่านปรินิพพานมาถวายแด่พระพุทธ-องค์ที่พระเชตวัน | |
จุนทกัมมารบุตร | นายจุนทะ บุตรช่างทอง เป็นชาวเมืองปาวา ผู้ถวายภัตตาหารครั้งสุดท้ายแก่พระพุทธเจ้าในเช้าวันปรินิพพาน | |
จุลกาล | ชื่อน้องชายของพระมหากาลที่บวชตามพี่ชาย แต่ไม่ได้บรรลุมรรคผล สึกเสียในระหว่าง | |
จุลคัณฐี | ชื่อนิกายพระสงฆ์พม่านิกายหนึ่ง | |
จุลวรรค | ชื่อคัมภีร์อันเป็นหมวดหนึ่งแห่งพระวินัยปิฎก ซึ่งมีทั้งหมด ๕ หมวด คือ อาทิกัมม์ ปาจิตตีย์ มหาวรรค จุลวรรค ปริวาร; คัมภีร์จุลวรรค มี ๑๒ ขันธกะ คือ ๑. กัมมขันธกะ ว่าด้วยเรื่องนิคห-กรรม ๒. ปาริวาสิกขันธกะ ว่าด้วยวัตรของภิกษุผู้อยู่ปริวาส ผู้ประพฤติมานัต และผู้เตรียมจะอัพภาน ๓. สมุจจยขันธกะ ว่าด้วยระเบียบปฏิบัติต่างๆ ในการประพฤติวุฏฐานวิธี ๔. สมถขันธกะ ว่าด้วยการระงับอธิกรณ์ ๕. ขุททกวัตถุ-ขันธกะ ว่าด้วยข้อบัญญัติปลีกย่อยจำนวนมาก เช่น การปลงผม ตัดเล็บ ไม้จิ้มฟัน ของใช้ต่างๆ เป็นต้น ๖. เสนาสนขันธกะ ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ ๗. สังฆเภทขันธกะ ว่าด้วยสังฆเภทและสังฆสามัคคี ๘. วัตตขันธกะ ว่าด้วยวัตรต่างๆ เช่นอาคันตุกวัตร เป็นต้น ๙. ปาติโมกขัฏ-ฐปนขันธกะ ว่าด้วยระเบียบในการงดสวดปาฏิโมกข์ในเมื่อภิกษุมีอาบัติติดตัวมาร่วมฟังอยู่ ๑๐. ภิกขุนีขันธกะ ว่าด้วยเรื่องภิกษุณีเริ่มแต่ประวัติการอนุญาตให้มีการบวชครั้งแรก ๑๑. ปัญจสติก-ขันธกะ ว่าด้วยเรื่องสังคายนาครั้งที่ ๑ ๑๒. สัตตสติกขันธกะ ว่าด้วยสังคายนาครั้งที่ ๒ (พระไตรปิฎกเล่ม ๖–๗); ต่อจาก มหาวรรค | |
จุลศักราช | ศักราชน้อย ตั้งขึ้นโดยกษัตริย์พม่าองค์หนึ่งใน พ.ศ. ๑๑๘๒ ภายหลังมหาศักราช, เป็นศักราชที่เราใช้กันมาก่อนใช้รัตนโกสินทรศก, นับรอบปีตั้งแต่ ๑๖ เมษายน ถึง ๑๕ เมษายน เขียนย่อว่า จ.ศ. (พ.ศ. ๒๕๒๒ ตรงกับ จ.ศ.๑๓๔๐–๑๓๔๑) | |
จุฬามณีเจดีย์ | พระเจดีย์ที่บรรจุพระ จุฬาโมลี (มวยผม) ของพระพุทธเจ้าในดาวดึงสเทวโลก อรรถกถาเล่าว่า เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จออกบรรพชา เสด็จข้ามแม่น้ำอโนมาแล้วจะอธิษฐานเพศบรรพชิต ทรงตัดมวยพระเกศาขว้างไปในอากาศ พระอินทร์นำผอบแก้วมารองรับเอาไปประดิษฐานในพระเจดีย์จุฬามณี ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ-ปรินิพพานแล้ว ในขณะแจกพระบรม-สารีริกธาตุ พระอินทร์ได้มา นำเอาพระทาฐธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ข้างขวาที่ โทณ-พราหมณ์ซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะ ใส่ผอบทอง นำไปบรรจุในจุฬามณีเจดีย์ด้วย | |
จูฬปันถกะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก เป็นบุตรของธิดาเศรษฐีกรุงราชคฤห์ และเป็นน้องชายของมหา-ปันถกะ ออกบวชในพระพุทธศาสนา ปรากฏว่ามีปัญญาทึบอย่างยิ่ง พี่ชายมอบคาถาเพียง ๑ คาถาให้ท่องตลอดเวลา ๔ เดือน ก็ท่องไม่ได้ จึงถูกพี่ชายขับไล่ เสียใจคิดจะสึก พอดีพบพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสปลอบแล้วประทานผ้าขาวบริสุทธิ์ให้ไปลูบคลำพร้อมทั้งบริกรรมสั้นๆ ว่า “รโชหรณํ ๆ ๆ” ผ้านั้นหมองเพราะมือคลำอยู่เสมอ ทำให้ท่านมองเห็นไตรลักษณ์ และได้สำเร็จพระอรหัต ท่านมีความชำนาญแคล่วคล่องในอภิญญา ๖ ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏ์; ชื่อท่านเรียกง่ายๆ ว่า จูฬบันถก, บางแห่งเขียนเป็น จุลลบันถก | |
จูฬเวทัลลสูตร | ชื่อสูตรหนึ่งในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ แห่งพระสุตตันตปิฎก แสดงโดยพระธรรมทินนาเถรี เป็นคำตอบปัญหาที่วิสาขอุบาสกถาม | |
จูฬสังคาม | ชื่อตอนหนึ่งในคัมภีร์ปริวาร แห่งพระวินัยปิฎก | |
จูฬสุทธันตปริวาส | “สุทธันตปริวาสอย่างเล็ก” หมายความว่า ปริวาสที่ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายคราวด้วยกัน จำจำนวนอาบัติและวันที่ปิดได้บ้าง อยู่ปริวาสไปจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์ | |
เจดีย์ | ที่เคารพนับถือ, บุคคล สถานที่ หรือวัตถุที่ควรเคารพบูชา, เจดีย์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้ามี ๔ อย่างคือ ๑. ธาตุเจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๒. บริโภค-เจดีย์ คือสิ่งหรือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้สอย ๓. ธรรมเจดีย์ บรรจุพระธรรม คือ พุทธพจน์ ๔. อุทเทสิก-เจดีย์ คือพระพุทธรูป; ในทางศิลปกรรมไทยหมายถึงสิ่งที่ก่อเป็นยอดแหลมเป็นที่บรรจุสิ่งที่เคารพนับถือ เช่น พระธาตุและอัฐิบรรพบุรุษ เป็นต้น | |
เจตนา | ความตั้งใจ, ความมุ่งใจหมายจะทำ, เจตจำนง, ความจำนง, ความจงใจ, เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง เป็นตัวนำในการคิดปรุงแต่ง หรือเป็นประธานในสังขารขันธ์ และเป็นตัวการในการทำกรรม หรือกล่าวได้ว่าเป็นตัวกรรมทีเดียว ดังพุทธพจน์ว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” แปลว่า “เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม” | |
เจตภูต | สภาพเป็นผู้คิดอ่าน, ตามที่เข้าใจกัน หมายถึงดวงวิญญาณหรือดวงชีพอันเที่ยงแท้ที่สิงอยู่ในตัวคน กล่าวกันว่าออกจากร่างได้ในเวลานอนหลับ และเป็นตัวไปเกิดใหม่เมื่อกายนี้แตกทำลาย เป็นคำที่ไทยเราใช้เรียกแทนคำว่า อาตมัน หรือ อัตตา ของลัทธิพราหมณ์ และเป็นความเชื่อนอกพระพุทธศาสนา | |
เจตสิก | ธรรมที่ประกอบกับจิต, อาการหรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปัญญา เป็นต้น มี ๕๒ อย่าง จัดเป็น อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ อกุศลเจตสิก ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕ | |
เจตสิกสุข | สุขทางใจ, ความสบายใจ แช่มชื่นใจ; ดู สุข | |
เจตี | แคว้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แคว้นใหญ่แห่งชมพูทวีป ตั้งอยู่ลุ่มแม่น้ำคงคา ติดต่อกับแคว้นวังสะ นครหลวงชื่อ โสตถิวดี | |
เจโตปริยญาณ | ปรีชากำหนดรู้ใจผู้อื่นได้, รู้ใจผู้อื่นอ่านความคิดของเขาได้ เช่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ใจเขาเศร้าหมองหรือผ่องใส เป็นต้น (ข้อ ๕ ในวิชชา ๘, ข้อ ๓ ในอภิญญา ๖) | |
เจโตวิมุตติ | ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิต หรือด้วยกำลังสมาธิ เช่น สมาบัติ ๘ เป็นเจโตวิมุตติอันละเอียดประณีต (สันตเจโตวิมุตติ) | |
เจริญพร | คำเริ่มและคำรับที่ภิกษุสามเณรใช้พูดกับคฤหัสถ์ผู้ใหญ่และสุภาพชนทั่วไป ตลอดจนใช้เป็นคำขึ้นต้นและลงท้ายจดหมายที่ภิกษุสามเณรมีไปถึงบุคคลเช่นนั้นด้วย (เทียบได้กับคำว่า เรียน และ ครับ หรือ ขอรับ) | |
เจริญวิปัสสนา | ปฏิบัติวิปัสสนา, บำเพ็ญวิปัสสนา, ฝึกอบรมปัญญาโดยพิจารณาสังขาร คือ รูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดแยกออกเป็นขันธ์ๆ กำหนดด้วยไตรลักษณ์ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา | |
เจ้ากรม | หัวหน้ากรมในราชการ หรือในเจ้านายที่ทรงกรม | |
เจ้าภาพ | เจ้าของงาน | |
เจ้าสังกัด | ผู้มีอำนาจในหมู่คนที่ขึ้นอยู่กับตน | |
เจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์ | ภิกษุผู้ได้รับสมมติ คือแต่งตั้งจากสงฆ์ให้ทำหน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับการของส่วนรวมในวัด ตามพระวินัยแบ่งไว้เป็น ๕ ประเภทคือ ๑. เจ้าอธิการแห่งจีวร ๒. เจ้าอธิการแห่งอาหาร ๓. เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ ๔. เจ้าอธิการแห่งอาราม ๕. เจ้าอธิการแห่งคลัง | |
เจ้าอธิการแห่งคลัง | ภิกษุผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับคลังเก็บพัสดุของสงฆ์ มี ๒ อย่าง คือ ผู้รักษาคลังที่เก็บพัสดุของสงฆ์ (ภัณฑา-คาริก) และผู้จ่ายของเล็กน้อยให้แก่ภิกษุทั้งหลาย (อัปปมัตตวิสัชกะ) | |
เจ้าอธิการแห่งจีวร | คือ ภิกษุผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับจีวร ๓ อย่างคือ ผู้รับจีวร (จีวรปฏิคาหก) ผู้เก็บจีวร (จีวรนิทหก) ผู้แจกจีวร (จีวรภาชก) | |
เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ | ภิกษุผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับเสนาสนะ แยกเป็น ๒ คือ ผู้แจกเสนาสนะให้ภิกษุถือ (เสนาสนคาหาปก) และผู้แต่งตั้งเสนาสนะ (เสนาสนปัญญาปก) | |
เจ้าอธิการแห่งอาราม | ภิกษุผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการงานของวัด แยกเป็น ๓ คือ ผู้ใช้คนงานวัด (อารามิกเปสก) ผู้ใช้สามเณร (สามเณรเปสก) และผู้ดูแลการปลูกสร้าง (นวกัมมิก) | |
เจ้าอธิการแห่งอาหาร | ภิกษุผู้มีหน้าที่ เกี่ยวกับอาหาร มี ๔ อย่าง คือผู้จัดแจกภัต (ภัตตุเทศก์) ผู้แจกยาคู (ยาคุภาชก) และผู้แจกของเคี้ยว (ขัชชภาชก) | |
เจ้าอาวาส | สมภารวัด, หัวหน้าสงฆ์ในวัด มีอำนาจและหน้าที่ปกครองดูแลอำนวยกิจการทุกอย่างเกี่ยวกับวัด | |
โจท | ฟ้องร้อง; ทักท้วง; ดู โอกาส | |
โจทก์ | ผู้ฟ้องร้อง | |
โจทนา | กิริยาที่โจท, การโจท, การฟ้อง, การทักท้วง, การกล่าวหา; คำฟ้อง | |
โจทนากัณฑ์ | ชื่อตอนหนึ่งในคัมภีร์ปริวารแห่งพระวินัยปิฎก | |
โจรกรรม | การลัก, การขโมย, การกระทำของขโมย | |
โจรดุจผูกธง | โจรผู้ร้ายที่ขึ้นชื่อโด่งดัง | |
ใจจืด | ขาดเมตตา เช่น พ่อแม่ มีกำลังพอที่จะเลี้ยงดูลูกได้ ก็ไม่เลี้ยงดูลูกให้สมควรแก่สถานะ เป็นต้น, ไม่เอื้อเฟื้อแก่ใคร | |
ใจดำ | ขาดกรุณา คือตนมีกำลังสามารถจะช่วยให้พ้นทุกข์ได้ก็ไม่ช่วย เช่น เห็นคนตกน้ำแล้วไม่ช่วย เป็นต้น | |
ฉกามาพจรสวรรค์ | สวรรค์ที่ยังเกี่ยวข้องกาม ๖ ชั้น คือ ๑. จาตุมหาราชิกา ๒. ดาวดึงส์ ๓. ยามา ๔. ดุสิต ๕. นิมมานรดี ๖. ปรนิมมิตวสวัตตี | |
ฉงน | สงสัย, ไม่แน่ใจ, เคลือบแคลง, สนเท่ห์ | |
ฉลอง | 1. แทน, ตอบแทน 2. ทำบุญสมโภชหรือบูชา | |
ฉลองพระบาท | รองเท้า | |
ฉลองพระองค์ | เสื้อ | |
ฉวี | ผิวกาย | |
ฉ้อ | โกง เช่นรับฝากของ ครั้นเจ้าของมาขอคืน กล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้รับไว้ หรือได้ให้คืนไปแล้ว | |
ฉักกะ | หมวด ๖ | |
ฉัน | กิน, รับประทาน (ใช้สำหรับภิกษุและสามเณร) | |
ฉันท์ | คำประพันธ์ประเภทหนึ่ง กำหนดด้วยครุลหุ และกำหนดจำนวนคำตามข้อบังคับ | |
ฉันทะ | 1. ความพอใจ, ความชอบใจ, ความยินดี, ความต้องการ, ความรักใคร่ในสิ่งนั้นๆ, ความรักงาน (เป็นกลางๆ เป็นอกุศลก็ได้ เป็นกุศลก็ได้, เป็น อัญญสมานาเจตสิกข้อ ๑๓, ที่เป็นอกุศล เช่นในคำว่า กามฉันทะ ที่เป็นกุศล เช่น ในคำว่า อวิหิงสาฉันทะ) 2. ฉันทะ ที่ใช้เป็นคำเฉพาะ มาเดี่ยวๆ โดยทั่วไปหมายถึงกุศลฉันทะ หรือธรรมฉันทะ ได้แก่ กัตตุกัมยตาฉันทะ คือ ความต้องการที่จะทำหรือความอยากทำ(ให้ดี); ตรงข้ามกับ ตัณหาฉันทะ คือ ความอยากเสพ อยากได้ อยากเอาเพื่อตัว ที่เป็นฝ่ายอกุศล 3. ความยินยอม ความยินยอมให้ที่ประชุมทำกิจนั้นๆ ในเมื่อตนมิได้ร่วมอยู่ด้วย, เป็นธรรมเนียมของภิกษุ ที่อยู่ในวัดซึ่งมีสีมาเดียวกัน มีสิทธิที่จะเข้าประชุมทำกิจของสงฆ์ เว้นแต่ภิกษุนั้นอาพาธจะเข้าร่วมประชุมด้วยไม่ได้ ก็มอบฉันทะคือแสดงความยินยอมให้สงฆ์ทำกิจนั้นๆ ได้ | |
ฉันทาคติ | ลำเอียงเพราะรักใคร่ (ข้อ ๑ ในอคติ ๔) | |
ฉันนะ | อำมาตย์คนสนิทผู้เป็นสหชาติและเป็นสารถีของเจ้าชายสิทธัตถะในวันเสด็จออกบรรพชา ฉันนะตามเสด็จไปด้วย ภายหลังบวชเป็นภิกษุ ถือตัวว่าเป็นคนใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามาแต่เก่าก่อน ใครว่าไม่ฟัง เกิดความบ่อยๆ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ถูกสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์หายพยศ และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ | |
ฉัพพรรณรังสี | รัศมี ๖ ประการ ซึ่งเปล่งออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า คือ ๑. นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน ๒. ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาลทอง ๓. โลหิตะ แดงเหมือนตะวันอ่อน ๔. โอ-ทาตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน ๕. มัญเชฐ สีหงสบาท เหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่ ๖. ประภัสสร เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก | |
ฉายา | 1. เงา, อาการที่เป็นเงาๆ คือไม่ชัดออกไป, อาการเคลือบแฝง 2. ชื่อที่พระอุปัชฌายะตั้งให้แก่ผู้ขอบวชเป็นภาษาบาลี เรียกว่า ชื่อฉายา ที่เรียกเช่นนี้เพราะเดิมเมื่อเสร็จการบวชแล้ว ต้องมีการวัดฉายาคือเงาแดดด้วยการสืบเท้าว่าเงาหดหรือเงาขยายแค่ไหน ชั่วกี่สืบเท้า การวัดเงาด้วยเท้านั้นเป็นมาตรานับเวลา เรียกว่า บาท เมื่อวัดแล้วจดเวลาไว้และจดสิ่งอื่นๆ เช่นชื่อพระอุปัชฌายะ พระกรรมวาจาจารย์ จำนวนสงฆ์ และชื่อผู้อุปสมบท ทั้งภาษาไทยและมคธลงในนั้นด้วย ชื่อใหม่ที่จดลงตอนวัดฉายานั้น จึงเรียกว่า ชื่อฉายา | |
ฉายาปาราชิก | “เงาแห่งปาราชิก” คือ ประพฤติตนในฐานะที่ล่อแหลมต่อปาราชิก อาจเป็นปาราชิกได้ แต่จับไม่ถนัด เรียกว่า ฉายาปาราชิก เป็นผู้ที่สงฆ์รังเกียจ | |
ฉิบหายเสียจากคุณอันใหญ่ | ไม่ได้บรรลุโลกุตตรธรรม, หมดโอกาสที่จะบรรลุโลกุตตรธรรม | |
เฉทนกปาจิตตีย์ | อาบัติปาจิตตีย์ที่ต้องตัดสิ่งของที่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก ได้แก่ สิกขาบทที่ ๕, ๗, ๘, ๙, ๑๐ แห่งรตนวรรค (ปาจิตตีย์ข้อ ๘๗, ๘๙, ๙๐, ๙๑, ๙๒) | |
เฉวียง | (ในคำว่า “ทำผ้าอุตตราสงค์เฉวียงบ่า”) ซ้าย, ในที่นี้หมายถึง พาดจีวรไว้ที่บ่าซ้าย | |
ชฎา | ผมที่เกล้าเป็นมวยสูงขึ้น, เครื่องประดับสำหรับสวมศีรษะ รูปคล้ายมงกุฎ | |
ชฎิล | นักบวชประเภทหนึ่ง เกล้าผมมุ่นเป็นมวยสูงขึ้น มักถือลัทธิบูชาไฟ บางครั้งจัดเข้าในพวกฤษี | |
ชฎิลสามพี่น้อง | ดู ชฎิลกัสสปะ | |
ชฎิลกัสสปะ | กัสสปะสามพี่น้อง คือ อุรุ-เวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ ผู้เป็นนักบวชประเภทชฎิล (ฤๅษีกัสสปะสามพี่น้อง) | |
ชตุกัณณีมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ | |
ชตุเภสัช | พืชที่มียางเป็นยา, ยาทำจากยางพืช เช่น มหาหิงคุ์ กำยาน เป็นต้น | |
ชนกกรรม | กรรมที่นำให้เกิด, กรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลก็ตามที่เป็นตัวแต่งสัตว์ให้เกิด คือชักนำให้ถือปฏิสนธิในภพใหม่ เมื่อสิ้นชีวิตจากภพนี้ (ข้อ ๕ ในกรรม ๑๒) | |
ชนนี | หญิงผู้ให้เกิด, แม่ | |
ชนมายุกาล | เวลาที่ดำรงชีวิตอยู่แต่ปีที่เกิดมา | |
ชนเมชยะ | พระเจ้าแผ่นดินในครั้งโบราณ เคยทำพิธีอัศวเมธ เพื่อประกาศความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ | |
ชนวสภสูตร | สูตรหนึ่งในคัมภีร์ทีฆนิกาย มหาวรรค สุตตันตปิฎก ว่าด้วยเรื่องที่พระเจ้าพิมพิสารซึ่งสวรรคตไปเกิดเป็นชนวสภยักษ์ มาสำแดงตนแก่พระพุทธ-เจ้า และพระอานนท์ แล้วเล่าเหตุการณ์ที่พวกเทวดามาประชุมในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พากันชื่นชมข่าวดีที่เทวดามีจำนวนเพิ่มขึ้นเพราะคนประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า | |
ชมพูทวีป | ชื่อประเทศอินเดียครั้งโบราณ; ดู อินเดีย | |
ชมพูพฤกษ์ | ต้นหว้า | |
ชยเสนะ | พระราชบิดาของพระเจ้าสีหหนุ ครองนครกบิลพัสดุ์ | |
ชราธรรม | มีความแก่เป็นธรรมดา, มีความแก่เป็นของแน่นอน, ธรรมคือความแก่ | |
ชราภาพ | ความแก่, ความชำรุดทรุดโทรม | |
ชลาพุชะ | สัตว์เกิดในครรภ์ ได้แก่มนุษย์ และสัตว์เดียรัจฉานที่ออกลูกเป็นตัว (ข้อ ๑ ในโยนิ ๔) | |
ชลามพุชะ | สัตว์เกิดในครรภ์ ได้แก่มนุษย์ และสัตว์เดียรัจฉานที่ออกลูกเป็นตัว (ข้อ ๑ ในโยนิ ๔) | |
ชลาลัย | “ที่อยู่ของน้ำ”, แม่น้ำ, ทะเล | |
ชโลทกวารี | น้ำ | |
ชะตา | เวลาที่ถือกำเนิดของคนและสิ่งที่สำคัญ | |
ชักสื่อ | นำถ้อยคำหรือข่าวสารของชายและหญิง จากฝ่ายหนึ่งไปบอกอีกฝ่ายหนึ่ง หรือจากทั้งสองฝ่ายให้รู้ถึงกัน เพื่อให้เขาสำเร็จความประสงค์ในทางเมถุน (สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๕) | |
ชั่งเกียจ | ตราชั่งที่ไม่ซื่อตรง ทำไว้เอาเปรียบผู้อื่น | |
ชัชวาล | รุ่งเรือง, สว่าง, โพลงขึ้น | |
ชัยมงคล | มงคลคือความชนะ, ความชนะที่เป็นมงคล | |
ชาคริยานุโยค | การประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่ คือ ความเพียรพยายามปฏิบัติธรรม ไม่เห็นแก่นอน ตื่นตัวอยู่เป็นนิตย์ ชำระจิตไม่ให้มีนิวรณ์ (ข้อ ๓ ในอปัณณกปฏิปทา) | |
ชาตปฐพี | ดินเกิดเอง, ปฐพีแท้ คือมีดินร่วนล้วน มีดินเหนียวล้วน หรือมีของอื่น เช่นหินกรวด กระเบื้อง แร่ และทรายน้อย มีดินร่วน ดินเหนียวมาก ดินนี้ประสงค์เอาที่ยังไม่ได้เผาไฟ กองดินร่วนก็ดี กองดินเหนียวก็ดี มีฝนตกรดเกิน ๔ เดือนมาแล้วนับเข้าในปฐพีแท้ | |
ชาตสระ | สระเกิดเอง, ที่น้ำขังอันเป็นเอง เช่น บึง, หนอง, ทะเลสาบ ฯลฯ | |
ชาติ | การเกิด, ชนิด, พวก, เหล่า, ปวงชนแห่งประเทศเดียวกัน | |
ชาติปุกกุสะ | พวกปุกกุสะ เป็นคนชั้นต่ำพวกหนึ่งในระบบวรรณะของศาสนาพราหมณ์ มีอาชีพคอยเก็บกวาดขยะดอกไม้ตามสถานที่บูชา | |
ชาติสงสาร | ความท่องเที่ยวไปด้วยความเกิด, การเวียนตายเวียนเกิด | |
ชาติสุททะ | พวกสุททะ, คนพวกวรรณะศูทร เป็นคนชั้นต่ำในชมพูทวีป; ดู ศูทร | |
ชานุมณฑล | เข่า, ตอนเข่า | |
ชาวปาจีน | คำเรียกภิกษุชาววัชชีบุตรอีกชื่อหนึ่ง หมายถึงอยู่ด้านทิศตะวันออก, ชาวเมืองตะวันออก | |
ชิวหา | ลิ้น | |
ชิวหาวิญญาณ | ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะรสกระทบลิ้น, รสกระทบลิ้นเกิดความรู้ขึ้น, การรู้รส (ข้อ ๔ ในวิญญาณ ๖) | |
ชิวหาสัมผัส | อาการที่ลิ้น รส และชิวหา-วิญญาณประจวบกัน | |
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา | เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ ลิ้น รส และชิวหา-วิญญาณประจวบกัน | |
ชี | นักบวช, หญิงถือบวช, อุบาสิกาที่นุ่งขาวห่มขาวโกนผมโกนคิ้ว ถือศีล | |
ชีต้น | พระสงฆ์ที่คุ้นเคยใกล้ชิดกับครอบครัวหรือตระกูล ซึ่งเขาเคารพนับถือเป็นอาจารย์เป็นที่ปรึกษา เรียกอย่างคำบาลีว่า กุลุปกะ, กุลูปกะ หรือ กุลุปก์; ดู กุลุปกะ | |
ชีเปลือย | นักบวชจำพวกหนึ่ง ถือเพศเปลือยกาย | |
ชีพ | ชีวิต, ความเป็นอยู่ | |
ชีวก | ชื่อหมอใหญ่ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาและมีชื่อเสียงมากในครั้งพุทธกาล เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายให้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้าด้วย, เรียกชื่อเต็มว่า ชีวก-โกมารภัจจ์ หมอชีวกเกิดที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นบุตรของนางคณิกา (หญิงงามเมือง) ชื่อว่าสาลวดี แต่ไม่รู้จักมารดาบิดาของตน เพราะเมื่อนางสาลวดีมีครรภ์ เกรงค่าตัวจะตก จึงเก็บตัวอยู่ ครั้นคลอดแล้วก็ให้คนรับใช้เอาทารกไปทิ้งที่กองขยะ แต่พอดีเมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ เจ้าชายอภัย โอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร จะไปเข้าเฝ้า เสด็จผ่านไป เห็นการุมล้อมทารกอยู่ เมื่อทรงทราบว่าเป็นทารกและยังมีชีวิตอยู่ จึงได้โปรดให้นำไปให้นางนมเลี้ยงไว้ในวัง ในขณะที่ทรงทราบว่าเป็นทารก เจ้าชายอภัยได้ตรัสถามว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่ (หรือยังเป็นอยู่) หรือไม่ และทรงได้รับคำตอบว่ายังมีชีวิตอยู่ (ชีวติ = ยังเป็นอยู่ หรือยังมีชีวิตอยู่) ทารกนั้นจึงได้ชื่อว่า ชีวก (ผู้ยังเป็น) และเพราะเหตุที่เป็นผู้อันเจ้าชายเลี้ยงจึงได้มีสร้อยนามว่า โกมารภัจจ์ (ผู้อันพระราชกุมารเลี้ยง) ครั้นชีวกเจริญวัยขึ้น พอจะทราบว่าตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวงหาศิลป-วิทยาไว้เลี้ยงตัว จึงได้เดินทางไปศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักสิลา ศึกษาอยู่ ๗ ปี อยากทราบว่าเมื่อใดจะเรียนจบ อาจารย์ให้ถือเสียมไปตรวจดูทั่วบริเวณ ๑ โยชน์รอบเมืองตักสิลา เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวยา ชีวกหาไม่พบ กลับมาบอกอาจารย์ อาจารย์ว่าสำเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแล้ว และมอบเสบียงเดินทางให้เล็กน้อย ชีวกเดินทางกลับยังพระนครราชคฤห์ เมื่อเสบียงหมดในระหว่างทาง ได้แวะหาเสบียงที่เมืองสาเกต โดยไปอาสารักษาภรรยาเศรษฐีเมืองนั้นซึ่งเป็นโรคปวดศีรษะมา ๗ ปี ไม่มีใครรักษาหาย ภรรยาเศรษฐีหายโรคแล้ว ให้รางวัลมากมาย หมอชีวกได้เงินมา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ์ พร้อมด้วยทาสทาสีและรถม้า เดินทางกลับถึงพระนครราชคฤห์ นำเงินและของรางวัลทั้งหมดไปถวายเจ้าชายอภัยเป็นค่าปฏิการคุณที่ได้ทรงเลี้ยงตนมา เจ้าชายอภัยโปรดให้หมอชีวกเก็บรางวัลนั้นไว้เป็นของตนเอง ไม่ทรงรับเอา และโปรดให้หมอชีวกสร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์ ต่อมาไม่นาน เจ้าชายอภัยนำหมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด่พระเจ้าพิมพิสาร จอมชนแห่งมคธทรงหายประชวรแล้ว จะพระราชทานเครื่องประดับของสตรีชาววัง ๕๐๐ นางให้เป็นรางวัล หมอชีวกไม่รับ ขอให้ทรงถือว่าเป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น พระเจ้าพิมพิ-สารจึงโปรดให้หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ประจำฝ่ายในทั้งหมด และประจำพระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข หมอชีวกได้รักษาโรครายสำคัญหลายครั้ง เช่น ผ่าตัดรักษาโรคในสมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผ่าตัดเนื้องอกในลำไส้ของบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี รักษาโรคผอมเหลืองแด่พระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี และถวายการรักษาแด่พระพุทธเจ้าในคราวที่พระบาทห้อพระโลหิตเนื่องจากเศษหินจากก้อนศิลาที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจากภูเขาเพื่อหมายปลงพระชนม์ชีพ หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า ปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ ๒–๓ ครั้ง เห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไป จึงสร้างวัดถวายในอัมพวันคือสวนมะม่วงของตน เรียกกันว่า ชีวกัมพวัน (อัมพวันของหมอชีวก) เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า | |
ชีวกโกมารภัจจ์ | “ผู้ที่พระราชกุมารเลี้ยง ชื่อชีวก”; ดู ชีวก | |
ชีวิต | ความเป็นอยู่ | |
ชีวิตสมสีสี | ผู้สิ้นกิเลสพร้อมกับสิ้นชีวิต, ผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษแล้วก็ดับจิตพอดี | |
ชีวิตักษัย | การสิ้นชีวิต, ตาย | |
ชีวิตินทรีย์ | อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการตามรักษาสหชาตธรรม (ธรรมที่เกิดร่วมด้วย) ดุจน้ำหล่อเลี้ยงดอกบัว เป็นต้น มี ๒ ฝ่ายคือ ๑. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นชีวิตรูป เป็นอุปาทายรูปอย่างหนึ่ง (ข้อที่ ๑๓) เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงเหล่ากรรมชรูป (รูปที่เกิดแต่กรรม) บางทีเรียก รูปชีวิตินทรีย์ ๒. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นเจตสิกเป็นสัพพ-จิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง) อย่างหนึ่ง (ข้อที่ ๖) เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงนามธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลาย บางทีเรียก อรูปชีวิตินทรีย์ หรือ นามชีวิตินทรีย์ | |
ชีโว | ผู้เป็น, ดวงชีพ ตรงกับ อาตมัน หรือ อัตตา ของลัทธิพราหมณ์ | |
ชุณหปักข์, ชุณหปักษ์ | “ฝ่ายขาว, ฝ่ายสว่าง” หมายถึง ข้างขึ้น; ศุกลปักษ์ ก็เรียก; ตรงข้ามกับ กัณหปักษ์ หรือ กาฬปักษ์ | |
ชูงวง | ในประโยคว่า “เราจักไม่ชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล” ถือตัว | |
เชฏฐ | พี่ | |
เชษฐ | พี่ | |
เชฏฐา | พี่ชาย | |
เชษฐา | พี่ชาย | |
เชฏฐภคินี | พี่สาวคนโต | |
เชฏฐมาส | เดือน ๗ | |
เชาวน์ | ความนึกคิดที่แล่นไป, ความเร็วของปัญญาหรือความคิด, ไหวพริบ | |
เชื่อดายไป | เชื่อเรื่อยไป, เชื่อดะไปโดยไม่นึกถึงเหตุผล | |
ซัดไปประหาร | ฆ่าหรือทำร้ายโดยยิงด้วยศรหรือด้วยปืน พุ่งด้วยหอก ขว้างด้วยศิลา เป็นต้น | |
ฌาน | การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ, ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก; ฌาน ๔ คือ ๑. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ (วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) ๒. ทุติยฌาน มีองค์ ๓ (ปีติ สุข เอกัคคตา) ๓. ตติยฌาน มีองค์ ๒ (สุข เอกัคคตา) ๔. จตุตถฌาน มีองค์ ๒ (อุเบกขา เอกัคคตา); ฌาน ๕ ก็เหมือนอย่าง ฌาน ๔ นั่นเอง แต่ตามแบบอภิธรรม ท่านซอยละเอียดออกไป โดยเพิ่มข้อ ๒ แทรกเข้ามา คือ ๑. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ (วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) ๒. ทุติยฌาน มีองค์ ๔ (วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) ข้อ ๓, ๔, ๕ ตรงกับ ข้อ ๒, ๓, ๔ ในฌาน ๔ ตามลำดับ | |
ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ | ปรีชากำหนดรู้ความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว และการออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ตามความเป็นจริง (ข้อ ๗ ในทศพลญาณ) | |
ฌานปนกิจ | กิจเผาศพ, การเผาศพ | |
ญัตติ | คำเผดียงสงฆ์, การประกาศให้สงฆ์ทราบเพื่อทำกิจร่วมกัน, วาจานัด | |
ญัตติกรรม | กรรมอันกระทำด้วยตั้งญัตติไม่ต้องสวดอนุสาวนา คือประกาศให้สงฆ์ทราบ เพื่อทำกิจร่วมกัน เรียกว่าเผดียงสงฆ์อย่างเดียว ไม่ต้องขอมติ เช่น อุโบสถ และ ปวารณา เป็นต้น | |
ญัตติจตุตถกรรม | กรรมมีญัตติเป็นที่สี่ ได้แก่สังฆกรรมที่สำคัญ มีการอุปสมบท เป็นต้น ซึ่งเมื่อตั้งญัตติแล้ว ต้องสวดอนุสาวนาคำประกาศของมติถึง ๓ หน เพื่อสงฆ์คือที่ชุมนุมนั้นจะได้มีเวลาพิจารณาหลายเที่ยว ว่าจะอนุมัติหรือไม่ | |
ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา | การอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม ได้แก่วิธีอุปสมบทที่พระสงฆ์เป็นผู้กระทำอย่างที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยภิกษุประชุมครบองค์กำหนด ในเขตชุมนุมซึ่งเรียกว่าสีมา กล่าววาจาประกาศเรื่องความที่จะรับคนนั้นเข้าหมู่ และได้รับความยินยอมของภิกษุทั้งปวงผู้เข้าประชุมเป็นสงฆ์นั้น; พระราธะเป็นบุคคลแรกที่ได้รับอุปสมบทอย่างนี้ | |
ญัตติทุติยกรรม | กรรมมีญัตติเป็นที่สอง หรือกรรมมีวาจาครบ ๒ ทั้งญัตติ, กรรมอันทำด้วยตั้งญัตติแล้วสวดอนุสาวนาหนเดียว เช่น การสมมติสีมา การสังคายนา และการมอบให้ผ้ากฐิน เป็นต้น | |
ญาณ | ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้, ปรีชากำหนดรู้; ญาณ ๓ หมวดหนึ่ง ได้แก่ ๑. อตีตังส-ญาณ ญาณในส่วนอดีต ๒. อนาคตังส-ญาณ ญาณในส่วนอนาคต ๓. ปัจจุป-ปันนังสญาณ ญาณในส่วนปัจจุบัน; อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ ๑. สัจจญาณ หยั่งรู้อริยสัจจ์แต่ละอย่าง ๒. กิจจญาณ หยั่งรู้กิจในอริยสัจจ์ ๓. กตญาณ หยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยสัจจ์; อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ วิชชา ๓ | |
ญาณ ๑๖ | ญาณที่เกิดแก่ผู้บำเพ็ญวิปัสสนาโดยลำดับตั้งแต่ต้นจนถึงจุดหมายคือมรรคผลนิพพาน ๑๖ อย่างคือ ๑. นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดแยกนามรูป ๒. (นามรูป) ปัจจัยปริคคห-ญาณ ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป ๓. สัมมสนญาณ ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์ ๔.–๑๒. (ตรงกับวิปัสสนาญาณ ๙) ๑๓. โคตรภูญาณ ญาณครอบโคตรคือหัวต่อที่ข้ามพ้นภาวะปุถุชน ๑๔. มัคคญาณ ญาณในอริยมรรค ๑๕. ผลญาณ ญาณอริยผล ๑๖. ปัจจ-เวกขณญาณ ญาณที่พิจารณาทบทวน; ญาณ ๑๖ นี้เรียกเลียนคำบาลีว่า โสฬส-ญาณ หรือเรียกกึ่งไทยว่า ญาณโสฬส; ดู วิปัสสนาญาณ ๙ | |
ญาณจริต | คนที่มีพื้นนิสัยหนักในความรู้ มักใช้ความคิด พึงส่งเสริมด้วย แนะนำให้ใช้ความคิดในทางที่ชอบ (เป็นอีกชื่อหนึ่งของพุทธิจริต) | |
ญาณทัศนะ | การเห็นกล่าวคือการหยั่งรู้, การเห็นที่เป็นญาณ หรือเห็นด้วยญาณ อย่างต่ำสุด หมายถึง วิปัสสนาญาณ นอกนั้นในที่หลายแห่งหมายถึง ทิพพจักขุญาณ บ้าง มรรคญาณ บ้าง และในบางกรณี หมายถึง ผลญาณ บ้าง ปัจจเวกขณญาณ บ้าง สัพพัญญุตญาณ บ้าง ก็มี ทั้งนี้สุดแต่ข้อความแวดล้อมในที่นั้นๆ | |
ญาณทัสสนะ | การเห็นกล่าวคือการหยั่งรู้, การเห็นที่เป็นญาณ หรือเห็นด้วยญาณ อย่างต่ำสุด หมายถึง วิปัสสนาญาณ นอกนั้นในที่หลายแห่งหมายถึง ทิพพจักขุญาณ บ้าง มรรคญาณ บ้าง และในบางกรณี หมายถึง ผลญาณ บ้าง ปัจจเวกขณญาณ บ้าง สัพพัญญุตญาณ บ้าง ก็มี ทั้งนี้สุดแต่ข้อความแวดล้อมในที่นั้นๆ | |
ญาณทัสสนวิสุทธิ | ความหมดจดแห่งญาณทัศนะ ได้แก่ญาณในอริยมรรค ๔; ดู วิสุทธิ | |
ญาณวิปปยุต | ปราศจากญาณ, ไม่ประกอบด้วยปัญญา, ปราศจากปรีชาหยั่งรู้, ขาดความรู้ | |
ญาณสังวร | สำรวมด้วยญาณ (ข้อ ๓ ในสังวร ๕) | |
ญาตปริญญา | กำหนดรู้ขั้นรู้จัก คือกำหนดรู้สิ่งนั้นๆ ตามลักษณะที่เป็นสภาวะของมันเอง พอให้แยกออกจากสิ่งอื่นๆ ได้ เช่น รู้ว่า นี้คือเวทนา เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ์ ดังนี้เป็นต้น (ข้อ ๑ ในปริญญา ๓) | |
ญาตัตถจริยา | พระพุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่พระญาติ, ทรงประพฤติประโยชน์แก่พระประยูรญาติ เช่น ทรงอนุญาตให้พระญาติที่เป็นเดียรถีย์เข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องอยู่ติตถิยปริวาส ๔ เดือนก่อน เหมือนเดียรถีย์อื่น และเสด็จไปห้ามพระญาติที่วิวาทกันด้วยเรื่องน้ำ เป็นต้น; ดู พุทธจริยา | |
ญาติ | พี่น้องที่ยังนับรู้กันได้, ผู้ร่วมสายโลหิตกันทางบิดาหรือมารดา, ในฎีกาวินัย ท่านนับ ๗ ชั้น ทั้งข้างบนและข้างล่าง แต่ตามปกติจะไม่พบมากหลายชั้นอย่างนั้น ปัจจุบันท่านให้นับญาติ ๗ ชั้น หรือ ๗ ชั่วคน คือ นับทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ชั้นตนเองเป็น ๑ ข้างบน ๓ (ถึงทวด) ข้างล่าง ๓ (ถึงเหลน), เขยและสะใภ้ ไม่นับเป็นญาติ | |
ญาติพลี | สงเคราะห์ญาติ, ช่วยเหลือเกื้อกูลญาติ (ข้อ ๑ ในพลี ๕ อย่างแห่งโภคอาทิยะ ๕) | |
ญาติสาโลหิต | พี่น้องร่วมสายโลหิต (ญาติ = พี่น้องที่ยังนับรู้กันได้, สาโลหิต = ผู้ร่วมสายเลือดคือญาติที่สืบสกุลมาโดยตรง) | |
ญายะ | ความถูกต้องชอบธรรม, ความยุติธรรม, สิ่งที่สมเหตุผล, ทางที่ถูก, วิธีการที่ถูกต้อง, ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง หมายถึง อริยอัฏฐังคิกมรรค, ภาวะอันจะลุถึงได้ด้วยข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ได้แก่ นิพพาน | |
ญายธรรม | ความถูกต้องชอบธรรม, ความยุติธรรม, สิ่งที่สมเหตุผล, ทางที่ถูก, วิธีการที่ถูกต้อง, ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง หมายถึง อริยอัฏฐังคิกมรรค, ภาวะอันจะลุถึงได้ด้วยข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ได้แก่ นิพพาน | |
?ายปฏิปนฺโน | พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง หรือปฏิบัติเป็นธรรม คือปฏิบัติปฏิปทาที่จะให้เกิดความรู้ หรือปฏิบัติเพื่อได้ความรู้ธรรม ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ อีกนัยหนึ่งว่าปฏิบัติมุ่งธรรมเป็นใหญ่ ถือความถูกเป็นประมาณ (ข้อ ๓ ในสังฆคุณ ๙) | |
ไญยธรรม | ธรรมอันควรรู้, สิ่งที่ควรรู้ควรเข้าใจ; เญยธรรม ก็เขียน | |
ฎีกา | 1. ปกรณ์ที่พระอาจารย์ทั้งหลายในภายหลัง แต่งแก้หรืออธิบายเพิ่มเติมอรรถกถา 2. หนังสือนิมนต์พระสงฆ์ 3. ใบบอกบุญเรี่ยไร | |
ฐานะ | 1. เหตุ, อย่าง, ประการ, ที่ตั้ง, ตำแหน่ง, โอกาส, ความเป็นไปได้ | |
ฐานาฐานญาณ | ปรีชากำหนดรู้ฐานะ คือสิ่งที่เป็นไปได้ เช่นทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น และอฐานะ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่น ทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี เป็นต้น (ข้อ ๑ ในทสพลญาณ ๑๐) | |
ฐานานุกรม | ลำดับตำแหน่งยศที่พระภิกษุผู้ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์แล้ว มีอำนาจตั้งให้แก่พระภิกษุชั้นผู้น้อยตามทำเนียบ เช่น พระปลัด พระสมุห์ พระใบฎีกา เป็นต้น | |
ฐานานุรูป | สมควรแก่ตำแหน่ง, สมควรแก่เหตุที่จะเป็นได้ | |
ด้น | เย็บผ้าให้ติดกันเป็นตะเข็บโดยฝีเข็ม | |
ดนตรี | ลำดับเสียงอันไพเราะ | |
ดวงตาเห็นธรรม | แปลจากคำว่า ธรรมจักษุ หมายถึงความรู้เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา; ดู ธรรมจักษุ | |
ดับไม่มีเชื้อเหลือ | ดับหมด คือดับทั้งกิเลสทั้งขันธ์ (= อนุปาทิเสสนิพพาน) | |
ดาบส | ผู้บำเพ็ญตบะ, ผู้เผากิเลส | |
ดาวเคราะห์ | ดู ดาวพระเคราะห์ | |
ดาวดึงส์ | สวรรค์ชั้นที่ ๒ แห่งสวรรค์ ๖ ชั้น มีจอมเทพผู้ปกครองชื่อท้าวสักกะ แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าพระอินทร์ | |
ดาวนักษัตร | ดาว, ดาวฤกษ์, มี ๒๗ หมู่ คือ ๑. อัศวินี (ดาวม้า) มี ๗ ดวง ๒.ภรณี (ดาวก้อนเส้า) มี ๓ ดวง ๓. กฤติกา (ดาวลูกไก่) มี ๘ ดวง ๔. โรหิณี (ดาวคางหมู) มี ๗ ดวง ๕.มฤคศิระ (ดาวหัวเนื้อ) มี ๓ ดวง ๖. อารทรา (ดาวตาสำเภา) มี ๑ ดวง ๗. ปุนัพสุ (ดาวสำเภาทอง) มี ๓ ดวง ๘. บุษยะ (ดาวสมอสำเภา) มี ๕ ดวง ๙. อาศเลษา (ดาวเรือน) มี ๕ ดวง ๑๐. มฆา (ดาวงูผู้) มี ๕ ดวง ๑๑. บุรพ-ผลคุณี (ดาวงูเมีย) มี ๒ ดวง ๑๒. อุตร-ผลคุณี (ดาวเพดาน) มี ๒ ดวง ๑๓. หัสตะ (ดาวศอกคู้) มี ๕ ดวง ๑๔. จิตรา (ดาวตาจระเข้) มี ๑ ดวง ๑๕. สวาติ (ดาวช้างพัง) มี ๕ ดวง ๑๖. วิศาขา (ดาวคันฉัตร) มี ๕ ดวง ๑๗. อนุราธา (ดาวประจำฉัตร) มี ๔ ดวง ๑๘. เชษฐา (ดาวช้างใหญ่) มี ๑๔ ดวง ๑๙. มูลา (ดาวช้างน้อย) มี ๙ ดวง ๒๐. บุรพาษาฒ (ดาวสัปคับช้าง) มี ๓ ดวง ๒๑. อุตราษาฒ (ดาวแตรงอน) มี ๕ ดวง ๒๒. ศรวณะ (ดาวหลักชัย) มี ๓ ดวง ๒๓. ธนิษฐา (ดาวไซ) มี ๔ ดวง ๒๔. ศตภิษัช (ดาวพิมพ์ทอง) มี ๔ ดวง ๒๕. บุรพภัทรบท (ดาวหัวเนื้อทราย) มี ๒ ดวง ๒๖. อุตรภัทรบท (ดาวไม้เท้า) มี ๒ ดวง ๒๗. เรวดี (ดาวปลาตะเพียน) มี ๑๖ ดวง | |
ดาวพระเคราะห์ | ในทางโหราศาสตร์หมายถึงดาวทั้ง ๙ ที่เรียกว่า นพเคราะห์ คืออาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ พฤหัสบดี ราหู ศุกร์ เกตุ; แต่ในทางดาราศาสตร์เรียก ดาวเคราะห์ หมายถึงดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ต้องได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์และเป็นบริวารโคจรรอบดวงอาทิตย์มี ๙ ดวง คือ พุธ ศุกร์ โลก อังคาร พฤหัสดี เสาร์ มฤตยู (ยูเรนัส) เกตุหรือพระสมุทร (เนปจูน) พระยม (พลูโต) | |
ดาวฤกษ์ | ดู ดาวนักษัตร | |
ดำริ | คิด, ตริตรอง | |
ดำริชอบ | ดำริออกจากกาม ดำริในอันไม่พยาบาท ดำริในอันไม่เบียดเบียน; ดู สัมมาสังกัปปะ | |
ดำฤษณา | ความอยาก, ความดิ้นรน, ความปรารถนา, ความเสน่หา (แผลงมาจากคำสันสกฤตว่า ตฤษณา ตรงกับคำที่มาจากบาลีว่า ตัณหา) | |
ดิถี | วันตามจันทรคติ ใช้ว่า ค่ำหนึ่ง สองค่ำ เป็นต้น | |
ดิถีเพ็ญ | ดิถีมีพระจันทร์เต็มดวง, วันขึ้น ๑๕ ค่ำ | |
ดิรัจฉาน | สัตว์มีร่างกายเจริญโดยขวาง, สัตว์เว้นจากมนุษย์; เดียรัจฉาน ก็ใช้ | |
ดิรัจฉานกถา | ดู ติรัจฉานกถา | |
ดิรัจฉานวิชา | ความรู้ที่ขวางต่อทางพระนิพพาน เช่นรู้ในการทำเสน่ห์ รู้ในการทำให้คนถึงวิบัติ รู้เรื่องภูตผี รู้ในทางทำนาย เช่นหมอดู เป็นต้น เมื่อเรียนหรือใช้ปฏิบัติ ตนเองก็หลงเพลินหมกมุ่น ทั้งทำผู้อื่นให้ลุ่มหลงงมงาย ไม่เป็นอันปฏิบัติกิจหน้าที่และประกอบการตามเหตุผล | |
ดึกดำบรรพ์ | ครั้งเก่าก่อน, ครั้งโบราณ | |
ดุษณีภาพ | ความเป็นผู้นิ่ง | |
ดุสิต | สวรรค์ชั้นที่ ๔ แห่งสวรรค์ ๖ ชั้น มีท้าวสันดุสิตเทวราชปกครอง สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่สถิตของพระโพธิสัตว์ก่อนจุติลงมาสู่มนุษยโลกและตรัสรู้ในพระชาติสุดท้าย | |
เดาะ | (ในคำว่า “การเดาะกฐิน”) เสียหายคือกฐินใช้ไม่ได้ หมดประโยชน์ หมดอานิสงส์ ออกมาจากคำว่า อุพฺภาโร, อุทฺธาโร แปลว่า “ยกขึ้น หรือรื้อ” เข้ากับศัพท์ กฐิน แปลว่า “รื้อไม้สะดึง” คือหมดโอกาสได้ประโยชน์จากกฐิน | |
เดียงสา | รู้ความควรและไม่ควร, รู้ความเป็นไปบริบูรณ์แล้ว, เข้าใจความ | |
เดียรฉาน | สัตว์อื่นจากมนุษย์, สัตว์ผู้มีร่างกายเจริญขวางออกไป คือไม่เจริญตั้งขึ้นไปเหมือนคนหรือต้นไม้ | |
เดียรัจฉาน | สัตว์อื่นจากมนุษย์, สัตว์ผู้มีร่างกายเจริญขวางออกไป คือไม่เจริญตั้งขึ้นไปเหมือนคนหรือต้นไม้ | |
เดียรถีย์ | นักบวชภายนอกพระพุทธ-ศาสนา | |
เดือน | ดวงจันทร์, ส่วนของปี คือปีหนึ่งมี ๑๒ เดือนบ้าง ๑๓ เดือนบ้าง (อย่างจันทรคติ); การที่นับเวลาเป็นเดือนและเรียกเวลาที่นับนั้นว่าเดือนก็เพราะกำหนดเอาข้างขึ้นข้างแรมของเดือน คือดวงจันทร์เป็นหลักมาตั้งแต่เดิม ดูชื่อเดือนที่ มาตรา | |
โดยชอบ | ในประโยคว่า “เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ” ความตรัสรู้นั้นชอบ ถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่วิปริต ให้สำเร็จประโยชน์แก่พระองค์เองและผู้อื่น | |
ได้รับสมมติ | ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ หรือทำกิจที่สงฆ์มอบหมาย อย่างใดอย่างหนึ่ง | |
ตจะ | หนัง | |
ตจปัญจกกัมมัฏฐาน | กรรมฐานมีหนังเป็นที่คำรบห้า กรรมฐานอันบัณฑิตกำหนดด้วยอาการมีหนังเป็นที่ ๕ เป็นอารมณ์ คือ กรรมฐานที่ท่านสอนให้พิจารณาส่วนของร่างกาย ๕ อย่างคือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยความเป็นของปฏิกูล หรือโดยความเป็นสภาวะอย่างหนึ่งๆ ตามที่มันเป็นของมัน ไม่เอาใจเข้าไปผูกพันแล้วคิดวาดภาพใฝ่ฝันตามอำนาจกิเลส พจนานุกรมเขียน ตจปัญจกกรรมฐาน เรียกอีกอย่างว่า มูลกัมมัฏฐาน (กรรมฐานเบื้องต้น) | |
ตติยฌาน | ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ ละปีติเสียได้ คงอยู่แต่สุข กับ เอกัคคตา | |
ตถตา | ความเป็นอย่างนั้น, ความเป็นเช่นนั้น, ภาวะที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของมันอย่างนั้นเอง คือเป็นไปตามเหตุปัจจัย (มิใช่เป็นไปตามความอ้อนวอนปรารถนา หรือการดลบันดาลของใครๆ) เป็นชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกกฎ ปฏิจจสมุปบาท หรือ อิทัปปัจจยตา | |
ตถาคต | พระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกหรือตรัสถึงพระองค์เอง แปลได้ความหมาย ๘ อย่าง คือ ๑. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น คือ เสด็จมาทรงบำเพ็ญพุทธจริยา เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เป็นต้น เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ อย่างไรก็อย่างนั้น ๒. พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น คือทรงทำลายอวิชชาสละปวงกิเลสเสด็จไปเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ อย่างไรก็อย่างนั้น ๓. พระผู้เสด็จมาถึงตถ-ลักษณะ คือ ทรงมีพระญาณหยั่งรู้เข้าถึงลักษณะที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายหรือของธรรมทุกอย่าง ๔. พระผู้ตรัสรู้ตถ-ธรรมตามที่มันเป็น คือ ตรัสรู้อริยสัจจ์ ๔ หรือปฏิจจสมุปบาทอันเป็นธรรมที่จริงแท้แน่นอน ๕. พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น คือ ทรงรู้เท่าทันสรรพอารมณ์ที่ปรากฏแก่หมู่สัตว์ทั้งเทพและมนุษย์ ซึ่งสัตวโลกตลอดถึงเทพถึงพรหมได้ประสบและพากันแสวงหา ทรงเข้าใจสภาพที่แท้จริง ๖. พระผู้ตรัสอย่างนั้น (หรือมีพระวาจาที่แท้จริง) คือ พระดำรัสทั้งปวงนับแต่ตรัสรู้จนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ล้วนเป็นสิ่งแท้จริงถูกต้อง ไม่เป็นอย่างอื่น ๗. พระผู้ทำอย่างนั้น คือ ตรัสอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด ตรัสอย่างนั้น ๘. พระผู้เป็นเจ้า (อภิภู) คือ ทรงเป็นผู้ใหญ่ยิ่งเหนือกว่าสรรพสัตว์ตลอดถึงพระพรหมที่สูงสุด เป็นผู้เห็นถ่องแท้ ทรงอำนาจ เป็นราชาที่พระราชาทรงบูชา เป็นเทพแห่งเทพ เป็นอินทร์เหนือพระอินทร์ เป็นพรหมเหนือประดาพรหม ไม่มีใครจะอาจวัดหรือจะทัดเทียมพระองค์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ | |
ตถาคตโพธิสัทธา | ดู สัทธา | |
ตทังคนิพพาน | “นิพพานด้วยองค์นั้น”, นิพพานด้วยองค์ธรรมจำเพาะ เช่น มองเห็นขันธ์ ๕ โดยไตรลักษณ์แล้วหายทุกข์ร้อน ใจสงบสบายมีความสุขอยู่ตลอดชั่วคราวนั้นๆ, นิพพานเฉพาะกรณี | |
ตทังคปหาน | “การละด้วยองค์นั้น”, การละกิเลสด้วยองค์ธรรมที่จำเพาะกันนั้น คือละกิเลสด้วยองค์ธรรมจำเพาะที่เป็นคู่ปรับกัน แปลง่ายๆ ว่า “การละกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับ” เช่น ละโกรธด้วยเมตตา (แปลกันมาว่า “การละกิเลสได้ชั่วคราว”) | |
ตทังควิมุตติ | “พ้นด้วยองค์นั้นๆ” หมายความว่า พ้นจากกิเลสด้วยอาศัยธรรมตรงข้ามที่เป็นคู่ปรับกัน เช่น เกิดเมตตา หายโกรธ เกิดสังเวช หายกำหนัด เป็นต้น เป็นการหลุดพ้นชั่วคราว และเป็นโลกียวิมุตติ; ดู วิมุตติ | |
ต้นโพธิ์ | ดู โพธิ | |
ตบะ | 1. ความเพียรเครื่องเผาผลาญกิเลส, การบำเพ็ญเพียรเพื่อกำจัดกิเลส 2. พิธีข่มกิเลสโดยการทรมานตัวของนักบวชบางพวกในสมัยพุทธกาล | |
ตปุสสะ | พ่อค้าที่มาจากอุกกลชนบทคู่กับภัลลิกะ พบพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ ณ ภายใต้ต้นไม้ราชายตนะภายหลังตรัสรู้ใหม่ๆ ได้ถวายเสบียงเดินทาง คือ ข้าวสัตตุผง ข้าวสัตตุก้อน แล้วแสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธเจ้ากับพระธรรมเป็นสรณะ นับเป็นปฐมอุบาสกผู้ถึงสรณะ ๒ ที่เรียกว่า เทฺววาจิก | |
ตโปทาราม | สวนซึ่งอยู่ใกล้บ่อน้ำพุร้อนชื่อตโปทา ใกล้พระนครราชคฤห์ เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเคยทำนิมิตต์โอภาสแก่พระอานนท์ | |
ตระกูลอันมั่งคั่ง | จะตั้งอยู่นานไม่ได้เพราะเหตุ ๔ อย่าง คือ ๑. ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว ๒. ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า ๓. ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ ๔. ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีล ให้เป็นแม่บ้านพ่อเรือน | |
ตระบัด | ยืมของเขาไปแล้วเอาเสีย เช่น ขอยืมของไปใช้แล้วไม่ส่งคืน กู้หนี้ไปแล้วไม่ส่งต้นทุนและดอกเบี้ย | |
ตระหนี่ | เหนียว, เหนียวแน่น, ไม่อยากให้ง่ายๆ, ขี้เหนียว (มัจฉริยะ) | |
ตรัสรู้ | รู้แจ้ง หมายถึงรู้อริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค | |
ตรุษ | นักษัตรฤกษ์เมื่อเวลาสิ้นปี | |
ต้อง | ถูก, ถึง, ประสบ (ในคำว่า “ต้องอาบัติ” คือ ถึงความละเมิด หรือมีความผิดสถานนั้นๆ คล้ายในคำว่า ต้องหา ต้องขัง ต้องโทษ ต้องคดี) | |
ต่อตาม | พูดเกี่ยงราคาในเรื่องซื้อขาย, พูดเกี่ยงผลประโยชน์ในการทำความตกลงกัน | |
ต่อหนังสือค่ำ | วิธีที่ใช้สอนให้จำ ในยุคที่ยังไม่ได้ใช้หนังสือ โดยอาจารย์สอนให้ว่าทีละคำหรือทีละวรรค ศิษย์ก็ว่าตามว่าซ้ำหลายๆ ครั้งเพื่อให้จำได้ เมื่อศิษย์จำได้แล้ว อาจารย์ก็สอนต่อไปทุกๆ วัน วันละมากหรือน้อยแล้วแต่ความสามารถของศิษย์ นี่เรียกว่า ต่อหนังสือ และมักต่อในเวลาค่ำ จึงเรียกว่า ต่อหนังสือค่ำ | |
ตะเบ็งมาน | เป็นชื่อวิธีห่มผ้าของหญิงอย่างหนึ่ง คือ เอาผ้าโอบหลังสอดรักแร้สองข้างออกมาข้างหน้า ชักชายไขว้กันขึ้นพาดบ่าปกลงไปเหน็บไว้ที่ผ้าโอบหลัง | |
ตะโพน | เครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง มีหนังสองหน้า ตรงกลางป่อง ริม ๒ ข้างสอบลง | |
ตักกะ | เปรียง; ดู เบญจโครส | |
ตักบาตรเทโว | ดู เทโวโรหณะ | |
ตักสิลา | ชื่อนครหลวงแห่งแคว้นคันธาระ ซึ่งเป็นแคว้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แคว้นแห่งชมพูทวีป ตักสิลามีมาแต่ดึกดำ-บรรพ์ก่อนพุทธกาล เคยรุ่งเรืองด้วยศิลปวิทยาต่างๆ เป็นสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดในการศึกษายุคโบราณ เรียกกันว่า เป็นเมืองมหาวิทยาลัย สันนิษฐานว่า บัดนี้ อยู่ในเขตราวัลปินดิ ในแคว้นปัญจาป ประเทศปากีสถาน ตักสิลาเป็นราชธานีที่มั่งคั่งรุ่งเรืองสืบต่อกันมาหลายศตวรรษ ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๑ มีเรื่องราวเล่าไว้ในชาดกเป็นอันมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตักสิลาเป็นศูนย์กลางการศึกษา มีสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ สั่งสอนศิลปวิทยาต่างๆ แก่ศิษย์ซึ่งเดินทางมาเล่าเรียนจากทุกถิ่นในชมพูทวีป แต่ในยุคก่อนพุทธกาลชนวรรณะสูงเท่านั้นจึงมีสิทธิเข้าเรียนได้ บุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงหลายท่านในสมัยพุทธกาลสำเร็จการศึกษาจากนครตักสิลา เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล เจ้ามหาลิจฉวี พันธุลเสนาบดี หมอชีวกโกมารภัจ และองคุลิมาล เป็นต้น ต่อมาภายหลังพุทธกาล ตักสิลาได้ถูกพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชกษัตริย์กรีกยึดครอง มีหนังสือที่คนชาติกรีกกล่าวถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของเมืองตักสิลา เช่นว่าประชาชนชาวตักสิลา ถ้าเป็นคนยากจนไม่สามารถจะปลูกฝังธิดาให้มีเหย้าเรือนตามประเพณีได้ ก็นำธิดาไปขายที่ตลาดโดยเป่าสังข์ตีกลองเป็นอาณัติสัญญาณ ประชาชนก็พากันมาล้อมดู ถ้าผู้ใดชอบใจก็ตกลงราคากันนำไปเป็นภรรยา หญิงที่สามีตายจะต้องเผาตัวตายไปกับสามี นับแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นต้นมา ตักสิลาได้เป็นนครที่รุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนา ซึ่งเจริญขึ้นมาเคียงข้างศาสนาฮินดู เป็นแหล่งสำคัญแห่งหนึ่งของการศึกษาพระพุทธศาสนา ดังมีซากสถูปเจดีย์ วัดวาอาราม และประติมากรรมแบบศิลปะคันธาระจำนวนมากปรากฏเป็นหลักฐาน ต่อมาราว พ.ศ. ๙๔๓ หลวงจีนฟาเหียนได้มาสืบพระพุทธศาสนา ในอินเดีย ยังได้มานมัสการพระสถูปเจดีย์ที่เมืองตักสิลา แสดงว่าเมืองตักสิลายังคงบริบูรณ์ดีอยู่ แต่ต่อมาราว พ.ศ. ๑๐๕๐ ชนชาติฮั่นยกมาตีอินเดียและได้ทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้เมืองตัก-สิลาพินาศสาบสูญไป ครั้นถึง พ.ศ. ๑๑๘๖ หลวงจีนเหี้ยนจัง (พระถังซัมจั๋ง) มาสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย กล่าวว่าเมืองตักสิลาตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม เป็นเพียงเมืองหนึ่งที่ขึ้นอยู่ในแคว้นกัศมีระ โบสถ์วิหาร สถานศึกษา และปูชนียสถานถูกทำลายหมด จากนั้นมาก็ไม่ปรากฏเรื่องเมืองตักสิลาอีก; เขียนเต็มตามบาลีเป็น ตักกสิลา เขียนอย่างสันสกฤตเป็น ตักษศิลา อังกฤษเขียน Taxila | |
ตั่ง | ม้า ๔ เหลี่ยมรี นั่งได้ ๒ คนก็มี | |
ตัชชนียกรรม | กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงขู่, สังฆกรรมประเภทนิคหกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งสงฆ์ทำการตำหนิโทษภิกษุผู้ก่อความทะเลาะวิวาท ก่ออธิกรณ์ขึ้นในสงฆ์ เป็นผู้มีอาบัติมาก และคลุกคลีกับคฤหัสถ์ในทางที่ไม่สมควร | |
ตั้งใจชอบ | ดู สัมมาสมาธิ | |
ตณฺหกฺขโย | ความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นไวพจน์อย่างหนึ่งแห่ง วิราคะ และนิพพาน | |
ตัณหา | ความทะยานอยาก, ความดิ้นรน, ความปรารถนา, ความแส่หา มี ๓ คือ ๑. กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม อยากได้อารมณ์อันน่ารักใคร่ ๒. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ ๓. วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ อยากไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่ อยากพรากพ้นดับสูญไปเสีย | |
ตัณหา | ธิดามารนางหนึ่งใน ๓ นาง ที่อาสาพระยามารผู้เป็นบิดา เข้าไปประโลมพระพุทธเจ้าด้วยอาการต่างๆ ในสมัยที่พระองค์ประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธภายหลังตรัสรู้ใหม่ๆ (อีก ๒ นาง คือ อรดี กับ ราคา) | |
ตัตรมัชฌัตตตา | ความเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ, ภาวะที่จิตและเจตสิกตั้งอยู่ในความเป็นกลาง บางทีเรียก อุเบกขา (ข้อ ๗ ในโสภณเจตสิก ๒๕) | |
ตัสสปาปิยสิกากรรม | กรรมอันสงฆ์พึงทำเพราะความที่ภิกษุนั้นเป็นผู้เลวทราม, กรรมนี้สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้เป็นจำเลยในอนุวาทาธิกรณ์ ให้การกลับไปกลับมา เดี๋ยวปฏิเสธ เดี๋ยวสารภาพ พูดถลากไถล พูดกลบเกลื่อนข้อที่ถูกซัก พูดมุสาซึ่งหน้า สงฆ์ทำกรรมนี้แก่เธอเป็นการลงโทษตามความผิดแม้ว่าเธอจะไม่รับ หรือเพื่อเพิ่มโทษจากอาบัติที่ต้อง | |
ตาลุ | เพดานปาก | |
ตำรับ, ตำหรับ | ตำราที่กำหนดไว้เป็นเฉพาะแต่ละเรื่องละราย | |
ติกะ | หมวด ๓ | |
ติจีวรวิปปวาส | การอยู่ปราศจากไตรจีวร | |
ติจีวรอวิปปวาส | การไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร; ดู ติจีวราวิปปวาส | |
ติจีวราวิปปวาส | การไม่อยู่ปราศจากไตร-จีวร คือ ภิกษุอยู่ในแดนที่สมมติเป็น ติจีวราวิปปวาสแล้ว อยู่ห่างจากไตรจีวรก็ไม่เป็นอันอยู่ปราศ ไม่ต้องอาบัติด้วยนิสสัคคิยปาจิตตีย์สิกขาบทที่ ๑ | |
ติจีวราวิปปวาสสีมา | แดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร สมมติแล้ว ภิกษุอยู่ห่างจากไตรจีวรในสีมานั้น ก็ไม่เป็นอันปราศ | |
ติณชาติ | หญ้า | |
ติณวัตถารกวิธี | วิธีแห่ง ติณวัตถารกวินัย | |
ติณวัตถารกวินัย | ระเบียบดังกลบไว้ด้วยหญ้า ได้แก่กิริยาที่ให้ประนีประนอมกันทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องชำระสะสางหาความเดิม เป็นวิธีระงับอาปัตตาธิกรณ์ ที่ใช้ในเมื่อจะระงับลหุกาบัติที่เกี่ยวกับภิกษุจำนวนมาก ต่างก็ประพฤติไม่สมควรและซัดทอดกัน เป็นเรื่องนุงนังซับซ้อน ชวนให้ทะเลาะวิวาท กล่าวซัดลำเลิกกันไปไม่มีที่สุด จะระงับด้วยวิธีอื่นก็จะเป็นเรื่องลุกลามไป เพราะถ้าจะสืบสวนสอบสวนปรับให้กันและกันแสดงอาบัติ ก็มีแต่จะทำให้อธิกรณ์รุนแรงยิ่งขึ้น จึงระงับเสียด้วยติณวัตถารกวิธี คือแบบกลบไว้ด้วยหญ้า ตัดตอนยกเลิกเสีย ไม่สะสางความหลังกันอีก | |
ติตถกร | เจ้าลัทธิ หมายถึงคณาจารย์ ๖ คน คือ ๑. ปูรณกัสสป ๒. มักขลิโคสาล ๓. อชิตเกสกัมพล ๔. ปกุทธกัจจายนะ ๕. สัญชัยเวลัฏฐบุตร ๖. นิครนถนาฏบุตร มักเรียกว่า ครูทั้ง ๖ | |
ติตถิยะ | เดียรถีย์, นักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา | |
ติตถิยปริวาส | วิธีอยู่กรรมสำหรับเดียรถีย์ที่ขอบวชในพระพุทธศาสนา กล่าวคือ นักบวชในลัทธิศาสนาอื่นหากปรารถนาจะบวชเป็นภิกษุในพระพุทธ-ศาสนา จะต้องประพฤติปริวาสก่อน ๔ เดือน หรือจนกว่าพระสงฆ์พอใจ จึงจะอุปสมบทได้ | |
ติตถิยปักกันตกะ | ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ทั้งเป็นภิกษุ อุปสมบทอีกไม่ได้ (เป็นวัตถุ-วิบัติ) | |
ติรัจฉานกถา | ถ้อยคำอันขวางต่อทางนิพพาน, เรื่องราวที่ภิกษุไม่ควรนำมาเป็นข้อถกเถียงสนทนา โดยไม่เกี่ยวกับการพิจารณาสั่งสอนแนะนำทางธรรม อันทำให้คิดฟุ้งเฟ้อและพากันหลงเพลินเสียเวลา เสียกิจหน้าที่ที่พึงปฏิบัติตามธรรม เช่น ราชกถา สนทนาเรื่องพระราชา ว่าราชาพระองค์นั้นโปรดของอย่างนั้น พระองค์นี้โปรดของอย่างนี้ โจรกถา สนทนาเรื่องโจรว่าโจรหมู่นั้นปล้นที่นั่นได้เท่านั้นๆ ปล้นที่นี่ได้เท่านี้ๆ เป็นต้น (ท่านแสดงไว้ ๒๘ อย่าง หรือแยกย่อยได้ ๓๒ อย่าง) | |
ติรัจฉานโยนิ | กำเนิดดิรัจฉาน (ข้อ ๒ ในอบาย ๔); ดู คติ | |
ติรัจฉานวิชา | ดู ดิรัจฉานวิชา | |
ติสรณคมนูปสัมปทา | อุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ เป็นวิธีบวชพระที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสาวกบวชกุลบุตรในครั้งต้นพุทธกาล ต่อมาเมื่อทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมแล้ว ก็ทรงอนุญาตการบวชด้วยไตรสรณคมน์นี้ ให้เป็นวิธีบวชสามเณรสืบมา | |
ติสสเถระ | ชื่อพระเถระองค์หนึ่งในเกาะลังกา เคยอุปการะพระเจ้าวัฏฏคามินีอภัย คราวเสียราชสมบัติแก่ทมิฬ ภายหลังทรงกู้ราชสมบัติคืนได้แล้ว ได้สร้างวัดอภัยคีรีวิหารถวาย | |
ติสสเมตเตยยมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรีที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ | |
ตีรณปริญญา | กำหนดรู้ขั้นพิจารณา คือ กำหนดรู้สังขารด้วยการพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ ว่าสิ่งนั้นๆ มีลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา (ข้อ ๒ ในปริญญา ๓) | |
ตุมพสตูป | พระสถูปบรรจุทะนานทองที่ใช้ตวงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ โทณ-พราหมณ์เป็นผู้สร้าง | |
ตุลาการ | ผู้วินิจฉัยอรรถคดี, ผู้ตัดสินคดี | |
ตู่ | กล่าวอ้างหรือทึกทักเอาของผู้อื่นว่าเป็นของตัว, กล่าวอ้างผิดตัว ผิดสิ่ง ผิดเรื่อง, ในคำว่า “กล่าวตู่พระพุทธเจ้า” หรือ “ตู่พุทธพจน์” หมายความว่า อ้างผิดๆ ถูกๆ, กล่าวสิ่งที่ตรัสว่ามิได้ตรัส กล่าวสิ่งที่มิได้ตรัสว่าได้ตรัสไว้, พูดให้เคลื่อนคลาดหรือไขว้เขวไปจากพุทธ-ดำรัส, พูดใส่โทษ, กล่าวข่มขี่, พูดกด เช่น คัดค้านให้เห็นว่าไม่จริงหรือไม่สำคัญ | |
กล่าวตู่ | กล่าวอ้างหรือทึกทักเอาของผู้อื่นว่าเป็นของตัว, กล่าวอ้างผิดตัว ผิดสิ่ง ผิดเรื่อง, ในคำว่า “กล่าวตู่พระพุทธเจ้า” หรือ “ตู่พุทธพจน์” หมายความว่า อ้างผิดๆ ถูกๆ, กล่าวสิ่งที่ตรัสว่ามิได้ตรัส กล่าวสิ่งที่มิได้ตรัสว่าได้ตรัสไว้, พูดให้เคลื่อนคลาดหรือไขว้เขวไปจากพุทธ-ดำรัส, พูดใส่โทษ, กล่าวข่มขี่, พูดกด เช่น คัดค้านให้เห็นว่าไม่จริงหรือไม่สำคัญ | |
ตู่กรรมสิทธิ์ | กล่าวอ้างเอากรรมสิทธิ์ของผู้อื่นว่าเป็นของตัว | |
เตจีวริกังคะ | องค์แห่งภิกษุผู้ถือไตรจีวรเป็นวัตร คือถือเพียงผ้าสามผืนได้แก่ จีวร สบง สังฆาฏิอย่างละผืนเท่านั้น ไม่ใช้จีวรนอกจากผ้าสามผืนนั้น (ข้อ ๒ ในธุดงค์ ๑๓) | |
เตโชธาตุ | ธาตุไฟ, ธาตุที่มีลักษณะร้อน, ความร้อน; ในร่างกาย ได้แก่ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย และไฟที่เผาอาหารให้ย่อย | |
เตรสกัณฑ์ | “กัณฑ์สิบสาม” ตอนที่ว่าด้วยสิกขาบท ๑๓ หมายถึง หมวดความในพระวินัยปิฎก ส่วนที่ว่าด้วยบทบัญญัติเกี่ยวกับอาบัติสังฆาทิเสสซึ่งมี ๑๓ สิกขาบท | |
เตวาจิก | “มีวาจาครบสาม” หมายถึง ผู้กล่าววาจาถึงสรณะครบทั้งสามอย่างคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ บิดาพระยสเป็นคนแรก ที่ประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต; เทียบ เทฺววาจิก | |
เตียง | ภิกษุทำเตียงหรือตั่ง พึงทำให้มีเท้าเพียง ๘ นิ้วพระสุคต เว้นไว้แต่แม่แคร่เบื้องต่ำ และต้องไม่หุ้มนุ่น ถ้าฝ่าฝืน ต้องปาจิตตีย์ ต้องตัดให้ได้ประมาณ หรือรื้อเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก (ปาจิตตีย์ รตนวรรคที่ ๙ สิกขาบทที่ ๕ และ ๖) | |
โตเทยยมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรีที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์) | |
ไตรจีวร | จีวรสาม, ผ้าสามผืนที่พระวินัยอนุญาตให้ภิกษุมีไว้ใช้ประจำตัวคือ ๑. สังฆาฏิ ผ้าทาบ ๒. อุตราสงค์ ผ้าห่ม เรียกสามัญในภาษาไทยว่าจีวร ๓. อันตรวาสก ผ้านุ่ง เรียกสามัญว่าสบง | |
ไตรทวาร | ทวารสาม, ทางทำกรรม ๓ ทาง คือ กายทวาร วจีทวาร และ มโนทวาร | |
ไตรเพท | พระเวท ๓ อย่าง ซึ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ ๑. ฤคเวท ประมวลบทสวดสรรเสริญเทพเจ้า ๒. ยชุรเวท ประกอบด้วยบทสวดอ้อนวอนในพิธีบูชายัญต่างๆ ๓. สามเวท ประมวลบทเพลงขับสำหรับสวดหรือร้องเป็นทำนองในพิธีบูชายัญ ต่อมาเพิ่ม อาถรรพเวท หรือ อาถรรพณเวท อันว่าด้วยคาถาทางไสยศาสตร์เข้ามาอีกเป็น ๔ | |
ไตรมาส | สามเดือน | |
ไตรรัตน์ | แก้วสามประการ หมายถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ | |
ไตรลักษณ์ | ลักษณะสาม อาการที่เป็นเครื่องกำหนดหมายให้รู้ถึงความจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย ที่เป็นอย่างนั้นๆ ๓ ประการ ได้แก่ ๑. อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง ๒. ทุกขตา ความเป็นทุกข์หรือความเป็นของคงทนอยู่มิได้ ๓. อนัตตตา ความเป็นของมิใช่ตัวตน (คนไทยนิยมพูดสั้นๆ ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และแปลง่ายๆ ว่า “ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา”) | |
ไตรลิงค์ | สามเพศ หมายถึง คำศัพท์ที่เป็นได้ทั้งสามเพศในทางไวยากรณ์ กล่าวคือ ปุงลิงค์ เพศชาย อิตถีลิงค์ เพศหญิง นปุงสกลิงค์ มิใช่เพศชายและหญิง; คำบาลีที่เป็นไตรลิงค์ เช่น นิพฺพุโต นิพฺพุตา นิพฺพุตํ เป็น ปุงลิงค์ อิตถีลิงค์ และนปุงสกลิงค์ ตามลำดับ | |
ไตรวัฏฏ์ | วัฏฏะ ๓, วงวน ๓ หรือวงจร ๓ ส่วนของปฏิจจสมุปบาทซึ่งหมุนเวียนสืบทอดต่อๆ กันไป ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิด หรือวงจรแห่งทุกข์ ได้แก่ กิเลส กรรม และ วิบาก (เรียกเต็มว่า ๑. กิเลส-วัฏฏ์ ประกอบด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ๒. กรรมวัฏฏ์ ประกอบด้วย สังขาร ภพ ๓. วิปากวัฏฏ์ ประกอบด้วย วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส) คือ กิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมก็ได้รับวิบากคือผลของกรรมนั้น อันเป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสแล้วทำกรรมหมุนเวียนต่อไปอีก เช่น เกิดกิเลสอยากได้ของเขา จึงทำกรรมด้วยการไปลักของเขามา ประสบวิบากคือได้ของนั้นมาเสพเสวย เกิดสุขเวทนา ทำให้มีกิเลสเหิมใจอยากได้รุนแรงและมากยิ่งขึ้นจึงยิ่งทำกรรมมากขึ้น หรือในทางตรงข้าม ถูกขัดขวาง ได้รับทุกขเวทนาเป็นวิบาก ทำให้เกิดกิเลสคือโทสะแค้นเคือง แล้วพยายามทำกรรมคือประทุษร้ายเขา เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ วงจรจะหมุนเวียนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด; ไตรวัฏ ก็เขียน | |
ไตรสรณะ | ที่พึ่งสาม คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ | |
ไตรสรณคมน์ | การถึงสรณะสาม, การถึงรัตนะสาม คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง คำถึงไตรสรณะดังนี้: “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” (ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ), “ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ” (ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ), “สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ” (ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ); “ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” (ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแม้ครั้งที่ ๒), “ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ”; “ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” (ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแม้ครั้งที่ ๓), “ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ” | |
ไตรสิกขา | สิกขาสาม, ข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เรียกกันง่ายๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา | |
ถ้วนทศมาส | ครบสิบเดือน (ในการตั้งครรภ์) | |
ถวายพระเพลิง | ให้ไฟ คือ เผา | |
ถอน | (ในคำว่า “รู้จักถอนไตรจีวร”) ยกเลิกของเดิม ออกมาจากศัพท์ ปัจจุทธรณ์ | |
ถัมภะ | หัวดื้อ (ข้อ ๑๑ ในอุปกิเลส ๑๖) | |
ถาวรวัตถุ | สิ่งของที่มั่นคง ได้แก่ของที่สร้างด้วยอิฐ ปูน หรือโลหะ เช่น โบสถ์ เจดีย์ วิหาร เป็นต้น | |
ถีนะ | ความหดหู่, ความท้อแท้ใจ | |
ถีนมิทธะ | ความหดหู่และเชื่อมซึม, ความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม, ความง่วงเหงาซึมเซา (ข้อ ๓ ในนิวรณ์ ๕) | |
ถึงที่สุดเพท | เรียนจบไตรเพท | |
ถือ | (ในคำว่า การให้ถือเสนาสนะ) รับแจก, รับมอบ, ถือสิทธิ์ครอบครอง | |
ถือบวช | ถือการเว้นต่างๆ ตามข้อกำหนดทางศาสนา | |
ถือบังสุกุล | ใช้ผ้าเฉพาะที่ได้จากกองฝุ่นกองหยากเยื่อ คือผ้าที่เขาทิ้งแล้วมาทำเครื่องนุ่งห่ม ไม่ใช้ผ้าที่ชาวบ้านถวาย; ดู ปังสุกูลิกังคะ | |
ถุลลโกฏฐิตนิคม | นิคมแห่งหนึ่งอยู่ในแคว้นกุรุ | |
ถุลลัจจัย | “ความล่วงละเมิดที่หยาบ”, ชื่ออาบัติหยาบอย่างหนึ่งเป็นความผิดขั้นรองลงมาจากอาบัติสังฆาทิเสส เช่น ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ภิกษุชักสื่อบัณเฑาะก์ (กะเทย) ต้องอาบัติถุลลัจจัย ภิกษุนุ่งห่มหนังเสืออย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย; ดู อาบัติ | |
ถูณคาม | ตำบลที่กั้นอาณาเขตมัชฌิมชนบท ด้านทิศตะวันตก เขียน ถูนคาม ก็มี | |
ถูปารหบุคคล | บุคคลผู้ควรแก่สถูปคือ บุคคลที่ควรนำกระดูกบรรจุสถูปไว้บูชา มี ๔ คือ ๑. พระพุทธเจ้า ๒. ปัจเจก-พุทธเจ้า ๓. พระอรหันตสาวก ๔. พระเจ้าจักรพรรดิ | |
เถยยสังวาส | ลักเพศ, มิใช่ภิกษุ แต่ปลอมเพศเป็นภิกษุ (พจนานุกรมเขียน เถย-สังวาส, เขียนอย่างบาลีเป็น เถยยสังวาสก์) | |
เถระ | พระผู้ใหญ่ ตามพระวินัยกำหนดว่ามีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป; เทียบ นวกะ, มัชฌิมะ | |
เถรภูมิ | ขั้นหรือชั้นแห่งพระเถระ, ระดับอายุ คุณธรรม ความรู้ ที่นับว่าเป็นพระผู้ใหญ่ คือมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป และรู้ปาฏิโมกข์ เป็นต้น เทียบ นวกภูมิ, มัชฌิมภูมิ | |
เถรวาท | วาทะหรือลัทธิของพระเถระ, นิกายพระพุทธศาสนาฝ่ายใต้ ซึ่งถือตามคติที่พระอรหันต์พุทธสาวกได้วางหลักธรรมวินัยเป็นแบบแผนไว้เมื่อครั้งปฐมสังคายนา ได้แก่พระพุทธศาสนาอย่างที่นับถือแพร่หลายในประเทศไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา (อีกนิกายหนึ่ง คือ มหายาน) | |
เถรานุเถระ | “เถระและอนุเถระ”, พระเถระผู้ใหญ่ผู้น้อย | |
เถรี | พระเถระผู้หญิง | |
ไถ้ | ถุงยาวๆ สำหรับใส่เงินหรือสิ่งของ | |
ไถยจิต | จิตคิดจะลัก, จิตคิดขโมย, จิตประกอบด้วยความเป็นขโมย | |
ทธิ | นมส้ม, นมเปรี้ยว; ดู เบญจโครส | |
ทนต์ | ฟัน | |
ทมะ | การฝึก, การฝึกฝนปรับปรุงตน, การรู้จักข่มจิตข่มใจ บังคับควบคุมตนเองได้ ไม่พูดไม่ทำเพียงตามที่อยาก แต่พูดและทำตามเหตุผลที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่าดีงามสมควรเป็นประโยชน์ รู้จักปรับตัวปรับใจ และแก้ไขปรับปรุงตนด้วยปัญญาไตร่ตรองให้งอกงามดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ (ข้อ ๒ ในฆราวาสธรรม ๔) | |
ทมิฬ | ชื่อชนเผ่าหนึ่งในเกาะลังกา เคยชิงราชสมบัติพระเจ้าวัฏฏคามินีอภัยได้ | |
ทรกรรม | การทำให้ลำบาก | |
ทรง | ใช้, ถือครอง, เก็บไว้, มีไว้เป็นสิทธิ์, ครอบครอง, ครอง, นุ่งห่ม เช่นในประโยคว่า “พึงทรงอติเรกบาตรไว้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง” และในประโยคว่า “ภิกษุทรงอติเรกจีวรได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง” | |
ทรมาน | ข่ม, ปราบ, ฝึก, ทำให้เสื่อมพยศ, ทำให้เสื่อมการถือตัว, ทำให้กลับใจ บัดนี้มักหมายถึง ทำให้ลำบาก | |
ทรยศ | คิดร้ายต่อมิตรหรือผู้มีบุญคุณ | |
ทวดึงสกรรมกรณ์ | วิธีลงโทษ ๓๒ อย่าง ซึ่งใช้ในสมัยโบราณ เช่น โบยด้วยแส้ โบยด้วยหวาย ตีด้วยกระบอง ตัดมือ ตัดเท้า ตัดหู ตัดจมูก ตัดศีรษะ เอาขวานผ่าอก เป็นต้น | |
ทวดึงสาการ | ดู ทวัดติงสาการ | |
ทวัตติงสงสกรรมกรณ์ | ดู ทวดึงส-กรรมกรณ์ | |
ทวัตติงสาการ | อาการ ๓๒, ส่วนประกอบที่มีลักษณะต่างๆ กัน ๓๒ อย่าง ในร่างกาย คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า (อุจจาระ) มันสมอง ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร (ปัสสาวะ); ใน ขุททกปาฐะ (ฉบับสยามรัฐ) เรียงลำดับมันสมองไว้เป็นข้อสุดท้าย; ทวัตดึงสาการ หรือ ทวดึงสาการ ก็เขียน | |
ทวาร | ประตู, ทาง, ช่องตามร่างกาย 1. ทางรับรู้อารมณ์ มี ๖ คือ ๑. จักขุทวาร ทางตา ๒. โสตทวาร ทางหู ๓. ฆาน-ทวาร ทางจมูก ๔. ชิวหาทวาร ทางลิ้น ๕. กายทวาร ทางกาย ๖. มโนทวาร ทางใจ 2. ทางทำกรรม ๑. กายทวาร ทางกาย ๒. วจีทวาร ทางวาจา ๓. มโน-ทวาร ทางใจ | |
ทวารบาล | คนเฝ้าประตู | |
ทวารเบา | ช่องปัสสาวะ | |
ทวารหนัก | ช่องอุจจาระ | |
ทวิช | ชื่อหนึ่งสำหรับเรียกพราหมณ์ ในภาษาไทยเป็น ทิชาจารย์ หรือ ทวิชาจารย์ ก็มี แปลว่า “เกิดสองหน” หมายถึง เกิดโดยกำเนิดครั้งหนึ่ง เกิดโดยได้รับครอบเป็นพราหมณ์ครั้งหนึ่ง เปรียบเหมือนนกซึ่งเกิดสองหนเหมือนกัน คือเกิดจากท้องแม่ออกเป็นไข่หนหนึ่ง เกิดจากไข่เป็นตัวอีกหนหนึ่ง นกจึงมีชื่อเรียกว่า ทวิช หรือ ทิช ซึ่งแปลว่า “เกิดสองหน” อีกชื่อหนึ่งด้วย | |
ทวิบท | สัตว์สองเท้า มี กา ไก่ นก เป็นต้น | |
ทศพลญาณ | ดู ทสพลญาณ | |
ทศพิธราชธรรม | ดู ราชธรรม | |
ทศมาส | สิบเดือน | |
ทศวรรค | สงฆ์มีพวกสิบ คือ สงฆ์พวกที่กำหนดจำนวน ๑๐ รูปเป็นอย่างน้อยจึงจะครบองค์ ทำสังฆกรรมประเภทนั้นๆ ได้ เช่น การอุปสมบทในมัธยมประเทศ ต้องใช้สงฆ์ทศวรรค | |
ทสกะ | หมวด ๑๐ | |
ทสพลญาณ | พระญาณเป็นกำลังของพระพุทธเจ้า ๑๐ ประการ เรียกตามบาลีว่า ตถาคตพลญาณ (ญาณเป็นกำลังของพระตถาคต) ๑๐ คือ ๑. ฐานาฐาน-ญาณ ๒. กรรมวิปากญาณ ๓. สัพพัตถ-คามินีปฏิปทาญาณ ๔. นานาธาตุญาณ ๕. นานาธิมุตติกญาณ ๖. อินทริยปโร-ปริยัตตญาณ ๗. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ ๘. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ๙. จุตูปปาต-ญาณ ๑๐. อาสวักขยญาณ; นิยมเขียน ทศพลญาณ; ดู ญาณ ชื่อนั้นๆ | |
ทองอาบ | ของอาบด้วยทอง, ของชุบทอง, ของแช่ทองคำให้จับผิว | |
ทอด | ในประโยคว่า “ทอดกรรมสิทธิ์ของตนเสีย” ทิ้ง, ปล่อย, ละ | |
ทอดกฐิน | ดู กฐิน, กฐินทาน | |
ทอดธุระ | ไม่เอาใจใส่, ไม่สนใจ, ไม่เอาธุระ | |
ทอดผ้าป่า | เอาผ้าถวายโดยทิ้งไว้เพื่อให้พระชักเอาเอง; ดู ผ้าป่า | |
ทักขิณ | ขวา, ทิศใต้ | |
ทักษิณ | ขวา, ทิศใต้ | |
ทักขิณทิส | “ทิศเบื้องขวา” หมายถึงอาจารย์ (ตามความหมายในทิศ ๖); ดู ทิศหก | |
ทักขิณา | ทานที่ถวายเพื่อผลอันเจริญ, ของทำบุญ | |
ทักษิณา | ทานที่ถวายเพื่อผลอันเจริญ, ของทำบุญ | |
ทักขิณานุปทาน | ทำบุญอุทิศผลให้แก่ผู้ตาย | |
ทักขิณาบถ | เมืองแถบใต้, ประเทศฝ่ายทิศใต้ | |
ทักขิณาวัฏฏ์ | เวียนขวา, วนไปทางขวา คือ วนเลี้ยวทางขวาอย่างเข็มนาฬิกา เขียน ทักษิณาวัฏ หรือ ทักษิณาวรรต ก็มี; ตรงข้ามกับ อุตตราวัฏ | |
ทักขิเณยยบุคคล | บุคคลผู้ควรรับทักษิณา | |
ทกฺขิเณยฺโย | ผู้ควรแก่ทักขิณา, พระสงฆ์เป็นผู้ควรได้ของทำบุญ คือไทยธรรม มีอาหาร ผ้านุ่งห่ม เป็นต้น ที่มีผู้บริจาค (ข้อ ๗ ในสังฆคุณ ๙) | |
ทักขิโณทก | น้ำที่หลั่งในเวลาทำทาน | |
ทักขิไณย | ผู้ควรแก่ทักขิณา, ผู้ควรรับของทำบุญที่ทายกถวาย | |
ทักขิไณยบุคคล | บุคคลผู้ควรรับทักษิณา; ดู ทักขิไณย | |
ทักษิณนิกาย | นิกายพุทธศาสนาฝ่ายใต้ที่พวกอุตรนิกายตั้งชื่อให้ว่า หีนยาน ใช้บาลีมคธ บัดนี้ นิยมเรียกว่า เถรวาท | |
ทักษิณา | ทานเพื่อผลอันเจริญ, ของทำบุญ | |
ทักษิณานุประทาน | ทำบุญอุทิศผลให้แก่ผู้ตาย | |
ทักษิโณทก | น้ำที่หลั่งในเวลาทำทาน, น้ำกรวด, คือเอาน้ำหลั่งเป็นเครื่องหมายของการให้แทนสิ่งของที่ให้ เช่น ที่ดิน ศาลา กุฎี บุญกุศล เป็นต้น ซึ่งใหญ่โตเกินกว่าที่จะยกไหว หรือไม่มีรูปที่จะยกขึ้นได้ | |
ทัณฑกรรม | การลงอาชญา, การลงโทษ; ในที่นี้ หมายถึงการลงโทษสามเณรคล้ายกับการปรับอาบัติภิกษุ ได้แก่ กักบริเวณ ห้ามไม่ให้เข้า ห้ามไม่ให้ออกจากอาราม หรือการใช้ตักน้ำ ขนฟืน ขนทราย เป็นต้น | |
ทัณฑกรรมนาสนา | ให้ฉิบหายด้วยการลงโทษ หมายถึงการไล่ออกจากสำนัก เช่น ที่ทำแก่กัณฑกสามเณร ผู้กล่าวตู่พระธรรมเทศนาว่า ธรรมที่ตรัสว่าเป็นอันตราย ไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง | |
ทัณฑปาณิ | กษัตริย์โกลิยวงศ์ เป็นพระราชบุตรของพระเจ้าอัญชนะ เป็นพระเชฏฐาของพระนางสิริมหามายาพุทธ-มารดา | |
ทันต์ | ฟัน | |
ทันตชะ | อักษรเกิดแต่ฟัน คือ ต, ถ, ท, ธ, น และ ส | |
ทัพพมัลลบุตร | พระเถระมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก เป็นพระราช-โอรสของพระเจ้ามัลลราช เมื่อพระชนม์ ๗ พรรษา มีความเลื่อมใสในพระพุทธ-ศาสนา ได้บรรพชาเป็นสามเณร เวลาปลงผม พอมีดโกนตัดกลุ่มผมครั้งที่ ๑ ได้บรรลุโสดาปัตติผล ครั้งที่ ๒ ได้บรรลุสกทาคามิผล ครั้งที่ ๓ ได้บรรลุอนาคามิผล พอปลงผมเสร็จก็ได้บรรลุพระอรหัต ท่านรับภาระเป็นเจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์ในตำแหน่งเสนาสนปัญญาปกะ (ผู้ดูแลจัดสถานที่พักอาศัยของพระ) และภัตตุเทศก์ ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในบรรดาเสนาสนปัญญาปกะ | |
ทัพสัมภาระ | เครื่องเคราและส่วนประกอบทั้งหลาย, สิ่งและเครื่องอันเป็นส่วนประกอบที่จะคุมกันเข้าเป็นเรือน เรือ รถหรือเกวียนเป็นต้น; เขียนเต็มว่า ทัพพสัมภาระ | |
ทัศนีย์ | งาม, น่าดู | |
ทัสสนะ | การเห็น, การเห็นด้วยปัญญา, ความเห็น, สิ่งที่เห็น | |
ทัสสนานุตตริยะ | การเห็นที่ยอดเยี่ยม (ข้อ ๑ ในอนุตตริยะ ๓ หมายถึงปัญญาอันเห็นธรรม ตลอดถึงเห็นนิพพาน; ข้อ ๑ ในอนุตตริยะ ๖ หมายถึง เห็นพระตถาคต ตถาคตสาวก และสิ่งอันบำรุงจิตใจให้เจริญ) | |
ทัฬหีกรรม | การทำให้มั่น เช่น การให้อุปสมบทซ้ำ | |
ทาฐธาตุ, ทาฒธาตุ | พระธาตุคือเขี้ยว, พระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้ามีทั้งหมด ๔ องค์ ตำนานว่า พระเขี้ยวแก้วบนขวาประดิษฐานอยู่ในพระจุฬามณีเจดีย์ในดาวดึงสเทวโลก, องค์ล่างขวาไปอยู่ ณ แคว้นกาลิงคะ แล้วต่อไปยังลังกาทวีป, องค์บนซ้ายไปอยู่ ณ แคว้นคันธาระ, องค์ล่างซ้ายไปอยู่ในนาคพิภพ | |
ทาน | การให้, สิ่งที่ให้, ให้ของที่ควรให้แก่คนที่ควรให้เพื่อประโยชน์แก่เขา, สละให้ปันสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น; ทาน ๒ คือ ๑. อามิสทาน ให้สิ่งของ ๒. ธรรมทาน ให้ธรรม; ทาน ๒ อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. สังฆทาน ให้แก่สงฆ์ หรือให้เพื่อส่วนรวม ๒. ปาฏิบุคลิกทาน ให้เจาะจงแก่บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ (ข้อ ๑ ในทศพิธราชธรรม, ข้อ ๑ ในบารมี ๑๐, ข้อ ๑ ในบุญกิริยาวัตถุ ๓ และ ๑๐, ข้อ ๑ ในสังคหวัตถุ ๔, ข้อ ๑ ในสัปปุริสบัญญัติ ๓) | |
ทานกถา | เรื่องทาน, พรรณนาทาน คือการให้ว่าคืออะไร มีคุณอย่างไร เป็นต้น (ข้อ ๑ ในอนุบุพพิกถา ๕) | |
ทานบน | ถ้อยคำหรือสัญญาว่าจะไม่ทำผิดตามเงื่อนไขที่ได้ให้ไว้; ทัณฑ์บน ก็เรียก | |
ทานบารมี | จรรยาอย่างเลิศคือทาน (ข้อ ๑ ในบารมี ๑๐) | |
ท่านผู้มีอายุ | เป็นคำสำหรับพระผู้ใหญ่ใช้เรียกพระผู้น้อย คือ พระที่มีพรรษาอ่อนกว่า (บาลีว่า อาวุโส) | |
ทานมัย | บุญที่สำเร็จด้วยการบริจาคทาน (ข้อ ๑ ในบุญกิริยาวัตถุ ๓ และ ๑๐) | |
ทายก | (ชาย) ผู้ให้ | |
ทายาท | ผู้สืบสกุล, ผู้ควรรับมรดก | |
ทายิกา | (หญิง) ผู้ให้ | |
ทารก | เด็กที่ยังไม่เดียงสา | |
ทารุณ | หยาบช้า, ร้ายกาจ, รุนแรง, ดุร้าย, โหดร้าย | |
ทารุณกรรม | การทำโดยความโหดร้าย | |
ทาส | บ่าวทั่วไป, คนรับใช้ | |
ทำกรรมเป็นวรรค | สงฆ์ทำสังฆกรรมโดยแยกเป็นพวกๆ ไม่สามัคคีกัน | |
ทำกัปปะ | ทำเครื่องหมายด้วยของ ๓ อย่าง คือ คราม ตม และดำคล้ำ อย่างใดอย่างหนึ่งในเอกเทศ คือส่วนหนึ่งแห่งจีวร เรียกสามัญว่า พินทุ | |
ทำการเมือง | ทำงานของแว่นแคว้น, ทำงานของหลวง | |
ทำการวัด | ทำงานของวัด, ทำงานของพระในอาราม | |
ทำกาละ | ตาย | |
ทำคืน | แก้ไข | |
ทำบุญ | ทำความดี, ทำสิ่งที่ดีงาม, ประกอบกรรมดี ดังที่ท่านแสดงใน บุญกิริยาวัตถุ ๓ หรือบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ แต่ที่พูดกันทั่วไป มักเพ่งที่การเลี้ยงพระตักบาตร ถวายจตุปัจจัยแก่พระสงฆ์ บริจาคบำรุงวัดและการก่อสร้างในวัดเป็นสำคัญ | |
ทำร้ายด้วยวิชา | ได้แก่ ร่ายมนตร์อาคมต่างๆ ใช้ภูตใช้ผีเพื่อทำผู้อื่นให้เจ็บตาย จัดเป็นดิรัจฉานวิชา เทียบตัวอย่างที่จะเห็นในบัดนี้ เช่น ฆ่าด้วยกำลังไฟฟ้าซึ่งประกอบขึ้นด้วยอำนาจความรู้ | |
ทำโอกาส | ให้โอกาส; ดู โอกาส | |
ทิฆัมพร | ท้องฟ้า | |
ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม | กรรมอันให้ผลในปัจจุบัน, กรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล ซึ่งให้ผลทันตาเห็น (ข้อ ๑ ในกรรม ๑๒) | |
ทิฏฐธัมมิกัตถะ | ประโยชน์ในปัจจุบัน, ประโยชน์สุขสามัญที่มองเห็นกันในชาตินี้ ที่คนทั่วไปปรารถนา มีทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น อันจะสำเร็จด้วยธรรม ๔ ประการ คือ ๑. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น ๒. อารักข-สัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา ๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็นคนดี ๔. สมชีวิตา การเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้; มักเรียกคล่องปากว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ | |
ทิฏฐานุคติ | การดำเนินตามสิ่งที่ได้เห็น, แบบอย่าง, ตัวอย่าง, การทำตามอย่าง, ทางดำเนินตามที่ได้มองเห็น, เช่นพระผู้ใหญ่ปฏิบัติตนชอบ ก็เป็นทิฏฐานุคติของพระผู้น้อย | |
ทิฏฐาวิกัมม์ | การทำความเห็นให้แจ้ง ได้แก่แสดงความเห็นแย้ง คือภิกษุผู้เข้าประชุมในสงฆ์บางรูปไม่เห็นร่วมด้วยคำวินิจฉัยอันสงฆ์รับรองแล้วก็ให้แสดงความเห็นแย้งได้ | |
ทิฏฐิ | ความเห็น, ทฤษฎี; ความเห็นผิดมี ๒ คือ ๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง ๒. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ; อีกหมวดหนึ่ง มี ๓ คือ ๑. อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันทำ ๒. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ ๓. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี คือถืออะไรเป็นหลักไม่ได้ เช่น มารดาบิดาไม่มี เป็นต้น; ในภาษาไทยมักหมายถึงการดื้อดึงในความเห็น (พจนานุกรมเขียน ทิฐิ); (ข้อ ๔ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ข้อ ๓ ในอนุสัย ๗) | |
ทิฏฐิบาป | ความเห็นลามก | |
ทิฏฐิปปัตตะ | ผู้ถึงทิฏฐิ คือ บรรลุสัมมา-ทิฏฐิ, พระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป จนถึงผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ที่เป็นผู้มีปัญญินทรีย์แรงกล้า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ (เมื่อบรรลุอรหัตตผล กลายเป็นปัญญาวิมุต); ดู อริยบุคคล ๗ | |
ทิฏฐิมานะ | ทิฏฐิ แปลว่า “ความเห็น” ในที่นี้หมายถึงความเห็นดื้อดึง ถึงผิดก็ไม่ยอมแก้ไข มานะ ความถือตัว รวม ๒ คำ เป็นทิฏฐิมานะ หมายถึงถือรั้นอวดดีหรือดึงดื้อถือตัว | |
ทิฏฐิวิบัติ | วิบัติแห่งทิฏฐิ, ความผิดพลาดแห่งความคิดเห็น, ความเห็นคลาดเคลื่อนผิดธรรมวินัย ทำให้ประพฤติตนนอกแบบแผน ทำความผิดอยู่เสมอ (ข้อ ๓ ในวิบัติ ๔) | |
ทิฏฐิวิสุทธิ | ความหมดจดแห่งความเห็นคือ เกิดความรู้ความเข้าใจ มองเห็นนามรูปตามสภาวะที่เป็นจริงคลายความหลงผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ลงได้ (ข้อ ๓ ในวิสุทธิ ๗) | |
ทิฏฐิสามัญญตา | ความเป็นผู้มีความเสมอกันโดยทิฏฐิ, มีความเห็นร่วมกัน, มีความคิดเห็นลงกันได้ (ข้อ ๖ ในสาร-ณียธรรม ๖) | |
ทิฏฐุชุกัมม์ | การทำความเห็นให้ตรง, การแก้ไขปรับปรุงความคิดเห็นให้ถูกต้อง (ข้อ ๑๐ ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) | |
ทิฏฐุปาทาน | ความถือมั่นในทิฏฐิ, ความยึดติดฝังใจในลัทธิ ทฤษฎี และหลักความเชื่อต่างๆ (ข้อ ๒ ในอุปาทาน ๔) | |
ทิพพจักขุ | จักษุทิพย์, ตาทิพย์, ญาณพิเศษของพระพุทธเจ้า และท่านผู้ได้อภิญญาทั้งหลาย ทำให้สามารถเล็งเห็นหมู่สัตว์ที่เป็นไปต่างๆ กันเพราะอำนาจกรรม เรียกอีกอย่างว่า จุตูปปาตญาณ (ข้อ ในวิชชา ๘, ข้อ ๕ ในอภิญญา ๖) | |
ทิพพจักขุญาณ | ญาณคือทิพพจักขุ, ความรู้ดุจดวงตาทิพย์ | |
ทิพพโสต | หูทิพย์, ญาณพิเศษที่ทำให้ฟังอะไรได้ยินหมดตามปรารถนา; ดู อภิญญา | |
ทิพย์ | เป็นของเทวดา, วิเศษ, เลิศกว่าของมนุษย์ | |
ทิพยจักษุ | ตาทิพย์, ญาณพิเศษที่ทำให้ดูอะไรเห็นได้หมดตามปรารถนา; ดู ทิพพ-จักขุ | |
ทิวงคต | ไปสู่สวรรค์, ตาย | |
ทิวาวิหาร | การพักผ่อนในเวลากลางวัน | |
ทิศ | ด้าน, ข้าง, ทาง, แถบ; ทิศแปด คือ อุดร อีสาน บูรพา อาคเนย์ ทักษิณ หรดี ประจิม พายัพ; ทิศสิบ คือ ทิศแปดนั้น และทิศเบื้องบน (อุปริมทิศ) ทิศเบื้องล่าง (เหฏฐิมทิศ) | |
ทิศทักษิณ | ทิศใต้, ทิศเบื้องขวา | |
ทิศบูร | ทิศตะวันออก, ทิศเบื้องหน้า | |
ทิศบูรพา | ทิศตะวันออก | |
ทิศปัจฉิม | ทิศตะวันตก, ทิศเบื้องหลัง | |
ทิศพายัพ | ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ | |
ทิศหรดี | ทิศตะวันตกเฉียงใต้ | |
ทิศอาคเนย์ | ทิศตะวันออกเฉียงใต้ | |
ทิศอีสาน | ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ | |
ทิศอุดร | ทิศเหนือ, ทิศเบื้องซ้าย | |
ทิศานุทิศ | ทิศน้อยทิศใหญ่, ทิศทั่วๆ ไป | |
ทิศาปาโมกข์ | อาจารย์ผู้เป็นประธานในทิศ, อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง | |
ทีฆะ | สระมีเสียงยาว ได้แก่ อา อี อู เอ โอ; คู่กับ รัสสะ | |
ทีฆนขะ | ชื่อปริพาชกผู้หนึ่ง ตระกูลอัคคิ-เสสนะ ขณะที่พระพุทธเจ้าเทศนาเวทนาปริคคหสูตรโปรดปริพาชกผู้นี้ พระสารี-บุตรนั่งถวายงานพัดอยู่ ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระพุทธองค์ได้ฟังเทศนานั้น ได้สำเร็จพระอรหัต ส่วนทีฆนขะ เพียงแต่ได้ดวงตาเห็นธรรม แสดงตนเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา | |
ทีฆนิกาย | นิกายที่หนึ่งแห่งพระสุตตันต-ปิฎก; ดู ไตรปิฎก | |
ทีฆายุ | อายุยืน | |
ทีฆาวุ | พระราชโอรสของพระเจ้าทีฆีติราชาแห่งแคว้นโกศล ซึ่งถูกพระเจ้าพรหมทัต กษัตริย์แห่งแคว้นกาสีชิงแคว้นจับได้ และประหารชีวิตเสีย ทีฆาวุ-กุมารดำรงอยู่ในโอวาทของพระบิดาที่ตรัสก่อนจะถูกประหาร ภายหลังได้ครองราชสมบัติทั้ง ๒ แคว้น คือ แคว้นกาสีกับแคว้นโกศล | |
ที่ลับตา | ที่มีวัตถุกำบัง แลเห็นไม่ได้ พอจะทำความชั่วได้ | |
ที่ลับหู | ที่แจ้งไม่มีอะไรบัง แต่อยู่ห่าง คนอื่นไม่ได้ยิน พอจะพูดเกี้ยวกันได้ | |
ที่สุด ๒ อย่าง | ข้อปฏิบัติที่ผิดพลาดไม่อาจนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ๒ อย่างคือ ๑. การประกอบตนให้พัวพันด้วยความสุขในกามทั้งหลาย เรียกว่า กามสุขัลลิ-กานุโยค ๒. การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า หรือการทรมานตนให้ลำบากเปล่า เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค | |
ทุกะ | หมวด ๒ | |
ทุกกฏ | “ทำไม่ดี” ชื่ออาบัติเบาอย่างหนึ่ง เป็นความผิดถัดรองลงมาจากปาฏิเทสนียะ เช่น ภิกษุสวมเสื้อ สวมหมวก ใช้ผ้าโพกศีรษะ ต้องอาบัติทุกกฏ; ดู อาบัติ | |
ทุกข์ | 1. สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก, สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดขึ้นและความดับสลาย เนื่องจากต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่ขึ้นต่อตัวมันเอง (ข้อ ๒ ในไตรลักษณ์) 2. อาการแห่งทุกข์ที่ปรากฏขึ้นหรืออาจปรากฏขึ้นได้แก่คน (ได้ในคำว่า ทุกขสัจจะ หรือ ทุกข-อริยสัจจ์ ซึ่งเป็นข้อที่ ๑ ในอริยสัจจ์ ๔) 3. สภาพที่ทนได้ยาก, ความรู้สึกไม่สบาย ได้แก่ ทุกขเวทนา, ถ้ามาคู่กับโทมนัส (ในเวทนา ๕) ทุกข์หมายถึงความไม่สบายกายคือทุกข์กาย (โทมนัสคือไม่สบายใจ) แต่ถ้ามาลำพัง (ในเวทนา ๓) ทุกข์ หมายถึงความไม่สบายกายไม่สบายใจ คือทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ | |
ทุกขขันธ์ | กองทุกข์ | |
ทุกขขัย | สิ้นทุกข์, หมดทุกข์ | |
ทุกขตา | ความเป็นทุกข์, ภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้; ดู ทุกขลักษณะ | |
ทุกขนิโรธ | ความดับทุกข์ หมายถึง พระนิพพาน เรียกสั้นๆ ว่า นิโรธ เรียกเต็มว่า ทุกขโรธอริยสัจจ์ | |
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา | ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ หมายถึงมรรคมีองค์แปด เรียกสั้นๆ ว่า มรรค เรียกเต็มว่า ทุกขโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์ | |
ทุกขลักษณะ | เครื่องกำหนดว่าเป็นทุกข์, ลักษณะที่จัดว่าเป็นทุกข์, ลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าเป็นทุกข์ คือ ๑. ถูกการเกิดขึ้นและการดับสลายบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ๒. ทนได้ยากหรือคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ๓. เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ ๔. แย้งต่อสุขหรือเป็นสภาวะที่ปฏิเสธความสุข; ดู อนิจจลักษณะ, อนัตตลักษณะ | |
ทุกขเวทนา | ความรู้สึกลำบาก, ความรู้สึกเจ็บปวด, ความรู้สึกเป็นทุกข์, การเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย (ข้อ ๒ ในเวทนา ๓) | |
ทุกขสมุทัย | เหตุให้เกิดทุกข์ หมายถึงตัณหาสาม คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เรียกสั้นๆ ว่า สมุทัย (ข้อ ๒ ในอริยสัจจ์ ๔) เรียกเต็มว่า ทุกขสมุทัย-อริยสัจจ์ | |
ทุกขสัญญา | ความหมายรู้ว่าเป็นทุกข์, การกำหนดหมายให้มองเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์ | |
ทุกรกิริยา | กิริยาที่ทำได้โดยยาก, การทำความเพียรอันยากที่ใครๆ จะทำได้ ได้แก่ การบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรมวิเศษ ด้วยวิธีการทรมานตนต่างๆ เช่น กลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะและอดอาหาร เป็นต้น ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติก่อนตรัสรู้ อันเป็นฝ่ายอัตตกิลมถานุโยค และได้ทรงเลิกละเสียเพราะไม่สำเร็จประโยชน์ได้จริง; เขียนเต็มเป็น ทุกกรกิริยา | |
ทุคติ | คติชั่ว, ภูมิชั่ว, ทางดำเนินที่มีความเดือดร้อน, สถานที่ไปเกิดอันชั่ว, ที่เกิดที่ไม่ดีมากไปด้วยความทุกข์ได้แก่ นรก ดิรัจฉาน เปรต (บางทีรวม อสุรกาย ด้วย); ตรงข้ามกับ สุคติ; ดู คติ, อบาย | |
ทุจริต | ความประพฤติชั่ว, ความประพฤติไม่ดีมี ๓ คือ ๑. กายทุจริต ประพฤติชั่วด้วยกาย ๒. วจีทุจริต ประพฤติชั่วด้วยวาจา ๓. มโนทุจริต ประพฤติชั่วด้วยใจ; เทียบ สุจริต | |
ทุฏฐุลลวาจา | วาจาชั่วหยาบ เป็นชื่ออาบัติสังฆาทิเสสข้อที่ ๓ ที่ว่าภิกษุผู้มีความกำหนัด พูดเคาะมาตุคามด้วยวาจาชั่วหยาบ คือ พูดเกี้ยวหญิง กล่าววาจาหยาบโลนพาดพิงเมถุน | |
ทุฏฐุลลาบัติ | อาบัติชั่วหยาบ ได้แก่อาบัติปาราชิก และสังฆาทิเสส แต่ในบางกรณี ท่านหมายเอาเฉพาะอาบัติสังฆาทิเสส | |
ทุติยฌาน | ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ ละวิตก วิจารได้ คงมีแต่ ปีติ สุข อันเกิดแต่สมาธิกับเอกัคคตา | |
ทุติยสังคายนา | การร้อยกรองพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ ราว ๑๐๐ ปีแต่พุทธ-ปรินิพพาน; ดู สังคายนา ครั้งที่ ๒ | |
ทุติยสังคีติ | การสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ | |
ทุพภาสิต | “พูดไม่ดี” “คำชั่ว” “คำเสียหาย” ชื่ออาบัติเบาที่สุดที่เกี่ยวกับคำพูด เป็นความผิดในลำดับถัดรองจากทุกกฏเช่น ภิกษุพูดกับภิกษุที่มีกำเนิดเป็นจัณฑาล ว่าเป็นคนชาติจัณฑาล ถ้ามุ่งว่ากระทบให้อัปยศ ต้องอาบัติทุกกฏ แต่ถ้ามุ่งเพียงล้อเล่น ต้องอาบัติทุพภาสิต; ดู อาบัติ | |
ทุลลภธรรม | สิ่งที่ได้ยาก, ความปรารถนาของคนในโลกที่ได้สมหมายโดยยาก มี ๔ คือ ๑. ขอโภคสมบัติจงเกิดมีแก่เราโดยทางชอบธรรม ๒. ขอยศจงเกิดมีแก่เรากับญาติพวกพ้อง ๓. ขอเราจงรักษาอายุอยู่ได้ยืนนาน ๔. เมื่อสิ้นชีพแล้ว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค์; ดู ธรรมเป็นเหตุให้สมหมาย ด้วย | |
ทุศีล | มีศีลชั่ว คือประพฤติไม่ดี มักละเมิดศีล | |
ทูต | ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนทางราชการแผ่นดิน, ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ไปเจรจาแทน | |
ทูตานุทูต | ทูตน้อยใหญ่, พวกทูต | |
ทูตานุทูตนิกร | หมู่พวกทูต | |
ทูเรนิทาน | “เรื่องห่างไกล” หมายถึงพุทธ-ประวัติตั้งแต่เริ่มเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเสวยพระชาติในอดีตมาโดยลำดับ จนถึงชาติสุดท้าย คือเวสสันดร และอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต; ดู พุทธประวัติ | |
เทพ | เทพเจ้า, ชาวสวรรค์, เทวดา; ในทางพระศาสนา ท่านจัดเป็น ๓ คือ ๑. สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ = พระราชา, พระเทวี พระราชกุมาร ๒. อุปปัตติ-เทพ เทวดาโดยกำเนิด = เทวดาในสวรรค์และพรหมทั้งหลาย ๓. วิสุทธิ-เทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ = พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย | |
เทพเจ้า | พระเจ้าบนสวรรค์ ลัทธิพราหมณ์ถือว่าเป็นผู้ดลบันดาลสุขทุกข์ให้แก่มนุษย์ | |
เทพธิดา | นางฟ้า, หญิงชาวสวรรค์, เทวดาผู้หญิง | |
เทพบุตร | เทวดาผู้ชาย, ชาวสวรรค์เพศชาย | |
เทวะ | เทวดา, เทพ, เทพเจ้า (ชั้นสวรรค์และชั้นพรหม) | |
เทวดา | หมู่เทพ, ชาวสวรรค์ เป็นคำรวมเรียกชาวสวรรค์ทั้งเพศชายและเพศหญิง | |
เทวตานุสติ | ระลึกถึงเทวดา คือระลึกถึงคุณธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดาตามที่มีอยู่ในตน (ข้อ ๖ ในอนุสติ ๑๐) | |
เทวตาพลี | ทำบุญอุทิศให้เทวดา (ข้อ ๕ แห่งพลี ๕ ในโภคอาทิยะ ๕) | |
เทวทหะ | ชื่อนครหลวงของแคว้นโกลิยะที่กษัตริย์โกลิยวงศ์ปกครอง พระนางสิริมหามายาพุทธมารดา เป็นชาวเทวทหะ | |
เทวทหนิคม | คือกรุงเทวทหะ นครหลวงของแคว้นโกลิยะนั่นเอง แต่ในพระสูตรบางแห่งเรียก นิคม | |
เทวทัตต์ | ราชบุตรของพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นเชฏฐภาดา (พี่ชาย) ของพระนางพิมพาผู้เป็นพระชายาของสิทธัตถกุมาร เจ้าชายเทวทัตต์ออกบวชพร้อมกับพระอนุรุทธะ พระอานนท์ และ กัลบกอุบาลี เป็นต้น บำเพ็ญฌานจนได้โลกียอภิญญา ต่อมามีความมักใหญ่ ได้ยุยงพระเจ้าอชาตศัตรูและคบคิดกันพยายามประทุษร้ายพระพุทธเจ้า ก่อเรื่องวุ่นวายในสังฆมณฑลจนถึงทำสังฆเภท และถูกแผ่นดินสูบในที่สุด | |
เทวทูต | ทูตของยมเทพ, สื่อแจ้งข่าวของมฤตยู, สัญญาณที่เตือนให้ระลึกถึงคติธรรมดาของชีวิต มิให้มีความประมาท จัดเป็น ๓ ก็มี ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย, จัดเป็น ๕ ก็มี ได้แก่ เด็กแรกเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนถูกลงราชทัณฑ์ และคนตาย (เทวทูต ๓ มาในอังคุตตรนิกาย ติกนิบาต, เทวทูต ๕ มาในเทวทูตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริ-ปัณณาสก์); ส่วน เทวทูต ๔ ที่เจ้าชายสิทธัตถะพบก่อนบรรพชา คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย สมณะนั้น ๓ อย่างแรกเป็นเทวทูต ส่วนสมณะเรียกรวมเป็นเทวทูตไปด้วยโดยปริยาย เพราะมาในหมวดเดียวกัน แต่ในบาลี ท่านเรียกว่า นิมิต ๔ หาเรียกเทวทูต ๔ ไม่ อรรถกถาบางแห่งพูดแยกว่า พระสิทธัตถะเห็นเทวทูต ๓ และสมณะ (มีอรรถกถาแห่งหนึ่งอธิบายในเชิงว่าอาจเรียกทั้งสี่อย่างเป็นเทวทูตได้ โดยความหมายว่าเป็นของที่เทวดานิรมิตไว้ ระหว่างทางเสด็จของพระสิทธัตถะ) | |
เทวธรรม | ธรรมของเทวดา, ธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา หมายถึงธรรม ๒ อย่าง คือ หิริ ความละอายแก่ใจ คือ ละอายต่อความชั่ว และ โอตตัปปะ ความกลัวบาป คือ เกรงกลัวต่อความชั่ว | |
เทวบุตร | เทวดาผู้ชาย, ชาวสวรรค์เพศชาย | |
เทวปุตตมาร | มารคือเทพบุตร, เทวบุตรเป็นมาร เพราะเทวบุตรบางตนที่มุ่งร้าย คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ไม่ให้สละความสุขออกไปบำเพ็ญคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ ทำให้บุคคลนั้นพินาศจากความดี, คัมภีร์สมัยหลังๆ ออกชื่อว่า พญาวสวัตดีมาร (ข้อ ๕ ในมาร ๕) | |
เทวรูป | รูปเทวดาที่นับถือ ตามลัทธิที่นับถือเทวดา | |
เทวโลก | โลกของเทวดา, ที่อยู่เทวดา ได้แก่สวรรค์กามาพจร ๖ ชั้นคือ ๑. จาตุ-มหาราชิกา ๒. ดาวดึงส์ ๓. ยามา ๔. ดุสิต ๕. นิมมานรดี ๖. ปรนิมมิตวสวัตดี | |
เทฺววาจิก | “มีวาจาสอง” หมายถึง ผู้กล่าววาจาถึงสรณะสอง คือ พระพุทธและพระธรรม ในสมัยที่ยังไม่มีพระสงฆ์ ได้แก่ พาณิชสอง คือ ตปุสสะ และภัลลิกะ; เทียบ เตวาจิก | |
เทวสถาน | ที่ประดิษฐานเทวรูป, โบสถ์พราหมณ์ | |
เทวาธิบาย | ความประสงค์ของเทวดา | |
เทเวศร์ | เทวดาผู้ใหญ่, หัวหน้าเทวดา | |
เทโวโรหณะ | “การลงจากเทวโลก” หมายถึงการที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทว-โลก ตำนานเล่าว่าในพรรษาที่ ๗ แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปประทับจำพรรษาในดาวดึงสเทวโลกทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาพร้อมทั้งหมู่เทพ ณ ที่นั้น เมื่อถึงเวลาออกพรรษาในวันมหาปวารณา (วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑) ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กลับคืนสู่โลกมนุษย์ ณ ประตูเมืองสังกัสสะ โดยมีเทวดาและมหาพรหมทั้งหลายแวดล้อมลงมาส่งเสด็จ ฝูงชนจำนวนมากมายก็ได้ไปคอยรับเสด็จ กระทำมหาบูชาเป็นการเอิกเกริกมโหฬารและพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรม มีผู้บรรลุคุณวิเศษจำนวนมาก ชาวพุทธในภายหลังได้ปรารภเหตุการณ์พิเศษครั้งนี้ถือเป็นกาลกำหนดสำหรับบำเพ็ญการกุศล ทำบุญตักบาตรคราวใหญ่แด่พระสงฆ์ เป็นประเพณีนิยมสืบมา ดังปรากฏในประเทศไทย เรียกกันว่า ตักบาตรเทโว-โรหณะ หรือนิยมเรียกสั้นๆ ว่า ตักบาตรเทโว บางวัดก็จัดพิธีในวันออกพรรษา คือวันมหาปวารณา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ บางวัดจัดถัดเลยจากนั้น ๑ วัน คือนวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ | |
เทศกาล | คราวสมัยที่กำหนดไว้เป็นประเพณี เพื่อทำบุญและการรื่นเริงในท้องถิ่น เช่น ตรุษสงกรานต์ เข้าพรรษา สารท เป็นต้น | |
เทศนา | การแสดงธรรมสั่งสอนในทางศาสนา, การชี้แจงให้รู้จักดีรู้จักชั่ว, คำสอน; มี ๒ อย่าง คือ ๑. บุคคลาธิษฐานเทศนา เทศนามีบุคคลเป็นที่ตั้ง ๒. ธรรมาธิษฐาน เทศนา เทศนามีธรรมเป็นที่ตั้ง | |
เทสนาคามินี | อาบัติที่ภิกษุต้องเข้าแล้ว จะพ้นได้ด้วยวิธีแสดง, อาบัติที่แสดงแล้วก็พ้นได้, อาบัติที่ปลงตกด้วยการแสดงที่เรียกว่า แสดงอาบัติ หรือ ปลงอาบัติ ได้แก่ อาบัติถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต; ตรงข้ามกับ อเทสนาคามินี ซึ่งเป็นอาบัติที่ไม่อาจพ้นได้ด้วยการแสดง ได้แก่ ปาราชิก และสังฆาทิเสส; เทียบ วุฏฐานคามินี | |
เทสนาปริสุทธิ | ความหมดจดแห่งการแสดงธรรม | |
เทือกเถา | ต้นวงศ์ที่นับสายตรงลงมา, ญาติโดยตรงตั้งแต่บิดามารดาขึ้นไปถึงทวด | |
โทณพราหมณ์ | พราหมณ์ผู้ใหญ่ซึ่งมีฐานะเป็นครูอาจารย์ เป็นที่เคารพนับถือของคนจำนวนมากในชมพูทวีป เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้สำเร็จได้โดยสันติวิธี เป็นผู้สร้างตุมพสตูป บรรจุทะนานทองที่ใช้ตวงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ | |
โทมนัส | ความเสียใจ, ความเป็นทุกข์ใจ; ดู เวทนา | |
โทสะ | ความคิดประทุษร้าย (ข้อ ๒ ในอกุศลมูล ๓) | |
โทสจริต | คนมีพื้นนิสัยหนักในโทสะ หงุดหงิด โกรธง่าย แก้ด้วยเจริญเมตตา (ข้อ ๒ ในจริต ๖) | |
โทสาคติ | ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน, ลำเอียงเพราะชัง (ข้อ ๒ ในอคติ ๔) | |
ไทยธรรม | ของควรให้, ของทำบุญต่างๆ, ของถวายพระ | |
ธงแห่งคฤหัสถ์ | เครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์, การนุ่งห่มอย่างนิยมกันของชาวบ้าน | |
ธงแห่งเดียรถีย์ | เครื่องนุ่งห่มของเดียรถีย์ เช่น หนังเสือ ผ้าคากรอง เป็นต้น, การนุ่งห่มอย่างที่ชื่นชมกันของนักบวชนอกพระศาสนา | |
ธนสมบัติ | สมบัติคือทรัพย์สินเงินทอง | |
ธนิต | พยัญชนะออกเสียงแข็ง ได้แก่ พยัญชนะที่ ๒ ที่ ๔ ในวรรคทั้ง ๕ คือ ข, ฆ; ฉ, ฌ; ฐ, ฒ; ถ, ธ; ผ, ภ; คู่กับ สิถิล | |
ธนิยะ | ชื่อพระที่เอาไม้หลวงไปทำกุฎี เป็นต้นบัญญัติทุติยปาราชิกสิกขาบท | |
ธนู | มาตราวัดระยะทางเท่ากับ ๑ วา คือ ๔ ศอก | |
ธมกรก | กระบอกกรองน้ำของพระสงฆ์, เครื่องกรองน้ำด้วยลมเป่า, กระบอกก้นผูกผ้า | |
ธรรม | สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรม-ชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง; เหตุ, ต้นเหตุ; สิ่ง, ปรากฏการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด; คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ; หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่; ความชอบ, ความยุติธรรม; พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฏขึ้น | |
ธรรม | ในประโยคว่า “ให้กล่าวธรรมโดยบท” บาลีแสดงคำสอนในพระพุทธ-ศาสนา ที่ท่านเรียงไว้ จะเป็นพุทธภาษิตก็ตาม สาวกภาษิตก็ตาม ฤษีภาษิตก็ตาม เทวดาภาษิตก็ตาม เรียกว่า ธรรมในประโยคนี้ | |
ธรรม | (ในคำว่า “การกรานกฐินเป็นธรรม”) ชอบแล้ว, ถูกระเบียบแล้ว | |
ธรรม ๒ | หมวดหนึ่ง คือ ๑. รูปธรรม ได้แก่รูปขันธ์ทั้งหมด ๒. อรูปธรรม ได้แก่ นามขันธ์ ๔ และนิพพาน; อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. โลกียธรรม ธรรมอันเป็นวิสัยของโลก ๒. โลกุตตรธรรม ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลกได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑; อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. สังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งได้แก่ขันธ์ ๕ ทั้งหมด ๒. อสังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ได้แก่ นิพพาน | |
ธรรมกถา | การกล่าวธรรม, คำกล่าวธรรม, ถ้อยคำที่กล่าวถึงธรรม, คำบรรยายหรืออธิบายธรรม | |
ธรรมกถึก | ผู้กล่าวสอนธรรม, ผู้แสดงธรรม, นักเทศก์ | |
ธรรมกามะ | ผู้ใคร่ธรรม, ผู้ชอบตริตรองสอดส่องธรรม | |
ธรรมกาย | 1. “ผู้มีธรรมเป็นกาย” เป็นพระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า (ตามความในอัคคัญญสูตร แห่งทีฆ-นิกาย ปาฏิกวรรค) หมายความว่า พระองค์ทรงคิดพุทธพจน์คำสอนด้วยพระหทัยแล้วทรงนำออกเผยแพร่ด้วยพระวาจา เป็นเหตุให้พระองค์ก็คือพระธรรม เพราะทรงเป็นแหล่งที่ประมวลหรือที่ประชุมอยู่แห่งพระธรรมอันปรากฏเปิดเผยออกมาแก่ชาวโลก; พรหมกาย หรือ พรหมภูต ก็เรียก; 2. “กองธรรม” หรือ “ชุมนุมแห่งธรรม” ธรรมกายย่อมเจริญงอกงามเติบขยายขึ้นได้โดยลำดับจนไพบูลย์ ในบุคคลผู้เมื่อได้สดับคำสอนของพระองค์แล้วฝึกอบรมตนด้วยไตรสิกขาเจริญมรรคาให้บรรลุภูมิแห่งอริยชน ดังตัวอย่างดำรัสของพระมหา-ปชาบดีโคตมี เมื่อครั้งกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อปรินิพพานตามความในคัมภีร์อปทานตอนหนึ่งว่า “ข้าแต่พระสุคตเจ้า หม่อมฉันเป็นมารดาของพระองค์, ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์ก็เป็นพระบิดาของหม่อมฉัน ... รูปกายของพระองค์นี้ หม่อมฉันได้ทำให้เจริญเติบโต ส่วนธรรมกายอันเป็นที่เอิบสุขของหม่อมฉัน ก็เป็นสิ่งอันพระองค์ได้ทำให้เจริญเติบโต”; สรุปตามนัยอรรถกถา ธรรมกาย ในความหมายนี้ ก็คือโลกุตตรธรรม ๙ หรืออริยสัจจ์ | |
ธรรมของฆราวาส ๔ | ดู ฆราวาสธรรม ๔ | |
ธรรมขันธ์ | กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวลธรรมเข้าเป็นหมวดใหญ่ มี ๕ คือ สีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์; กำหนดหมวดธรรมในพระไตรปิฎกว่ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็นวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ สุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ และอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ | |
ธรรมคุณ | คุณของพระธรรม มี ๖ อย่างคือ ๑. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ๒. สนฺทิฏฺ??โกด้วยตนเอง ๓. อกาลิโก กาล ๔. เอหิปสฺสิโก ควรเรียกให้มาดู ๕. โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา ๖. ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัด ไม่ประกอบด้วย | |
ธรรมคุ้มครองโลก | ดู โลกบาลธรรม | |
ธรรมจริยา | การประพฤติธรรม, การประพฤติเป็นธรรม, การประพฤติถูกตามธรรม เป็นชื่อหนึ่งของ กุศล-กรรมบถ ๑๐ | |
ธรรมจักร | จักรคือธรรม, วงล้อธรรม หรืออาณาจักรธรรม หมายถึงเทศนากัณฑ์แรก ที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ (ชื่อของปฐมเทศนา เรียกเต็มว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) | |
ธรรมจักษุ | ดวงตาเห็นธรรมคือ ปัญญา รู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา; ธรรมจักษุโดยทั่วไป เช่น ที่เกิดแก่ท่านโกณฑัญญะเมื่อสดับธรรมจักร ได้แก่โสดาปัตติ-มรรคหรือโสดาปัตติมัคคญาณ คือญาณที่ทำให้เป็นโสดาบัน | |
ธรรมจารี | ผู้ประพฤติธรรม, ผู้ประพฤติเป็นธรรม, ผู้ประพฤติถูกธรรม คู่กับ สม-จารี | |
ธรรมเจดีย์ | เจดีย์บรรจุพระธรรมคือจารึกพระพุทธพจน์ เช่น อริยสัจจ์ ปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น ลงในใบลานแล้วนำไปบรรจุในเจดีย์ (ข้อ ๓ ในเจดีย์ ๔) | |
ธรรมเจติยสูตร | สูตรหนึ่งในคัมภีร์ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ แห่งพระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยข้อความที่พระเจ้า ปเสนทิโกศลกราบทูลพระพุทธเจ้าพรรณนาความเลื่อมใสศรัทธาของพระองค์ที่มีต่อพระรัตนตรัย | |
ธรรมชาติ | ของที่เกิดเองตามวิสัยของโลก เช่น คน สัตว์ ต้นไม้ เป็นต้น | |
ธรรมฐิติ | ความดำรงคงตัวแห่งธรรม, ความตั้งอยู่แน่นอนแห่งกฎธรรมดา | |
ธรรมดา | อาการหรือความเป็นไปแห่งธรรมชาติ; สามัญ, ปกติ, พื้นๆ | |
ธรรมทาน | การให้ธรรม, การสั่งสอนแนะนำเกี่ยวกับธรรม, การให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง; ดู ทาน | |
ธรรมทายาท | ทายาทแห่งธรรม, ผู้รับมรดกธรรม, ผู้รับเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นสมบัติด้วยการประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึง; โดยตรงหมายถึงรับเอาโลกุตตรธรรม ๙ ไว้ได้ด้วยการบรรลุเอง โดยอ้อมหมายถึง รับปฏิบัติกุศลธรรม จะเป็นทาน ศีล หรือภาวนาก็ตาม ตลอดจนการบูชา ที่เป็นไปเพื่อบรรลุซึ่งโลกุตตรธรรมนั้น; เทียบ อามิสทายาท | |
ธรรมทำให้งาม ๒ | คือ ๑. ขันติ ความอดทน ๒. โสรัจจะ ความเสงี่ยมหรือความมีอัธยาศัยประณีต | |
ธรรมทินนา | ดู ธัมมทินนา | |
ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ๑๐ | ; ดู อภิณหปัจจเวกขณ์ | |
ธรรมเทศนา | การแสดงธรรม, การบรรยายธรรม | |
ธรรมเทศนาปฏิสังยุตต์ | ธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการแสดงธรรม (หมวดที่ ๓ แห่งเสขิยวัตร มี ๑๖ สิกขาบท) | |
ธรรมเทศนาสิกขาบท | สิกขาบทปรับอาบัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้แสดงธรรมแก่มาตุคามเกินกว่า ๕–๖ คำเว้นแต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วย (สิกขาบทที่ ๗ ในมุสาวาทวรรคแห่งปาจิตตีย์) | |
ธรรมนิยาม | กำหนดแน่นอนแห่ง ธรรมดา, กฎธรรมชาติ, ความจริงที่มีอยู่หรือดำรงอยู่ตามธรรมดาของมัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วทรงนำมาแสดงชี้แจงอธิบายให้คนทั้งหลายได้รู้ตาม มี ๓ อย่าง แสดงความตามพระบาลีดังนี้ ๑. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง ๒. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งปวง คงทนอยู่มิได้ ๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวง ไม่เป็นตัวตน; ดู ไตรลักษณ์ | |
ธรรมเนียม | ประเพณี, แบบอย่างที่เคยทำกันมา, แบบอย่างที่นิยมใช้กัน | |
ธรรมบท | บทแห่งธรรม, บทธรรม, ข้อธรรม; ชื่อคาถาบาลีหมวดหนึ่งจัดเป็นคัมภีร์ที่ ๒ ในขุททกนิกาย พระสุตตันตปิฎก มี ๔๒๓ คาถา | |
ธรรมปฏิบัติ | การปฏิบัติธรรม; การปฏิบัติที่ถูกต้องตามธรรม | |
ธรรมปฏิรูป | ธรรมปลอม, ธรรมที่ไม่แท้, ธรรมเทียม | |
ธรรมปฏิสันถาร | การต้อนรับด้วยธรรม คือกล่าวธรรมให้ฟังหรือแนะนำในทางธรรม อย่างนี้เป็นธรรมปฏิสันถารโดยเอกเทศคือส่วนหนึ่งด้านหนึ่ง ธรรม-ปฏิสันถารที่บำเพ็ญอย่างบริบูรณ์ คือการต้อนรับโดยธรรม ได้แก่ เอาใจใส่ช่วยเหลือสงเคราะห์ แก้ไขปัญหาบรรเทาข้อสงสัย ขจัดปัดเป่าข้อติดขัดยากลำบากเดือดร้อนทั้งหลาย ให้เขาลุล่วงกิจอันเป็นกุศล พ้นความอึดอัดขัดข้อง (ข้อ ๒ ในปฏิสันถาร ๒) | |
ธรรมเป็นโลกบาล ๒ | คือ ๑. หิริ ความละอายแก่ใจ ๒.โอตตัปปะ ความกลัวบาป; ดู โลกบาลธรรม | |
ธรรมเป็นเหตุให้สมหมาย | ธรรมที่จะช่วยให้ได้ทุลลภธรรมสมหมาย มี ๔ คือ ๑. สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ๒. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล ๓. จาค-สัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาค ๔. ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา | |
ธรรมพิเศษ | ดู ธรรมวิเศษ | |
ธรรมไพบูลย์ | ความไพบูลย์แห่งธรรม, ความพรั่งพร้อมเต็มเปี่ยมแห่งธรรมด้วยการฝึกฝนอบรมให้มีในตนจนบริบูรณ์ หรือด้วยการประพฤติปฏิบัติกันในสังคมจนแพร่หลายทั่วไปทั้งหมด; ดู ไพบูลย์, เวปุลละ | |
ธรรมภาษิต | ถ้อยคำที่เป็นธรรม, ถ้อยคำที่แสดงธรรม หรือเกี่ยวกับธรรม | |
ธรรมมีอุปการะมาก ๒ | คือ ๑. สติ ความระลึกได้ ๒. สัมปชัญญะ ความรู้ตัว | |
ธรรมยุต | ดู คณะธรรมยุต | |
ธรรมยุติกนิกาย | ดู คณะธรรมยุต | |
ธรรมราชา | พระราชาแห่งธรรม, พระราชาโดยธรรม หมายถึงพระพุทธเจ้า และบางแห่งหมายถึง พระเจ้าจักรพรรดิ | |
ธรรมวัตร | ลักษณะเทศน์ทำนองธรรมดาเรียบๆ ที่แสดงอยู่ทั่วไป อันต่างไปจากทำนองเทศน์แบบมหาชาติ, ทำนองแสดงธรรม ซึ่งมุ่งอธิบายตามแนวเหตุผล มิใช่แบบเรียกร้องอารมณ์ | |
ธรรมวาที | “ผู้มีปกติกล่าวธรรม”, ผู้พูดเป็นธรรม, ผู้พูดตามธรรม, ผู้พูดตรงตามธรรมหรือพูดถูกต้องตามหลัก ไม่พูดผิดธรรม ไม่พูดนอกหลักธรรม | |
ธรรมวิจัย | การเฟ้นธรรม; ดู ธัมมวิจยะ | |
ธรรมวิจารณ์ | การใคร่ครวญพิจารณาข้อธรรมต่างๆ ว่าแต่ละข้อมีอรรถคือความหมายอย่างไร ตื้นลึกเพียงไร แล้วแสดงความคิดเห็นออกมาว่าธรรมข้อนั้นข้อนี้มีอรรถคือความหมายอย่างนั้นอย่างนี้ | |
ธรรมวินัย | ธรรมและวินัย, คำสั่งสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า ซึ่งประกอบด้วย ธรรม = คำสอนแสดงหลักความจริงและแนะนำความประพฤติ, วินัย = บทบัญญัติกำหนดระเบียบความเป็นอยู่และกำกับความประพฤติ; ธรรม = เครื่องควบคุมใจ, วินัย = เครื่องควบคุมกายและวาจา | |
ธรรมวิภาค | การจำแนกธรรม, การจัดหัวข้อธรรมจำแนกออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกแก่การศึกษาค้นคว้าอธิบายและทำความเข้าใจ | |
ธรรมวิเศษ | ธรรมชั้นสูง หมายถึง โลกุตตรธรรม | |
ธรรมสภา | ที่ประชุมฟังธรรม, โรงธรรม | |
ธรรมสมโภค | คบหากันในทางเรียนธรรม ได้แก่สอนธรรมให้หรือขอเรียนธรรม | |
ธรรมสมาทาน | การสมาทานยึดถือปฏิบัติธรรม, การทำกรรม จัดได้เป็น ๔ ประเภท คือ การทำกรรมบางอย่างให้ทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป, บางอย่างให้ทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป, บางอย่างให้สุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป, บางอย่างให้สุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป | |
ธรรมสวนะ | การฟังธรรม, การหาความรู้ความเข้าใจในหลักความจริงความถูกต้องดีงาม ด้วยการเล่าเรียน อ่านและสดับฟัง, การศึกษาหาความรู้ที่ปราศจากโทษ; ธัมมัสสวนะ ก็เขียน | |
ธรรมสวามิศร | ผู้เป็นใหญ่โดยฐานเป็นเจ้าของธรรม หมายถึงพระพุทธเจ้า | |
ธรรมสังคาหกะ | พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ผู้รวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัยในคราวปฐมสังคายนา | |
ธรรมสังคาหกาจารย์ | อาจารย์ผู้ร้อยกรองธรรม; ดู ธรรมสังคาหกะ | |
ธรรมสังคีติ | การสังคายนาธรรม, การร้อยกรองธรรม, การจัดสรรธรรมเป็นหมวดหมู่ | |
ธรรมสังเวช | ความสังเวชโดยธรรมเมื่อเห็นความแตกดับของสังขาร (เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์); ดู สังเวช | |
ธรรมสากัจฉา | การสนทนาธรรม, การสนทนากันในทางธรรม | |
ธรรมสามัคคี | ความพร้อมเพรียงขององค์ธรรม, องค์ธรรมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องทุกอย่างทำกิจหน้าที่ของแต่ละอย่างๆ พร้อมเพรียงและประสานสอดคล้องกัน ให้สำเร็จผลที่เป็นจุดหมาย เช่น ในการบรรลุมรรคผล เป็นต้น | |
ธรรมสามิสร | ดู ธรรมสวามิศร | |
ธรรมสามี | ผู้เป็นเจ้าของธรรม เป็นคำเรียกพระพุทธเจ้า | |
ธรรมเสนา | กองทัพธรรม, กองทัพพระสงฆ์ผู้ประกาศพระศาสนา | |
ธรรมเสนาบดี | แม่ทัพธรรม, ผู้เป็นนายทัพธรรม เป็นคำเรียกยกย่องพระสารีบุตร ซึ่งเป็นกำลังใหญ่ของพระศาสดาในการประกาศพระศาสนา | |
ธรรมันเตวาสิก | อันเตวาสิกผู้เรียน ธรรมวินัย, ศิษย์ผู้เรียนธรรมวินัย; คู่กับ อุทเทศาจารย์ | |
ธรรมาธิปไตย | ถือธรรมเป็นใหญ่, ถือหลักการ ความจริง ความถูกต้อง ความดีงามและเหตุผลเป็นใหญ่ ทำการด้วยปัญญา โดยเคารพหลักการ กฎ ระเบียบ กติกา มุ่งเพื่อความดีงาม ความจริง ความชอบธรรมเป็นประมาณ; ดู อธิปไตย | |
ธรรมาธิษฐาน | มีธรรมเป็นที่ตั้ง คือเทศนา ยกธรรมขึ้นแสดง เช่นว่าศรัทธา ศีล คืออย่างนี้ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ ดังนี้เป็นต้น; คู่กับ บุคคลาธิษฐาน | |
ธรรมานุธรรมปฏิบัติ | การประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม หมายถึงการปฏิบัติธรรมถูกต้องตามหลัก เช่น หลักย่อยสอดคล้องกับหลักใหญ่ และเข้าแนวกับธรรมที่เป็นจุดมุ่งหมาย, ปฏิบัติถูกต้องตามกระบวนธรรม; ดู วุฑฒิ | |
ธรรมาภิสมัย | การตรัสรู้ธรรม, การสำเร็จมรรคผล | |
ธรรมารมณ์ | อารมณ์ทางใจ, สิ่งที่ใจนึกคิด | |
ธรรมาสน์ | ที่สำหรับนั่งแสดงธรรม | |
ธรรมิกอุบาย | อุบายที่ประกอบด้วยธรรม, อุบายที่ชอบธรรม, วิธีที่ถูกธรรม | |
ธรรมิศราธิบดี | ผู้เป็นอธิบดีโดยฐานเป็นใหญ่ในธรรม หมายถึงพระพุทธเจ้า (คำกวี) | |
ธรรมีกถา | ถ้อยคำที่ประกอบด้วยธรรม, การพูดหรือสนทนาเกี่ยวกับธรรม, คำบรรยายหรืออธิบายธรรม | |
ธรรมุเทศ | ธรรมที่แสดงขึ้นเป็นหัวข้อ, หัวข้อธรรม | |
ธัญชาติ | ข้าวชนิดต่างๆ, พืชจำพวกข้าว | |
ธัมมกามตา | ความเป็นผู้ใคร่ธรรม, ความพอใจและสนใจในธรรม, ความใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาธรรม และใฝ่ในความดี (ข้อ ๖ ในนาถกรณธรรม ๑๐) | |
ธัมมคารวตา | ดู คารวะ | |
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร | “พระสูตรว่าด้วยการยังธรรมจักรให้เป็นไป”, พระสูตรว่าด้วยการหมุนวงล้อธรรม เป็นชื่อของ ปฐมเทศนา คือพระธรรมเทศนาครั้งแรก ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลังจากวันตรัสรู้สองเดือน ว่าด้วยมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง ซึ่งเว้นที่สุด ๒ อย่าง และว่าด้วยอริยสัจจ์ ๔ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ อันทำให้พระองค์สามารถปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณคือความตรัสรู้เองโดยชอบอันยอดเยี่ยม) ท่านโกณฑัญญะ หัวหน้าคณะปัญจวัคคีย์ ฟังพระธรรมเทศนานี้แล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) และขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรก เรียกว่า เป็นปฐมสาวก | |
ธัมมทินนา | พระเถรีมหาสาวิกาองค์หนึ่ง เป็นกุลธิดาชาวพระนครราชคฤห์ เป็นภรรยาของวิสาขเศรษฐี มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาบวชในสำนักนางภิกษุณี บำเพ็ญเพียรไม่นานก็ได้สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางเป็นธรรมกถึก (เขียนธรรมทินนา ก็มี) | |
ธัมมเทสนามัย | บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม (ข้อ ๙ ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) | |
ธัมมปฏิสันถาร | ดู ธรรมปฏิสันถาร | |
ธัมมปฏิสัมภิทา | ปัญญาแตกฉานในธรรม, เห็นคำอธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตั้งเป็นหัวข้อได้ เห็นผลก็สืบสาวไปหาเหตุได้ (ข้อ ๒ ในปฏิสัมภิทา ๔) | |
ธัมมปทัฏฐกถา | คัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในธรรมบทแห่งขุททกนิกาย ในพระสุตตันตปิฎก พระพุทธโฆษาจารย์รจนา หรือเป็นหัวหน้าในการรจนาขึ้น เมื่อ พ.ศ. ใกล้จะถึง ๑๐๐๐ (ชื่อเฉพาะว่า ปรมัตถโชติกา) | |
ธัมมมัจฉริยะ | ตระหนี่ธรรม ได้แก่ หวงแหนความรู้ ไม่ยอมบอก ไม่ยอมสอนคนอื่น เพราะเกรงว่าเขาจะรู้เท่าตน (ข้อ ๕ ในมัจฉริยะ ๕) | |
ธัมมวิจยะ | ความเฟ้นธรรม, ความสอดส่อง สืบค้นธรรม, การวิจัยหรือค้นคว้าธรรม (ข้อ ๒ ในโพชฌงค์ ๗) | |
ธัมมสัมมุขตา | ความเป็นต่อหน้าธรรม, พร้อมหน้าธรรม ในวิวาทาธิกรณ์ หมายความว่า ปฏิบัติถูกต้องตามธรรมวินัยและสัตถุศาสน์อันเป็นเครื่องระงับอธิกรณ์นั้น จึงเท่ากับว่าธรรมมาอยู่ที่นั้นด้วย; ดู สัมมุขาวินัย | |
ธัมมสากัจฉา | ดู ธรรมสากัจฉา | |
ธัมมัญญุตา | ความเป็นผู้รู้จักเหตุ เช่น รู้จักว่า สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งสุข สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์; ตามอธิบายในบาลีหมายถึงรู้หลัก หรือรู้หลักการ เช่น ภิกษุเป็นธัมมัญญู คือ รู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จัดเป็นนวังคสัตถุศาสน์; ดู สัปปุริสธรรม | |
ธัมมัปปมาณิกา | ถือธรรมเป็นประมาณ, ผู้เลื่อมใสเพราะพอใจในเนื้อหาธรรมและการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เช่น ชอบฟังธรรม ชอบเห็นภิกษุรักษามารยาทเรียบร้อยสำรวมอินทรีย์ | |
ธัมมัสสวนะ | การฟังธรรม, การสดับคำแนะนำสั่งสอน; ดู ธรรมสวนะ | |
ธัมมัสสวนมัย | บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม (ข้อ ๘ ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) | |
ธัมมัสสวนานิสงส์ | อานิสงส์แห่งการฟังธรรม, ผลดีของการฟังธรรม, ประโยชน์ที่จะได้จากการฟังธรรม มี ๕ อย่างคือ ๑. ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๒. สิ่งที่เคยฟัง ก็เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งขึ้น ๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้ ๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้ ๕. จิตของเขาย่อมผ่องใส | |
ธัมมาธิปเตยยะ | ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ นึกถึงความจริง ความถูกต้องสมควรก่อนแล้วจึงทำ บัดนี้นิยมเขียน ธรรมา-ธิปไตย; ดู อธิปเตยยะ | |
ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ | ดู ธรรมานุธรรม-ปฏิบัติ | |
ธัมมานุปัสสนา | การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม, สติพิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่บังเกิดกับใจเป็นอารมณ์ว่า ธรรมนี้ก็สักว่าธรรมไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา (ข้อ ๔ ในสติ-ปัฏฐาน ๔) | |
ธัมมานุสติ | ระลึกถึงคุณของพระธรรม (ข้อ ๒ ในอนุสติ ๑๐) เขียนอย่างรูปเดิมในภาษาบาลีเป็น ธัมมานุสสติ | |
ธัมมานุสารี | “ผู้แล่นไปตามธรรม”, “ผู้แล่นตามไปด้วยธรรม”, พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ที่มีปัญญิน-ทรีย์แรงกล้า (เมื่อบรรลุผล กลายเป็น ทิฏฐิปปัตตะ); ดู อริยบุคคล ๗ | |
ธัมมีกถา | ดู ธรรมีกถา | |
ธาตุ | สิ่งที่ทรงสภาวะของมันอยู่เองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย, ธาตุ ๔ คือ ๑. ปฐวีธาตุ สภาวะที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่ เรียกสามัญว่าธาตุแข้นแข็งหรือธาตุดิน ๒. อาโปธาตุ สภาวะที่เอิบอาบดูดซึม เรียกสามัญว่า ธาตุเหลวหรือธาตุน้ำ ๓. เตโชธาตุ สภาวะที่ทำให้ร้อน เรียกสามัญว่า ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ สภาวะที่ทำให้เคลื่อนไหว เรียกสามัญว่า ธาตุลม; ธาตุ ๖ คือ เพิ่ม ๕. อากาสธาตุ สภาวะที่ว่าง ๖. วิญญาณธาตุ สภาวะที่รู้แจ้งอารมณ์ หรือ ธาตุรู้ | |
ธาตุ | กระดูกของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เรียกรวมๆ ว่าพระธาตุ (ถ้ากล่าวถึงกระดูกของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะเรียกว่า พระบรมธาตุ พระบรม-สารีริกธาตุ พระสารีริกธาตุ หรือระบุชื่อกระดูกส่วนนั้นๆ เช่น พระทาฐธาตุ) | |
ธาตุกถา | ชื่อคัมภีร์ที่สามแห่งพระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยการสงเคราะห์ธรรมทั้งหลายเข้ากับ ขันธ์ อายตนะ และธาตุ (พระไตรปิฎกเล่ม ๓๖) | |
ธาตุกัมมัฏฐาน | กรรมฐานที่พิจารณาธาตุเป็นอารมณ์, กำหนดพิจารณาร่างกายแยกเป็นส่วนๆ ให้เห็นว่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันอยู่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา | |
ธาตุเจดีย์ | เจดีย์บรรจุพระบรม-สารีริกธาตุ (ข้อ ๑ ในเจดีย์ ๔) | |
ธิติ | 1. ความเพียร, ความเข้มแข็งมั่นคง, ความหนักแน่น, ความอดทน 2. ปัญญา | |
ธีระ | นักปราชญ์, ผู้ฉลาด | |
ธุดงค์ | องค์คุณเครื่องกำจัดกิเลส, ชื่อข้อปฏิบัติประเภทวัตร ที่ผู้สมัครใจจะพึงสมาทานประพฤติได้ เป็นอุบายขัดเกลากิเลส ส่งเสริมความมักน้อยสันโดษเป็นต้น มี ๑๓ ข้อคือ หมวดที่ ๑ จีวร-ปฏิสังยุตต์ เกี่ยวกับจีวร มี ๑. ปังสุกูลิ-กังคะ ถือใช้แต่ผ้าบังสุกุล ๒. เตจีวริ- กังคะ ใช้ผ้าเพียงสามผืน; หมวดที่ ๒ ปิณฑปาตปฏิสังยุตต์ เกี่ยวกับบิณฑบาต มี ๓. ปิณฑปาติกังคะ เที่ยวบิณฑบาตเป็นประจำ ๔. สปทานจาริกังคะ บิณฑ-บาตตามลำดับบ้าน ๕. เอกาสนิกังคะ ฉันมื้อเดียว ๖. ปัตตปิณฑิกังคะ ฉันเฉพาะในบาตร ๗. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ลงมือฉันแล้วไม่ยอมรับเพิ่ม; หมวดที่ ๓ เสนาสนปฏิสังยุตต์ เกี่ยวกับเสนาสนะ มี ๘. อารัญญิกังคะ ถืออยู่ป่า ๙. รุกขมูลิ-กังคะ อยู่โคนไม้ ๑๐. อัพโภกาสิกังคะ อยู่กลางแจ้ง ๑๑. โสสานิกังคะ อยู่ป่าช้า ๑๒. ยถาสันถติกังคะ อยู่ในที่แล้วแต่เขาจัดให้; หมวดที่ ๔ วิริยปฏิสังยุตต์ เกี่ยวกับความเพียร มี ๑๓. เนสัชชิกังคะ ถือนั่งอย่างเดียวไม่นอน (นี้แปลเอาความสั้นๆ ความหมายละเอียดพึงดูตามลำดับอักษรของคำนั้นๆ) | |
ธุระ | “สิ่งที่จะต้องแบกไป”, หน้าที่, ภารกิจ, การงาน, เรื่องที่จะต้องรับผิดชอบ, กิจในพระศาสนา แสดงไว้ในอรรถกถา ๒ อย่างคือ คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ | |
ธุลี | ฝุ่น, ละออง, ผง | |
ธุวยาคู | ยาคูที่เขาถวายเป็นประจำเช่นที่นางวิสาขาถวายเป็นประจำหรือที่จัดทำเป็นของวัดแจกกันเอง | |
โธตกมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ | |
โธโตทนะ | กษัตริย์ศากยวงศ์ เป็นพระราชบุตรองค์ที่ ๔ ของพระเจ้าสีหหนุ เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระเจ้าอาของพระพุทธเจ้า | |
นกุลบิดา | “พ่อของนกุล”, คฤหบดีชาวเมืองสุงสุมารคีรี ในแคว้นภัคคะ มีภรรยาชื่อ นกุลมารดา สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมายังเมืองสุงสุมารคีรี ประทับที่ป่าเภสกลาวัน ท่านคฤหบดีและภรรยาไปเฝ้าพร้อมกับชาวเมืองคนอื่นๆ พอได้เห็นครั้งแรก ทั้งสองสามีภรรยาก็เกิดความรู้สึกสนิทหมายใจเหมือนว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุตรของตน ได้เข้าไปถึงพระองค์และแสดงความรู้สึกนั้น พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมโปรด ทั้งสองท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ท่านนกุลบิดาและนกุลมารดานี้ เป็นคู่สามีภรรยาตัวอย่าง ผู้มีความจงรักภักดีต่อกันอย่างบริสุทธิ์และมั่นคงยั่งยืนตราบเท่าชรา ทั้งยังปรารถนาจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า เคยทูลขอให้พระพุทธเจ้าแสดงหลักธรรมที่จะทำให้สามีภรรยาครองรักกันยั่งยืนตลอดไปทั้งภพนี้และภพหน้า เมื่อท่านนกุลบิดาเจ็บป่วยออดแอดร่างกายอ่อนแอ ไม่สบายด้วยโรคชรา ท่านได้ฟังพระธรรมเทศนาครั้งหนึ่ง ที่ท่านประทับใจมากคือ พระดำรัสที่แนะนำให้ทำใจว่า “ถึงแม้ร่างกายของเราจะป่วย แต่ใจของเราจะไม่ป่วย” ท่านนกุลบิดาได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้สนิทสนมคุ้นเคย (วิสสาสิกะ) ท่านนกุล-มารดาก็เป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสิกาผู้สนิทสนมคุ้นเคยเช่นเดียวกัน | |
นขา | เล็บ | |
นคร | เมืองใหญ่, กรุง | |
นครโศภินี | หญิงงามเมือง, หญิงขายตัว (พจนานุกรมเขียน นครโสภิณี, นคร-โสเภณี) | |
นที | แม่น้ำ ในพระวินัย หมายเอาแม่น้ำที่มีกระแสน้ำไหลอยู่ ไม่ใช่แม่น้ำตัน | |
นทีกัสสป | นักบวชชฎิลแห่งกัสสปโคตร น้องชายของอุรุเวลกัสสปะ พี่ชายของ คยากัสสปะ ออกบวชตามพี่ชาย พร้อมด้วยชฎิลบริวาร ๓๐๐ คน สำเร็จอรหัตด้วยฟังอาทิตตปริยายสูตร เป็นมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก | |
นทีปารสีมา | สีมาฝั่งน้ำ คือ สีมาที่สมมติคร่อมฝั่งน้ำทั้งสอง เปิดแม่น้ำไว้กลาง | |
นพเคราะห์ | ดู ดาวพระเคราะห์ | |
นมัสการ | “การทำความนอบน้อม” การไหว้, การเคารพ, การนอบน้อม; ใช้เป็นคำขึ้นต้นและส่วนหนึ่งของคำลงท้าย จดหมายที่คฤหัสถ์มีไปถึงพระภิกษุสามเณร | |
นรก | เหวแห่งความทุกข์, ที่อันไม่มีความสุขความเจริญ, ภาวะเร่าร้อนกระวนกระวาย, ที่ไปเกิดและเสวยความทุกข์ของสัตว์ผู้ทำบาป (ข้อ ๑ ในอบาย ๔); ดู นิรยะ, คติ | |
นวกะ | 1. หมวด ๙ 2. ภิกษุใหม่, ภิกษุมีพรรษายังไม่ครบ ๕; เทียบ เถระ, มัชฌิมะ | |
นวกภูมิ | ขั้น ชั้น หรือระดับพระนวกะ, ระดับอายุ คุณธรรม ความรู้ ที่นับว่ายังเป็นผู้ใหม่ คือ มีพรรษาต่ำกว่า ๕ ยังต้องถือนิสัย เป็นต้น; เทียบ เถรภูมิ, มัชฌิมภูมิ | |
นวกรรม | การก่อสร้าง | |
นวกัมมาธิฏฐายี | ผู้อำนวยการก่อสร้างเช่น ที่พระมหาโมคคัลลานะได้รับมอบหมายจากพระบรมศาสดาให้เป็นผู้อำนวยการสร้างบุพพารามที่นางวิสาขาบริจาคทุนสร้างที่กรุงสาวัตถี | |
นวกัมมิกะ | ผู้ดูแลนวกรรม, ภิกษุผู้ได้รับสมมติคือแต่งตั้งจากสงฆ์ ให้ทำหน้าที่ ดูแลการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์ในอาราม | |
นวโกวาท | คำสอนสำหรับผู้บวชใหม่, คำสอนสำหรับภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่, ชื่อหนังสือแบบเรียนนักธรรมชั้นตรี เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหา-สมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส | |
นวนีตะ | เนยข้น; ดู เบญจโครส | |
นวรหคุณ | คุณของพระอรหันต์ ๙ หมายถึง คุณของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ ๙ ประการ ได้แก่พุทธคุณ ๙ นั่นเอง เขียน นวารหคุณ ก็ได้ แต่เพี้ยนไปเป็น นวหรคุณ ก็มี | |
นวังคสัตถุศาสน์ | คำสั่งสอนของพระศาสดา มีองค์ ๙, พุทธพจน์มีองค์ประกอบ ๙ อย่าง, ส่วนประกอบ ๙ อย่างที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ ๑. สุตตะ (พระสูตรทั้งหลาย รวมทั้งพระวินัยปิฎกและนิทเทส) ๒. เคยยะ (ความที่มีร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน ได้แก่พระสูตรที่มีคาถาทั้งหมด) ๓. เวยยากรณะ (ไวยากรณ์ คือความร้อยแก้วล้วน ได้แก่ พระอภิธรรมปิฎกทั้งหมด และพระสูตรที่ไม่มีคาถา เป็นต้น) ๔. คาถา (ความร้อยกรองล้วนเช่น ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา เป็นต้น) ๕. อุทาน (ได้แก่ พระคาถาพุทธอุทาน ๘๒ สูตร) ๖. อิติวุตตกะ (พระสูตรที่เรียกว่า อิติวุตตกะ ๑๑๐ สูตร) ๗. ชาตกะ (ชาดก ๕๕๐ เรื่อง) ๘. อัพภูตธรรม (เรื่องอัศจรรย์ คือพระสูตรที่กล่าวถึงข้ออัศจรรย์ต่างๆ) ๙. เวทัลละ (พระสูตรแบบถามตอบที่ให้เกิดความรู้และความพอใจแล้วซักถามยิ่งๆ ขึ้นไป เช่น จูฬ-เวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตร เป็นต้น); เขียนอย่างบาลีเป็น นวังคสัตถุสาสน์; ดู ไตรปิฎก | |
นหารู | เอ็น | |
นหุต | ชื่อมาตรานับ เท่ากับหนึ่งหมื่น | |
นอนร่วม | นอนในที่มุงที่บังอันเดียวกัน แลเห็นกันได้ในเวลานอน | |
น้อม | ในประโยคว่า “ภิกษุน้อมลาภเช่นนั้นมาเพื่อตน” ขอหรือพูดเลียบเคียงชักจูงเพื่อจะให้เขาให้ | |
นักบุญ | ผู้ใฝ่บุญ, ผู้ถือศาสนาอย่างเคร่งครัด, ผู้ทำประโยชน์แก่พระศาสนา | |
นักปราชญ์ | ผู้รู้, ผู้มีปัญญา | |
นักพรต | คนถือบวช, ผู้ประพฤติพรต | |
นักษัตรฤกษ์ | ดาวฤกษ์ซึ่งอยู่บนท้องฟ้า มีชื่อต่างๆ กัน เช่นดาวม้า ดาวลูกไก่ ดาวคางหมู ดาวจระเข้ ดาวคันฉัตร เป็นต้น; ดู ดาวนักษัตร | |
นัตถิกทิฏฐิ | ความเห็นว่าไม่มี เช่นเห็นว่าผลบุญผลบาปไม่มี บิดามารดาไม่มี ความดีความชั่วไม่มี เป็นมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด ที่ร้ายแรงอย่างหนึ่ง; ดู ทิฏฐิ | |
นันทะ | พระอนุชาของพระพุทธเจ้าแต่ต่างพระมารดา คือประสูติแต่พระนางมหา-ปชาบดีโคตมี ได้ออกบวชในวันมงคลสมรสกับนางชนปทกัลยาณี เบื้องแรกประพฤติพรหมจรรย์อยู่ด้วยความจำใจ แต่ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงสอนด้วยอุบาย จนพระนันทะเปลี่ยนมาตั้งใจปฏิบัติธรรม และในที่สุดก็ได้บรรลุอรหัตตผล ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้สำรวมอินทรีย์ พระ นันทะมีรูปพรรณสัณฐานคล้ายพระพุทธเจ้า แต่ต่ำกว่าพระพุทธองค์ ๔ นิ้ว | |
นันทกะ | พระเถระมหาสาวกองค์หนึ่ง เกิดในตระกูลผู้ดีมีฐานะในพระนคร สาวัตถี ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา มีความเลื่อมใส ขอบวช เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้สำเร็จพระอรหัต ท่านมีความสามารถในการแสดงธรรมจนเป็นที่เลื่องลือ ครั้งหนึ่งท่านแสดงธรรมแก่นางภิกษุณี ปรากฏว่านางภิกษุณีได้สำเร็จพระอรหัตถึง ๕๐๐ องค์ ท่านได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางให้โอวาทแก่นางภิกษุณี | |
นันทกุมาร | พระราชบุตรของพระเจ้า สุทโธทนะ และพระนางปชาบดีโคตมี ต่อมาออกบวชมีชื่อว่าพระนันทะ คือองค์ที่มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายพระพุทธ-องค์นั่นเอง | |
นันทมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ | |
นันทมารดา | ชื่ออุบาสิกาคนหนึ่ง เป็นอนาคามี เป็นผู้ชำนาญในฌาน ๔ ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะทางบำเพ็ญฌาน ชื่อเต็มว่า อุตตรา นันทมารดา | |
นันทาเถรี | ชื่อภิกษุณี ผู้เป็นพระน้องนางของพระเจ้ากาลาโศก | |
นัย | อุบาย, อาการ, วิธี, ข้อสำคัญ, เค้าความ, เค้าเงื่อน, แง่ความหมาย | |
นัยนา | ดวงตา | |
นาค | งูใหญ่ในนิยาย; ช้าง; ผู้ประเสริฐ; ใช้เป็นคำเรียกคนที่กำลังจะบวชด้วย | |
นาคเสน | พระอรหันตเถระผู้โต้วาทะชนะพระยามิลินท์ กษัตริย์แห่งสาคลประเทศ ดังมีคำโต้ตอบปัญหามาในคัมภีร์มิลินท-ปัญหา ท่านเกิดหลังพุทธกาลประมาณ ๔๐๐ ปี ที่หมู่บ้านกชังคละในหิมวันต-ประเทศ เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อ โสณุตตระ ท่านเป็นผู้ชำนาญในพระเวทและต่อมาได้อุปสมบท โดยมีพระโรหณะเป็นพระอุปัชฌาย์; ดู มิลินท์, มิลินท-ปัญหา | |
นาคาวโลก | การเหลียวมองอย่างพญาช้าง, มองอย่างช้างเหลียวหลัง คือเหลียวดูโดยหันกายกลับมาทั้งหมด เป็นกิริยาของพระพุทธเจ้า; เป็นชื่อพระพุทธรูปปางหนึ่ง ซึ่งทำกิริยาอย่างนั้น | |
นาคิตะ | พระเถระมหาสาวกองค์หนึ่ง เคยเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธองค์ มีพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่ท่านเกี่ยวกับเนกขัมมสุข ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ อังคุตตรนิกาย ๒–๓ แห่ง | |
นางเร็ด | ชื่อขนมชนิดหนึ่ง ทำเป็นแผ่นกลมโรยน้ำตาล พจนานุกรมเขียน นางเล็ด | |
นาถ | ที่พึ่ง, ผู้เป็นที่พึ่ง | |
นาถกรณธรรม | ธรรมทำที่พึ่ง, ธรรมสร้างที่พึ่ง, คุณธรรมที่ทำให้พึ่งตนได้ มี ๑๐ อย่างคือ ๑. ศีล มีความประพฤติดี ๒. พาหุสัจจะ ได้เล่าเรียนสดับฟังมาก ๓. กัลยาณมิตตตา มีมิตรดีงาม ๔.โสวจัสสตา เป็นคนว่าง่าย ฟังเหตุผล ๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา เอาใจใส่กิจธุระของเพื่อนร่วมหมู่คณะ ๖. ธัมมกามตา เป็นผู้ใคร่ธรรม ๗. วิริยะ ขยันหมั่นเพียร ๘. สันตุฏฐี มีความสันโดษ ๙. สติ มีสติ ๑๐. ปัญญา มีปัญญาเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง | |
นานาธาตุญาณ | ปรีชาหยั่งรู้ธาตุต่างๆ คือรู้จักแยกสมมติออกเป็นขันธ์ อายตนะ ธาตุต่างๆ (ข้อ ๔ ในทศพลญาณ) | |
นานาธิมุตติกญาณ | ปรีชาหยั่งรู้อัธยาศัยของสัตว์ ที่โน้มเอียง เชื่อถือ สนใจ พอใจต่างๆ กัน (ข้อ ๕ ในทศพลญาณ) | |
นานานิกาย | นิกายต่างๆ คือหมู่แห่งสงฆ์ต่างหมู่ต่างคณะ | |
นานาภัณฑะ | ทรัพย์ต่างกันคือหลายสิ่ง, ภัณฑะต่างๆ, สิ่งของต่างชนิดต่างประเภท | |
นานาสังวาส | มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ร่วม (คืออุโบสถและสังฆกรรมเป็นต้น) ที่ต่างกัน, สงฆ์ผู้ไม่ร่วมสังวาส คือ ไม่ร่วมอุโบสถและสังฆกรรมด้วยกัน เรียกว่าเป็นนานาสังวาสของกันและกัน เหตุที่ทำให้นานาสังวาสมี ๒ คือ ภิกษุทำตนให้เป็นนานาสังวาสเอง เช่น อยู่ในนิกายหนึ่งไปขอเข้านิกายอื่น หรือแตกจากพวกเพราะเหตุวิวาทาธิกรณ์อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งถูกสงฆ์พร้อมกันยกออกจากสังวาส | |
นาบี, นบี | ศาสดาผู้ประกาศศาสนาอิสลาม ทำหน้าที่แทนพระผู้เป็นเจ้า, ผู้เทศนา, ผู้ประกาศข่าว ชาวมุสลิมถือว่าพระมะหะหมัดเป็นนาบีองค์สุดท้าย | |
นาม | ธรรมที่รู้จักกันด้วยชื่อ กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเรื่องของจิตใจ, สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่รูปแต่น้อมมาเป็นอารมณ์ของจิตได้ 1. ในที่ทั่วไปหมายถึงอรูปขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ 2. บางแห่งหมายถึงอรูปขันธ์ ๔ นั้นและนิพพาน (รวมทั้งโลกุตตรธรรมอื่นๆ) 3. บางแห่งเช่นในปฏิจจสมุปบาท บางกรณีหมายเฉพาะเจตสิกธรรมทั้งหลาย; เทียบ รูป | |
นามกาย | “กองแห่งนามธรรม” หมายถึงเจตสิกทั้งหลาย; เทียบ รูปกาย | |
นามขันธ์ | ขันธ์ที่เป็นฝ่ายนามธรรม มี ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ | |
นามธรรม | สภาวะที่น้อมไปหาอารมณ์, ใจและอารมณ์ที่เกิดกับใจ คือ จิต และเจตสิก, สิ่งของที่ไม่มีรูป คือรู้ไม่ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ทางใจ; ดู นาม; คู่กับ รูปธรรม | |
นามรูป | นามธรรม และรูปธรรม นามธรรม หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูป คือรู้ไม่ได้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ด้วยใจ ได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปธรรม หมายถึง สิ่งที่มีรูป สิ่งที่เป็นรูป ได้แก่รูปขันธ์ทั้งหมด | |
นามรูปปริจเฉทญาณ | ญาณกำหนดแยกนามรูป, ญาณหยั่งรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นแต่เพียงนามและรูป และกำหนดจำแนกได้ว่าสิ่งใดเป็นรูป สิ่งใดเป็นนาม (ข้อ ๑ ในญาณ ๑๖) | |
นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ | ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป, ญาณหยั่งรู้ที่กำหนดจับได้ซึ่งปัจจัยแห่งนามและรูป โดยอาการที่เป็นไปตามหลักปฏิจจ- สมุปบาท เป็นต้น (ข้อ ๒ ในญาณ ๑๖) เรียกกันสั้นๆ ว่า ปริคคหญาณ | |
นารายณ์ | ชื่อเรียกพระวิษณุ ซึ่งเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งของศาสนาพราหมณ์ | |
นารี | ผู้หญิง, นาง | |
นาลกะ | 1. หลานชายของอสิตดาบส ออกบวชตามคำแนะนำของลุง และไปบำเพ็ญสมณธรรมรอการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอยู่ในป่าหิมพานต์ ครั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้มาทูลถามเรื่องโมไนยปฏิปทา และกลับไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าหิมพานต์ ได้บรรลุอรหัตแล้ว ดำรงอายุอยู่อีก ๗ เดือน ก็ปรินิพพานในป่าหิมพานต์นั้นเอง; ท่านจัดเป็นมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติ-มหาสาวกด้วย 2. ชื่อหมู่บ้านอันเป็นที่เกิดของพระสารีบุตร ไม่ไกลจากเมืองราชคฤห์ บางทีเรียก นาลันทคาม | |
นาลันทะ | ชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ เป็นบ้านเกิดของพระสารี-บุตร; ดู นาลกะ 2. | |
นาสนะ | ดู นาสนา | |
นาสนา | ให้ฉิบหายเสีย คือ การลงโทษบุคคลผู้ไม่สมควรถือเพศ มี ๓ อย่างคือ ๑. ลิงคนาสนา ให้ฉิบหายจากเพศ คือให้สึกเสีย ๒. ทัณฑกรรมนาสนา ให้ฉิบหายด้วยการลงโทษ ๓. สังวาสนาสนา ให้ฉิบหายจากสังวาส | |
นาสิก | 1. จมูก 2. พยัญชนะที่ออกเสียงขึ้นจมูก ได้แก่ ง ญ ณ น ม | |
นาฬี | ชื่อมาตราตวง แปลว่า “ทะนาน”; ดู มาตรา | |
น้ำทิพย์ | น้ำที่ทำผู้ดื่มให้ไม่ตาย หมายถึงน้ำอมฤต หรือน้ำสุรามฤต | |
น้ำอมฤต | ดู อมฤต | |
นิกร | หมู่, พวก | |
นิกรสัตว์ | หมู่สัตว์ | |
นิกาย | พวก, หมวด, หมู่, ชุมนุม, กอง; 1. หมวดตอนใหญ่แห่งพุทธพจน์ในพระสุตตันตปิฎก ซึ่งแยกเป็น ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตร-นิกาย และขุททกนิกาย; ดู ไตรปิฎก 2. คณะนักบวช หรือศาสนิกชนในศาสนาเดียวกันที่แยกเป็นพวกๆ; ในพระพุทธ-ศาสนามีนิกายใหญ่ที่เรียกได้ว่าเป็นนิกายพุทธศาสนาในปัจจุบัน ๒ นิกาย คือ มหายาน หรือนิกายฝ่ายเหนือ (อุตรนิกาย) พวกหนึ่ง และ เถรวาท หรือนิกายฝ่ายใต้ (ทักษิณนิกาย) ที่บางทีเรียก หีนยาน พวกหนึ่ง; ในประเทศไทยปัจจุบัน พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทด้วยกัน แยกออกเป็น ๒ นิกาย แต่เป็นเพียงนิกายสงฆ์ มิใช่ถึงกับเป็นนิกายพุทธศาสนา (คือแยกกันเฉพาะในหมู่นักบวช) ได้แก่ มหานิกาย และ ธรรมยุติกนิกาย ซึ่งบางทีเรียกเพียงเป็นคณะว่า คณะมหานิกาย และ คณะธรรมยุต | |
นิคคหะ | ดู นิคหะ | |
นิคคหกรรม | ดู นิคหกรรม | |
นิคคหวิธี | วิธีข่ม, วิธีทำนิคหะ, วิธีลงโทษ; ดู นิคหกรรม | |
นิคคหิต | อักขระที่ว่ากดเสียง, อักขระที่ว่าหุบปากกดกรณ์ไว้ไม่ปล่อย มีรูปเป็นจุดกลวง เช่น สงฺฆํ อุปสมฺปทํ; บัดนี้นิยมเขียน นิคหิต | |
นิคม | 1. หมู่บ้านใหญ่, เมืองขนาดเล็ก, ย่านการค้า 2. คำลงท้ายของเรื่อง | |
นิคมสีมา | แดนนิคม, อพัทธสีมาที่สงฆ์กำหนดด้วยเขตนิคมที่ตนอาศัยอยู่ | |
นิครนถ์ | นักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่เป็นสาวกของนิครนถนาฏบุตร, นักบวชในศาสนาเชน | |
นิครนถนาฏบุตร | คณาจารย์เจ้าลัทธิคนหนึ่งในจำนวนครูทั้ง ๖ มีคนนับถือมาก มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น วรรธมานบ้าง พระมหาวีระบ้าง เป็นต้นศาสนาเชน ซึ่งยังมีอยู่ในประเทศอินเดีย | |
นิคหะ | การข่ม, การกำราบ, การลงโทษ | |
นิคหกรรม | การลงโทษตามพระธรรมวินัย, สังฆกรรมประเภทลงโทษผู้ทำความผิด ท่านแสดงไว้ ๖ อย่างคือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณีย-กรรม อุกเขปนียกรรม และ ตัสสปาปิย-สิกากรรม | |
นิคัณฐนาฏบุตร | ดู นิครนถนาฏบุตร | |
นิโครธ | ต้นไทร | |
นิโครธาราม | อารามที่พระญาติสร้างถวายพระพุทธเจ้า อยู่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ | |
นิจศีล | ศีลที่พึงรักษาเป็นประจำ, ศีลประจำตัวของอุบาสกอุบาสิกา ได้แก่ ศีล ๕ | |
นิตย์ | เที่ยง, ยั่งยืน, เสมอ, เป็นประจำ | |
นิตยกาล | ตลอดเวลา, ตลอดกาลเป็นนิตย์ | |
นิตยภัต | อาหารหรือค่าอาหารที่ถวายแก่ภิกษุสามเณรเป็นประจำ | |
นิทเทส | คำแสดง, คำจำแนกอธิบาย, คำไขความ (พจนานุกรม เขียน นิเทศ) | |
นิทัศนะ | ตัวอย่างที่นำมาแสดงให้เห็น, อุทาหรณ์ (พจนานุกรม เขียน นิทัศน์) | |
นิทัสน์ | ตัวอย่างที่นำมาแสดงให้เห็น, อุทาหรณ์ (พจนานุกรม เขียน นิทัศน์) | |
นิทาน | เหตุ, ต้นเรื่อง | |
นิทานวจนะ | คำแถลงเรื่องเดิม, บทนำ | |
นิบาต | ศัพท์ภาษาบาลีที่วางไว้ระหว่างข้อความในประโยคเพื่อเชื่อมข้อความหรือเสริมความ เป็นอัพยยศัพท์อย่างหนึ่ง | |
นิปปริยาย | ไม่อ้อมค้อม, ตรง, สิ้นเชิง (พจนานุกรมเขียน นิปริยาย) | |
นิปปริยายสุทธิ | ความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง ไม่มีการละและการบำเพ็ญอีก ได้แก่ ความบริสุทธิ์ของพระอรหันต์; ตรงข้ามกับ ปริยายสุทธิ; ดู สุทธิ | |
นิปัจจการ | การเคารพ, การอ่อนน้อม, การยอมเชื่อฟัง | |
นิพพาน | การดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตตรธรรม และเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา; ดู นิพพานธาตุ | |
นิพพานธาตุ | ภาวะแห่งนิพพาน; นิพพาน หรือนิพพานธาตุ ๒ คือ ๑. สอุปาทิเสส-นิพพาน ดับกิเลสมีเบญจขันธ์เหลือ ๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ | |
นิพพิทา | “ความหน่าย” หมายถึงความหน่ายที่เกิดขึ้นจากปัญญาพิจารณาเห็นความจริง ถ้าหญิงชายอยู่กินกันเกิดหน่ายกัน เพราะความประพฤติไม่ดีต่อกัน หรือหน่ายในมรรยาทของกันและกัน อย่างนี้ไม่จัดเป็นนิพพิทา; ความเบื่อหน่ายในกองทุกข์ | |
นิพพิทาญาณ | ความรู้ที่ทำให้เบื่อหน่ายในกองทุกข์, ปรีชาหยั่งเห็นสังขารด้วยความหน่าย; ดู วิปัสสนาญาณ | |
นิพพิทานุปัสสนาญาณ | ปรีชาคำนึงถึงสังขารด้วยความหน่าย เพราะมีแต่โทษมากมาย แต่ไม่ใช่ทำลายตนเองเพราะเบื่อสังขาร เรียกสั้นว่า นิพพิทาญาณ | |
นิพัทธทุกข์ | ทุกข์เนืองนิตย์, ทุกข์ประจำ, ทุกข์เป็นเจ้าเรือน ได้แก่ หนาวร้อน หิวกระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ | |
นิมนต์ | เชิญ หมายถึงเชิญพระ เชิญนักบวช | |
นิมมานรดี | สวรรค์ชั้นที่ ๕ มีท้าว สุนิมมิตเทวราชปกครอง เทวดาชั้นนี้ปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใด นิรมิตเอาได้ | |
นิมันตนะ | การนิมนต์ หรืออาหารที่ได้ในที่นิมนต์ หมายเอาการนิมนต์ของทายกเพื่อไปฉันที่บ้านเรือนของเขา | |
นิมิต | 1. เครื่องหมาย ได้แก่วัตถุอันเป็นเครื่องหมายแห่งสีมา, วัตถุที่ควรใช้เป็นนิมิตมี ๘ อย่าง ภูเขา ศิลา ป่าไม้ ต้นไม้ จอมปลวก หนทาง แม่น้ำ น้ำ 2. (ในคำว่าทำนิมิต) ทำอาการเป็นเชิงชวนให้เขาถวาย, ขอเขาโดยวิธีให้รู้โดยนัย ไม่ขอตรงๆ 3. เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพที่เป็นอารมณ์กรรมฐานมี ๓ คือ ๑. บริกรรมนิมิต นิมิตแห่งบริกรรม หรือนิมิตตระเตรียม ได้แก่ สิ่งที่เพ่ง หรือกำหนดนึกเป็นอารมณ์กรรมฐาน ๒. อุคคหนิมิต นิมิตที่ใจเรียน หรือนิมิตติดตาติดใจ ได้แก่ สิ่งที่เพ่งหรือนึกนั้นเอง ที่แม่นในใจ จนหลับตามองเห็น ๓. ปฏิภาคนิมิต นิมิตเสมือน หรือนิมิตเทียบเคียง ได้แก่ อุคคหนิมิตนั้น เจนใจจนกลายเป็นภาพที่เกิดจากสัญญา เป็นของบริสุทธิ์ จะนึกขยายหรือย่อส่วนก็ได้ตามปรารถนา 4. สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นก่อนเสด็จออกบรรพชา ๔ อย่าง; ดู เทวทูต | |
นิมิตขาด | (ในคำว่า “สีมามีนิมิตขาด”) สีมามีนิมิตแนวเดียว ชักแนวบรรจบไม่ถึงกัน; ตามนัยอรรถกถาว่า ทักนิมิตไม่ครบรอบถึงจุดเดิมที่เริ่มต้น | |
นิมิตต์ | ดู นิมิต | |
นิมิตต์โอภาส | ตรัสข้อความเป็นเชิงเปิดโอกาสให้อาราธนาเพื่อดำรงพระชนม์อยู่ต่อไป | |
นิยม | กำหนด, ชอบ, นับถือ | |
นิยยานิกะ | เป็นเครื่องนำสัตว์ออกไปจากกองทุกข์ | |
นิยสกรรม | กรรมอันสงฆ์พึงทำให้เป็นผู้ไร้ยศ ได้แก่การถอดยศ, เป็นชื่อนิคห-กรรมที่สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้มีอาบัติมาก หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ์ ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร โดยปรับให้ถือนิสัยใหม่อีก; ดู นิคหกรรม | |
นิยาย | เรื่องที่เล่ากันมา, นิทานที่เล่าเปรียบเทียบเพื่อได้ใจความเป็นสุภาษิต | |
นิรยะ | นรก, ภูมิที่เสวยทุกข์ของคนผู้ทำบาปตายแล้วไปเกิด (ข้อ ๑ ในอบาย ๔) ดู นรก, คติ | |
นิรยบาล | ผู้คุมนรก, ผู้ลงโทษสัตว์นรก | |
นิรฺวาณมฺ | ความดับ เป็นคำสันสกฤตเทียบกับภาษาบาลี ก็ได้แก่ศัพท์ว่า นิพพาน นั่นเอง ปัจจุบันนิยมใช้เพียงว่า นิรวาณ กับ นิรวาณะ | |
นิรันดร | ติดต่อกัน, เสมอมา, ไม่มีระหว่างคั่น, ไม่เว้นว่าง | |
นิรันตราย | ปราศจากอันตราย | |
นิรามิษ | หาเหยื่อมิได้, ไม่มีอามิสคือเหยื่อที่เป็นเครื่องล่อใจ, ไม่ต้องอาศัยวัตถุ | |
นิรามิส | หาเหยื่อมิได้, ไม่มีอามิสคือเหยื่อที่เป็นเครื่องล่อใจ, ไม่ต้องอาศัยวัตถุ | |
นิรามิสสุข | สุขไม่เจืออามิส, สุขไม่ต้องอาศัยเครื่องล่อหรือกามคุณ ได้แก่ สุขที่อิงเนกขัมมะ; ดู สุข | |
นิรุตติปฏิสัมภิทา | ปัญญาแตกฉานในภาษา คือเข้าใจภาษา รู้จักใช้ถ้อยคำให้คนเข้าใจ ตลอดทั้งรู้ภาษาต่างประเทศ (ข้อ ๓ ในปฏิสัมภิท ๔) | |
นิโรธ | ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึงพระนิพพาน | |
นิโรธสมาบัติ | การเข้านิโรธ คือ ดับสัญญาความจำได้หมายรู้ และเวทนาการเสวยอารมณ์ เรียกเต็มว่า เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ, พระอรหันต์และพระอนาคามีที่ได้สมาบัติ ๘ แล้วจึงจะเข้านิโรธสมาบัติได้ (ข้อ ๙ ในอนุปุพพ-วิหาร ๙) | |
นิโรธสัญญา | ความสำคัญหมายในนิโรธ คือ กำหนดหมายการดับตัณหาอันเป็นอริยผลว่า เป็นธรรมละเอียดประณีต; ดู สัญญา | |
นิวรณ์ | ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี, สิ่งที่ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม มี ๕ อย่างคือ ๑. กามฉันท์ พอใจในกามคุณ ๒. พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น ๓. ถีนมิทธะ ความหดหู่ซึมเซา ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ ๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย | |
นิวรณธรรม | ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี, สิ่งที่ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม มี ๕ อย่างคือ ๑. กามฉันท์ พอใจในกามคุณ ๒. พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น ๓. ถีนมิทธะ ความหดหู่ซึมเซา ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ ๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย | |
นิวรณูปกิเลส | โทษเครื่องเศร้าหมองคือนิวรณ์ | |
นิเวศน์ | ที่อยู่ | |
นิสสยาจารย์ | อาจารย์ผู้ให้นิสัย | |
นิสสรณวิมุตติ | ความหลุดพ้นด้วยออกไปเสีย หรือสลัดออกได้ เป็นการพ้นที่ยั่งยืนตลอดไป ได้แก่นิพพาน, เป็น โลกุตตรวิมุตติ (ข้อ ๕ ในวิมุตติ ๕) | |
นิสสัคคิยะ | “ทำให้สละสิ่งของ” เป็นคุณ-บทแห่งอาบัติปาจิตตีย์ หมวดหนึ่งที่เรียกว่า นิสสัคคิยปาจิตตีย์ | |
นิสสัคคิยกัณฑ์ | ตอน หรือ ส่วนอันว่าด้วยอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ | |
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ | อาบัติปาจิตตีย์ อันทำให้ต้องสละสิ่งของ ภิกษุต้องอาบัติประเภทนี้ ต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัติก่อน จึงจะปลงอาบัติตก | |
นิสสัคคิยวัตถุ | ของที่เป็นนิสสัคคีย์, ของที่ต้องสละ, ของที่ทำให้ภิกษุต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ จำต้องสละก่อนจึงจะปลงอาบัติตก | |
นิสสารณา | การไล่ออก, การขับออกจากหมู่ เช่น นาสนะสามเณรผู้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าออกไปเสียจากหมู่ (อยู่ในอปโลกนกัมม์) ประกาศถอนธรรมกถึกผู้ไม่แตกฉานในธรรมในอรรถ คัดค้านคดีโดยหาหลักฐานมิได้ ออกเสียจากการระงับอธิกรณ์ (อยู่ในญัตติกัมม์); คู่กับ โอสารณา | |
นิสัยมุตตกะ | ภิกษุผู้พ้นการถือนิสัย หมายถึงภิกษุมีพรรษาพ้น ๕ แล้ว มีความรู้ธรรมวินัยพอรักษาตัวได้แล้ว ไม่ต้องถือนิสัยในอุปัชฌาย์ หรืออาจารย์ต่อไป; เรียกง่ายว่า นิสัยมุตก์ | |
นิสัยสีมา | คามสีมาเป็นที่อาศัยของ พัทธสีมา | |
นิสิต | ศิษย์ผู้เล่าเรียนอยู่ในสำนัก, ผู้อาศัย, ผู้ถือนิสัย | |
นิสิตสีมา | พัทธสีมาอาศัยคามสีมา | |
นิสีทนะ | ผ้าปูนั่งสำหรับภิกษุ | |
เนกขัมมะ | การออกจากกาม, การออกบวช, ความปลอดโปร่งจากสิ่งล่อเร้าเย้ายวน (พจนานุกรมเขียน เนกขัม); (ข้อ ๓ ในบารมี ๑๐) | |
เนกขัมมวิตก | ความตรึกที่จะออกจากกาม หรือตรึกที่จะออกบวช, ความดำริ หรือความคิดที่ปลอดจากความโลภ (ข้อ ๓ ในกุศลวิตก ๓) | |
เนตติ | แบบแผน, เยี่ยงอย่าง, ขนบธรรม-เนียม (พจนานุกรม เขียน เนติ) | |
เนตร | ตา, ดวงตา | |
เนปาล | ชื่อประเทศอันเคยเป็นที่ตั้งของแคว้นศากยะบางส่วน รวมทั้งลุมพินีอันเป็นที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดียและทางใต้ของประเทศจีน มีเนื้อที่ ๑๔๐,๗๙๗ ตารางกิโลเมตร มีพลเมืองประมาณ ๑๓,๔๒๐,๐๐๐ คน (พ.ศ. ๒๕๒๑); หนังสือเก่าเขียน เนปอล | |
เนยยะ | ผู้พอแนะนำได้ คือพอจะฝึกสอน อบรมให้เข้าใจธรรมได้ต่อไป (ข้อ ๓ ในบุคคล ๔ เหล่า) | |
เนรเทศ | ขับไล่ออกจากถิ่นเดิม, ให้ออกไปเสียจากประเทศ | |
เนรัญชรา | ชื่อแม่น้ำสำคัญ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ภายใต้ต้นโพธิ์ ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำสายนี้ และก่อนหน้านั้นในวันตรัสรู้ทรงลอยถาดข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายในแม่น้ำสายนี้ | |
เนวสัญญานาสัญญายตนะ | ภาวะที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เป็นชื่ออรูปฌาน หรืออรูปภพที่ ๔ | |
เนวสัญญีนาสัญญี | มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ | |
เนสัชชิกังคะ | องค์แห่งภิกษุผู้ถือการนั่งเป็นวัตร คือ ถือ นั่ง ยืน เดิน เท่านั้น ไม่นอน (ข้อ ๑๓ ในธุดงค์ ๑๓) | |
เนา | เอาผ้าทาบกันเข้า เอาเข็มเย็บเป็นช่วงยาวๆ พอกันผ้าเคลื่อนจากกัน ครั้นเย็บแล้วก็เลาะเนานั้นออกเสีย | |
บทภาชนะ | บทไขความ, บทขยายความ | |
บทภาชนีย์ | บทที่ตั้งไว้เพื่อขยายความ, บทที่ต้องอธิบาย | |
บรม | อย่างยิ่ง, ที่สุด | |
บรมธาตุ | กระดูกพระพุทธเจ้า | |
บรมพุทโธบาย | อุบายคือวิธีของพระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยม จากศัพท์ว่า บรม (ปรม) + พุทธ (พุทฺธ) + อุบาย (อุปาย) | |
บรมศาสดา | ศาสดาที่ยอดเยี่ยม, พระผู้เป็นครูที่สูงสุด, พระบรมครู หมายถึงพระพุทธเจ้า | |
บรมสุข | สุขอย่างยิ่ง ได้แก่ พระนิพพาน | |
บรมอัฏฐิ | กระดูกกษัตริย์ | |
บรรจบ | ครบ, ถ้วน, จดกัน, ประสมเข้า, ติดต่อกัน, สมทบ | |
บรรทม | นอน | |
บรรเทา | ทำให้สงบ, คลาย, เบาลง, ทำให้เบาลง, ทุเลา | |
บรรพ | ข้อ, เล่ม, หมวด, ตอน, กัณฑ์ ดังคำว่า กายานุปัสสนา พิจารณาเห็นซึ่งกาย โดยบรรพ ๑๔ ข้อ มี อานาปาน-บรรพ ข้อที่ว่าด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก เป็นต้น | |
บรรพชา | การบวช (แปลว่า “เว้นความชั่วทุกอย่าง”) หมายถึง การบวชทั่วไป, การบวชอันเป็นบุรพประโยคแห่งอุปสมบท, การบวชเป็นสามเณร (เดิมทีเดียว คำว่า บรรพชา หมายความว่า บวชเป็นภิกษุ เช่น เสด็จออกบรรพชา อัครสาวกบรรพชา เป็นต้น ในสมัยต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ คำว่า บรรพชา หมายถึง บวชเป็นสามเณร ถ้าบวชเป็นภิกษุ ใช้คำว่า อุปสมบท โดยเฉพาะเมื่อใช้ควบกันว่า บรรพชาอุปสมบท) | |
บรรพชิต | ผู้บวช, นักบวช เช่น ภิกษุ สมณะ ดาบส ฤษี เป็นต้น แต่เฉพาะในพระพุทธศาสนา ได้แก่ ภิกษุและสามเณร (และภิกษุณี สิกขมานา สามเณรี) มักใช้คู่กับ คฤหัสถ์ (ในภาษาไทยปัจจุบันให้ใช้หมายเฉพาะนักบวชในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าในฝ่ายเถรวาท หรือฝ่ายมหายาน) | |
บรรพต | ภูเขา | |
บรรยาย | การสอน, การแสดง, การชี้แจง; นัยโดยอ้อม, อย่าง, ทาง | |
บรรลุ | ถึง, สำเร็จ | |
บริกรรม | 1. (ในคำว่า “ถ้าผ้ากฐินนั้นมีบริกรรมสำเร็จดีอยู่”) การตระเตรียม, การทำความเรียบร้อยเบื้องต้น เช่น ซัก ย้อม กะ ตัด เย็บ เสร็จแล้ว 2. สถานที่เขาลาดปูน ปูไม้ ขัดเงา หรือชักเงา โบกปูน ทาสี เขียนสี แต่งอย่างอื่น เรียกว่า ที่ทำบริกรรม ห้ามภิกษุถ่มน้ำลาย หรือนั่งพิง 3. การนวดฟั้น ประคบ หรือถูตัว 4. การกระทำขั้นต้นในการเจริญสมถกรรมฐานคือ กำหนดใจโดยเพ่งวัตถุ หรือนึกถึงอารมณ์ที่กำหนดนั้น ว่าซ้ำๆ อยู่ในใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อทำใจให้สงบ 5. เลือนมาเป็นความหมายในภาษาไทย หมายถึงท่องบ่น, เสกเป่า | |
บริกรรมภาวนา | ภาวนาขั้นต้นหรือขั้นตระเตรียม คือ กำหนดใจ โดยเพ่งดูวัตถุ หรือนึกว่าพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นต้น ซ้ำๆ อยู่ในใจ | |
บริขาร | เครื่องใช้สอยของนักพรต, เครื่องใช้สอยของพระในพระพุทธ-ศาสนา มี ๘ อย่าง คือ สบง จีวร สังฆาฏิ บาตร มีดโกนหรือมีดตัดเล็บ เข็ม ประคดเอว กระบอกกรองน้ำ นิยมเรียกรวมว่า อัฐบริขาร (บริขาร ๘) | |
บริขารโจล | ท่อนผ้าใช้เป็นบริขาร เช่น ผ้ากรองน้ำ ถุงบาตร ย่าม ผ้าห่อของ | |
บริจาค | สละให้, เสียสละ บัดนี้มักหมายเฉพาะการร่วมให้หรือการสละเพื่อการบุญ | |
บริภัณฑ์ | ดู สัตตบริภัณฑ์ | |
บริโภค | กิน, ใช้สอย, เสพ; ในประโยคว่า “ภิกษุใดรู้อยู่ บริโภคน้ำ มีตัวสัตว์ เป็นปาจิตติยะ” หมายถึง ดื่ม อาบ และใช้สอยอย่างอื่น | |
บริโภคเจดีย์ | เจดีย์คือสิ่งของหรือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้สอยเกี่ยวข้อง ได้แก่ ตุมพสตูป อังคารสตูป และสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ตลอดถึงบาตร จีวร เตียง ตั่ง กุฎี วิหาร ที่พระพุทธเจ้าทรงใช้สอย | |
บริวาร | 1. ผู้แวดล้อม, ผู้ห้อมล้อมติดตาม, ผู้รับใช้ 2. สิ่งแวดล้อม, ของสมทบ, สิ่งประกอบร่วม เช่น ผ้าบริวาร บริวารกฐิน เป็นต้น 3. ชื่อคัมภีร์พระวินัยปิฎก หมวดสุดท้ายใน ๕ หมวดคือ อาทิกัมม์ ปาจิตตีย์ มหาวรรค จุลวรรค บริวาร; เรียกตามรูปเดิมในบาลีว่า ปริวาร ก็มี | |
บริษัท | หมู่เหล่า, ที่ประชุม, คนรวมกัน, กลุ่มชน | |
บริษัท ๔ | ชุมชนชาวพุทธ ๔ พวก คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา | |
บริสุทธ์ | สะอาด, หมดจด, ปราศจากมลทิน, ผุดผ่อง; ครบถ้วน, ถูกต้องตามระเบียบอย่างบริบูรณ์ | |
บริสุทธิ์ | สะอาด, หมดจด, ปราศจากมลทิน, ผุดผ่อง; ครบถ้วน, ถูกต้องตามระเบียบอย่างบริบูรณ์ | |
บริหาร | ดูแล, รักษา, ปกครอง | |
บริหารคณะ | ปกครองหมู่, ดูแลหมู่ | |
บวงสรวง | บูชา (ใช้แก่ผีสาง เทวดา) | |
บ่วงแห่งมาร | ได้แก่ วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่ารักใคร่น่าพอใจ | |
บวช | การเว้นทั่ว คือเว้นความชั่วทุกอย่าง (ออกมาจากคำว่า ป + วช) หมายถึงการถือเพศเป็นนักพรตทั่วไป; บวชพระ คือบวชเป็นภิกษุเรียกว่า อุปสมบท, บวชเณร คือบวชเป็นสามเณรเรียกว่า บรรพชา | |
บอก | ในประโยคว่า “ภิกษุใด ไม่ได้รับบอกก่อน ก้าวล่วงธรณีเข้าไป” ไม่ได้รับบอก คือยังไม่ได้รับอนุญาต | |
บอกวัตร | บอกข้อปฏิบัติในพระพุทธ-ศาสนา เมื่อทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว ภิกษุรูปเดียวเป็นผู้บอก อาจใช้วิธีหมุนเวียนกันไปทีละรูป ข้อความที่บอก ว่าเป็นภาษาบาลี กล่าวถึงปฏิบัติบูชา คาถา โอวาท-ปาฏิโมกข์ คุณานิสงส์แห่งขันติธรรม คำเตือนให้ใส่ใจในธรรมในเมื่อได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ความไม่ประมาท เร่งเพียรพยายามในทางธรรมเพื่อน้อมไปสู่พระนิพพาน และพ้นจากทุคติ แล้วกล่าวถึงพุทธกิจประจำวัน ๕ ประการ ลำดับกาลในพระพุทธประวัติ สิ่งแทนพระองค์ภายหลังพุทธปรินิพพาน ชื่อ วัน เดือน ปี และดาวนักษัตร ๒๗ จบลงด้วยคำเชื้อเชิญให้ตั้งอยู่ในพระพุทธโอวาท บำเพ็ญปฏิบัติบูชา เพื่อบรรลุสมบัติทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตตระ; ธรรมเนียมนี้ บัดนี้เลือนรางไปแล้ว | |
บอกศักราช | เป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์ไทยแต่โบราณ มีการบอกกาลเวลา เรียกว่า บอกศักราช ตอนท้ายสวดมนต์ และก่อนจะแสดงพระธรรมเทศนา (หลังจากให้ศีลจบแล้ว) ว่าทั้งภาษาบาลีและคำแปลเป็นภาษาไทย การบอกอย่างเก่า บอกปี ฤดู เดือน วัน ทั้งที่เป็นปัจจุบัน อดีต และอนาคต คือบอกว่าล่วงไปแล้วเท่าใด และยังจะมีมาอีกเท่าใด จึงจะครบจำนวนอายุพระพุทธศาสนา ๕ พันปี แต่ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่รัฐบาลประกาศใช้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เป็นต้นมา ได้มีวิธีบอกศักราชอย่างใหม่ขึ้นใช้แทน บอกเฉพาะปี พ.ศ. เดือน วันที่ และวันในปัจจุบัน ทั้งบาลีและคำแปล บัดนี้ไม่นิยมกันแล้ว คงเป็นเพราะมีปฏิทินและเครื่องบอกเวลาอย่างอื่นใช้กันดื่นทั่วไป | |
บังคม | ไหว้ | |
บังสุกุล | ผ้าบังสุกุล หรือ บังสุกุลจีวร; ในภาษาไทยปัจจุบัน มักใช้เป็นคำกริยา หมายถึงการที่พระสงฆ์ชักเอาผ้าซึ่งเขาทอดวางไว้ที่ศพ ที่หีบศพ หรือที่สายโยงศพ | |
บังสุกุลจีวร | ผ้าที่เกลือกกลั้วด้วยฝุ่น, ผ้าที่ได้มาจาก กองฝุ่น กองหยากเยื่อซึ่งเขาทิ้งแล้ว ตลอดถึงผ้าห่อคลุมศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ไม่ใช่ผ้าที่ชาวบ้านถวาย, ปัจจุบันมักหมายถึงผ้าที่พระชักจากศพโดยตรงก็ตาม จากสายโยงศพก็ตาม | |
บัญญัติ | การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ | |
บัณฑิต | ผู้มีปัญญา, นักปราชญ์, ผู้ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา | |
บัณฑิตชาติ | เผ่าพันธุ์บัณฑิต, เหล่านักปราชญ์, เชื้อนักปราชญ์ | |
บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ | แท่นหินมีสีดุจผ้ากัมพลเหลือง เป็นที่ประทับของพระอินทร์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (อรรถกถาว่า สีแดง) | |
บัณเฑาะก์ | [บัน-เดาะ] กะเทย, คนไม่ปรากฏชัดว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง ได้แก่ กะเทยโดยกำเนิด ๑ ชายผู้ถูกตอนที่เรียกว่าขันที ๑ ชายมีราคะกล้าประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น ๑ | |
บัณเฑาะว์ | [บัน-เดาะ] 1. กลองเล็กชนิดหนึ่งมีหนังสองหน้าตรงกลางคอด ริมทั้งสองใหญ่ พราหมณ์ใช้ในพิธีต่างๆ ขับโดยใช้ลูกตุ้มกระทบหน้ากลองทั้งสองข้าง; 2. สีมามีสัณฐานดุจบัณเฑาะว์ คือมีลักษณะทรวดทรงเหมือนบัณเฑาะว์ | |
บันดาล | ให้เกิดมีขึ้นหรือให้เป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยฤทธิ์หรือด้วยแรงอำนาจ | |
บัลลังก์ | ในคำว่า “นั่งขัดบัลลังก์” หรือ “นั่งคู้บัลลังก์” คือ นั่งขัดสมาธิ; ความหมายทั่วไปว่า แท่น, พระแท่น, ที่นั่งผู้พิพากษาเมื่อพิจารณาคดีในศาล, ส่วนของสถูปเจดีย์บางแบบ มีรูปเป็นแท่นเหนือคอระฆัง | |
บัว ๔ เหล่า | ดู บุคคล ๔ จำพวก | |
บาตร | ภาชนะของนักบวชสำหรับรับอาหาร เป็นอย่างหนึ่งในบริขาร ๘ ของภิกษุ | |
บาตรอธิษฐาน | บาตรที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ภิกษุมีไว้ใช้ประจำตัวหนึ่งใบ | |
บาทยุคล | คู่แห่งบาท, พระบาททั้งสอง (เท้าสองข้าง) | |
บ้าน | ที่อยู่ของคนครัวเดียวกัน มีเรือนหลังเดียว สองหลัง สามหลัง หรือมากกว่านั้น หรือรวมบ้านเหล่านั้นเข้าเป็นหมู่ก็เรียกว่า บ้าน คำว่า คามสีมา หมายถึงแดนบ้านตามนัยหลังนี้ | |
บาป | ความชั่ว, ความร้าย, ความชั่วร้าย, กรรมชั่ว, กรรมลามก, อกุศลกรรมที่ส่งให้ถึงความเดือดร้อน, สภาพที่ทำให้ถึงคติอันชั่ว, สิ่งที่ทำจิตให้ตกสู่ที่ชั่ว คือ ทำให้เลวลง ให้เสื่อมลง | |
บารมี | คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง มี ๑๐ คือ ทาน, ศีล, เนกขัมมะ, ปัญญา, วิริยะ, ขันติ, สัจจะ, อธิษฐาน, เมตตา, อุเบกขา; ดู ปรมัตถบารมี, อุปบารมี | |
บาลี | 1. “ภาษาอันรักษาไว้ซึ่งพุทธพจน์”, ภาษาที่ใช้ทรงจำและจารึกรักษาพุทธพจน์แต่เดิมมา อันเป็นหลักในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ถือกันว่าได้แก่ภาษามคธ 2. คัมภีร์พระพุทธศาสนาต้นเดิมที่เป็นพระพุทธวจนะอันพระสังคีติกาจารย์รวบรวมไว้ คือ คัมภีร์พระไตรปิฎกที่พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ประชุมกันรวบรวมจัดสรรให้เป็นหมวดหมู่ในคราวปฐมสังคายนา, พระพุทธพจน์, ข้อความที่มาในพระไตรปิฎก | |
บาลีประเทศ | ข้อความตอนหนึ่งแห่งบาลี, ข้อความจากพระไตรปิฎก | |
บาลีพุทธอุทาน | คำอุทานที่พระพุทธเจ้าทรงเปล่งเป็นบาลี เช่นที่ว่า ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพฺพา ฯเปฯ (“ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้เพียรเพ่งพิจารณา ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป ...”) | |
บำบวง | บนบาน, เซ่นสรวง, บูชา | |
บำเพ็ญ | ทำ, ทำด้วยความตั้งใจ, ปฏิบัติ, ทำให้เต็ม, ทำให้มีขึ้น, ทำให้สำเร็จผล (ใช้แก่สิ่งที่ดีงามเป็นบุญกุศล) | |
บิณฑจาริกวัตร | วัตรของผู้เที่ยวบิณฑบาต, ธรรมเนียมหรือข้อควรปฏิบัติสำหรับภิกษุที่จะไปรับบิณฑบาต เช่น นุ่งห่มให้เรียบร้อย สำรวมกิริยาอาการ ถือบาตรภายในจีวรเอาออกเฉพาะเมื่อจะรับบิณฑบาต กำหนดทางเข้าออกแห่งบ้านและอาการของชาวบ้านที่จะให้ภิกขาหรือไม่ รับบิณฑบาตด้วยอาการสำรวม รูปที่กลับมาก่อน จัดที่ฉัน รูปที่มาทีหลัง ฉันแล้วเก็บกวาด | |
บิณฑบาต | อาหารที่ใส่ลงในบาตรพระ, อาหารถวายพระ; ในภาษาไทยใช้ในความหมายว่า รับของใส่บาตร เช่นที่ว่า พระไปบิณฑบาต คือ ไปรับอาหารที่เขาจะใส่ลงในบาตร | |
บุคคล ๔ | บุคคล ๔ จำพวก คือ ๑. อุคฆ-ฏิตัญญู ผู้รู้เข้าใจได้ฉับพลัน แต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง ๒. วิปจิตัญญู ผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อท่านขยายความ ๓. เนยยะ ผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้ ๔. ปทปรมะ ผู้ได้แค่ตัวบทคือถ้อยคำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจเข้าใจความหมาย พระอรรถกถาจารย์เปรียบบุคคล ๔ จำพวกนี้กับบัว ๔ เหล่าตามลำดับคือ ๑. ดอกบัวที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำ รอสัมผัสแสงอาทิตย์ก็จะบานในวันนี้ ๒. ดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้ ๓. ดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำ จักบานในวันต่อๆ ไป ๔. ดอกบัวจมอยู่ในน้ำที่กลายเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า (ในพระบาลี ตรัสถึงแต่บัว ๓ เหล่าต้นเท่านั้น) | |
บุคคล ๔ | บุคคล ๔ จำพวกที่แบ่งตามประมาณ ได้แก่ ๑. รูปัปปมาณิกา ๒. โฆ-สัปปมาณิกา ๓. ลูขัปปมาณิกา และ ๔. ธัมมัปปมาณิกา; ดู ประมาณ | |
บุคคลหาได้ยาก ๒ | คือ ๑. บุพการี ๒. กตัญญูกตเวที | |
บุคคลาธิษฐาน | มีบุคคลเป็นที่ตั้ง, เทศนา ยกบุคคลขึ้นตั้ง คือ วิธีแสดงธรรมโดยยกบุคคลขึ้นอ้าง; คู่กับธรรมาธิษฐาน | |
บุคลิก | เนื่องด้วยบุคคล, จำเพาะคน (=ปุคคลิก) | |
บุญ | เครื่องชำระสันดาน, ความดี, กุศล, ความสุข, ความประพฤติชอบทางกายวาจาและใจ, กุศลธรรม | |
บุญกิริยาวัตถุ | สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ, เรื่องที่จัดเป็นการทำบุญ, ทางทำความดี, หมวด ๓ คือ ๑. ทานมัย ทำบุญด้วยการให้ ๒. สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีลและประพฤติดี ๓. ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา; หมวด ๑๐ คือ ๑. ทานมัย ๒. สีลมัย ๓. ภาวนามัย ๔. อปจายนมัย ด้วยการประพฤติอ่อนน้อม ๕. เวยยาวัจจมัย ด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ ๖. ปัตติทานมัย ด้วยการเฉลี่ยส่วนความดีให้ผู้อื่น ๗. ปัตตานุโมทนามัย ด้วยความยินดีความดีของผู้อื่น ๘. ธัมมัสสวนมัย ด้วยการฟังธรรม ๙. ธัมมเทสนามัย ด้วยการสั่งสอนธรรม ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ ด้วยการทำความเห็นให้ตรง | |
บุญเขต | เนื้อนาบุญ; ดู สังฆคุณ | |
บุญญาภิสังขาร | ดู ปุญญาภิสังขาร | |
บุญนิธิ | ขุมทรัพย์คือบุญ | |
บุญราศี | กองบุญ | |
บุญฤทธิ์ | ความสำเร็จด้วยบุญ, อำนาจบุญ | |
บุณฑริก | บัวขาว | |
บุปผวิกัติ | ดอกไม้ที่ทำให้แปลก, ดอกไม้ที่ทำให้วิจิตประดิษฐ์เป็นรูปต่างๆ | |
บุพกรณ์ | ธุระอันจะพึงทำให้เบื้องต้น, งานที่จะต้องกระทำทีแรก, เรื่องที่ควรตระเตรียมให้เสร็จก่อน เช่น บุพกรณ์ของการทำอุโบสถ ได้แก่ เมื่อถึงวันอุโบสถ พระเถระลงอุโบสถก่อน สั่งภิกษุให้ปัดกวาดโรงอุโบสถ ตามไฟ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ ตั้งหรือปูลาดอาสนะไว้; บุพกรณ์แห่งการกรานกฐิน คือ ซักผ้า ๑ กะผ้า ๑ ตัดผ้า ๑ เนาหรือด้นผ้าที่ตัดแล้ว ๑ เย็บเป็นจีวร ๑ ย้อมจีวรที่เย็บแล้ว ๑ ทำ กัปปะคือพินทุ ๑ ดังนี้เป็นต้น | |
บุพการี | บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน คือ ผู้มีพระคุณ ได้แก่ มารดาบิดา ครูอาจารย์ เป็นต้น (ข้อ ๑ ในบุคคลหาได้ยาก ๒) | |
บุพกิจ | กิจอันจะพึงทำก่อน, กิจเบื้องต้นเช่น บุพกิจในการทำอุโบสถ ได้แก่ ก่อนสวดปาฏิโมกข์ต้องนำปาริสุทธิของภิกษุอาพาธมาแจ้งให้สงฆ์ทราบ นำฉันทะของภิกษุอาพาธมา บอกฤดู นับภิกษุ ให้โอวาทนางภิกษุณี; บุพกิจแห่งการอุปสมบทมี การให้บรรพชา ขอนิสัย ถืออุปัชฌาย์ จนถึงสมมติภิกษุผู้สอบถามอันตรายิกธรรมกะอุปสัมปทาเปกขะท่ามกลางสงฆ์ ดังนี้เป็นต้น | |
บุพประโยค | อาการหรือการทำความพยายามเบื้องต้น, การกระทำทีแรก | |
บุพเปตพลี | บุญที่อุทิศให้แก่ญาติผู้ตายไปก่อน, การทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตาย | |
บุพพสิกขาวัณณนา | หนังสืออธิบายพระวินัย พระอมราภิรักขิต (อมร เกิด) วัดบรมนิวาส เป็นผู้แต่ง | |
บุพพัณณะ | ของที่ควรกินก่อน ได้แก่ ข้าวทุกชนิด เช่น ข้าวสาลี ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง เป็นต้น; เทียบ อปรัณณะ | |
บุพพัณหสมัย | เวลาเบื้องต้นแห่งวัน, เวลาเช้า | |
บุพพาจารย์ | 1. อาจารย์ก่อนๆ, อาจารย์รุ่นก่อน, อาจารย์ปางก่อน 2. อาจารย์ต้น, อาจารย์คนแรก คือ มารดาบิดา | |
บุพพาราม | วัดที่นางวิสาขาสร้างถวายพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ที่กรุงสาวัตถี พระพุทธเจ้าประทับที่วัดนี้ รวมทั้งสิ้น ๖ พรรษา; ดู วิสาขา | |
บุพเพนิวาสานุสติญาณ | ดู ปุพเพนิวาสา-นุสสติญาณ | |
บุพเพสันนิวาส | การเคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อน เช่น เคยเป็นพ่อแม่ลูกพี่น้องเพื่อนผัวเมียกันในภพอดีต (ดู ชาดกที่ ๖๘ และ ๒๓๗ เป็นต้น) | |
บุพภาค | ส่วนเบื้องต้น, ตอนต้น | |
บุรณะ | ทำให้เต็ม, ซ่อมแซม | |
บูรณะ | ทำให้เต็ม, ซ่อมแซม | |
บุรณมี | วันเพ็ญ, วันกลางเดือน, วันขึ้น ๑๕ ค่ำ | |
บุรพทิศ | ทิศตะวันออก | |
บุรพนิมิตต์ | เครื่องหมายให้รู้ล่วงหน้า, ลางที่บอกเหตุขึ้นก่อน บัดนี้ เขียน บุพนิมิต | |
บุรพบุรุษ | คนก่อนๆ, คนรุ่นก่อน, คนเก่าก่อน, คนผู้เป็นต้นวงศ์ตระกูล, บรรพบุรุษ | |
บุรพประโยค | ดู บุพประโยค | |
บุรพาจารย์ | ดู บุพพาจารย์ | |
บุรพาราม | ดู บุพพาราม | |
บูชนียสถาน | สถานที่ควรบูชา | |
บูชา | ให้ด้วยความนับถือ, แสดงความเคารพเทิดทูน มี ๒ คือ อามิสบูชา และ ปฏิบัติบูชา | |
บูชามยบุญราศี | กองบุญที่สำเร็จด้วยการบูชา | |
บูชายัญ | การเซ่นสรวงเทพเจ้าของพราหมณ์ ด้วยวิธีฆ่าคนหรือสัตว์เป็นเครื่องบูชา | |
บูร | ทิศตะวันออก | |
บูรณะ | ดู บุรณะ | |
เบญจกัลยาณี | หญิงมีลักษณะงาม ๕ อย่าง คือ ผมงาม เนื้องาม (คือเหงือกและริมฝีปากแดงงาม) ฟันงาม ผิวงาม วัยงาม (คือดูงามทุกวัย) | |
เบญจกามคุณ | สิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่ ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) | |
เบญจขันธ์ | ขันธ์ ๕, กองหรือหมวดทั้ง ๕ แห่งรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบเข้าเป็นชีวิต ได้แก่ ๑. รูปขันธ์ กองรูป ๒. เวทนาขันธ์ กองเวทนา ๓. สัญญา-ขันธ์ กองสัญญา ๔. สังขารขันธ์ กองสังขาร ๕. วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ | |
เบญจโครส | โครส (รสแห่งโค หรือรสเกิดแต่โค คือ ผลผลิตจากนมโค) ๕ อย่าง ได้แก่ นมสด (ขีระ) นมส้ม (ทธิ) เปรียง (ตักกะ) เนยใส (สัปปิ) เนยข้น (นวนีตะ) | |
เบญจธรรม | ธรรม ๕ ประการ, ความดี ๕ อย่างที่ควรประพฤติคู่กันไปกับการรักษาเบญจศีลตามลำดับข้อดังนี้ ๑. เมตตากรุณา ๒. สัมมาอาชีวะ ๓. กาม-สังวร (สำรวมในกาม) ๔. สัจจะ ๕. สติ-สัมปชัญญะ; บางตำราว่าแปลกไปบางข้อคือ ๒. ทาน ๓. สทารสันโดษ = พอใจเฉพาะภรรยาของตน ๕. อัปปมาทะ = ไม่ประมาท; เบญจกัลยาณธรรม ก็เรียก | |
เบญจวัคคีย์ | ดู ปัญจวัคคีย์ | |
เบญจศีล | ดู ศีล ๕ | |
เบญจางค์ | อวัยวะทั้ง ๕ คือ ศีรษะ ๑ มือทั้ง ๒ เท้าทั้ง ๒ | |
เบญจางคประดิษฐ์ | การกราบด้วยตั้งอวัยวะทั้ง ๕ อย่างลงกับพื้น คือกราบเอาเข่าทั้งสอง มือทั้งสอง และศีรษะ (หน้าผาก) จดลงกับพื้น | |
เบียดบัง | การถือเอาเศษ เช่นท่านให้เก็บเงินค่าเช่าต่างๆ เก็บได้มากแต่ให้ท่านแต่น้อย ให้ไม่ครบจำนวนที่เก็บได้ | |
โบกขรณี | สระบัว | |
โบราณ | มีในกาลก่อน, เป็นของเก่าแก่ | |
ใบฎีกา | 1. หนังสือนิมนต์พระ ตัวอย่าง “ขออาราธนาพระคุณเจ้า (พร้อมด้วยพระสงฆ์ในวัดนี้อีก ... รูป) เจริญพระพุทธมนต์ (หรือสวดมนต์ หรือแสดงพระธรรมเทศนา) ในงาน ... ที่บ้าน เลขที่ ... ตำบล ... อำเภอ ... ในวันที่ ... เดือน ... พ.ศ. ... เวลา ... น.” (หากจะอาราธนาให้รับอาหารบิณฑบาตเช้าหรือเพลหรือมีการตักบาตรใช้ปิ่นโต ก็ให้ระบุไว้ด้วย) 2. ตำแหน่งพระฐานานุกรมรองจากสมุห์ลงมา | |
ใบปวารณา | ใบแจ้งแก่พระว่าให้ขอได้ ตัวอย่าง “ข้าพเจ้าขอถวายจตุปัจจัยอันควรแก่สมณบริโภค แด่พระคุณเจ้าเป็นมูลค่า ... บาท ... สต. หากพระคุณเจ้าต้องประสงค์สิ่งใดอันควรแก่สมณบริโภคแล้ว ขอได้โปรดเรียกร้องจากกัปปิย-การก ผู้ปฏิบัติของพระคุณเจ้า เทอญ” | |
ปกครอง | คุ้มครอง, ดูแล, รักษา, ควบคุม | |
ปกตัตตะ | ผู้เป็นภิกษุโดยปกติ, ภิกษุผู้มีศีลและอาจาระเสมอกับภิกษุทั้งหลายตามปกติ คือ ไม่ต้องอาบัติปาราชิก หรือถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม รวมทั้งมิใช่ภิกษุผู้กำลังประพฤติวุฏฐานวิธีเพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส และภิกษุที่ถูกสงฆ์ลงนิคหกรรมอื่นๆ | |
ปกรณ์ | คัมภีร์, ตำรา, หนั | |
ปกิณณกทุกข์ | ทุกข์เบ็ดเตล็ด, ทุกข์เรี่ยราย, ทุกข์จร ได้แก่ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส | |
ปกิรณกะ | ข้อเบ็ดเตล็ด, ข้อเล็กๆ น้อยๆ, ข้อปลีกย่อย | |
ปขาว | ชายผู้จำศีล | |
ปชาบดี | 1. ภรรยา, เมีย 2. ดู มหาปชาบดี-โคตมี | |
ปฏลิกา | เครื่องลาดทำด้วยขนแกะที่มีสัณฐานเป็นพวงดอกไม้ | |
ปฏาจารา | พระมหาสาวิกาองค์หนึ่ง เป็นธิดาเศรษฐีในพระนครสาวัตถีได้รับวิปโยคทุกข์อย่างหนักเพราะสามีตาย ลูกตาย พ่อแม่พี่น้องตายหมด ในเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นฉับพลันทันทีและติดต่อกัน ถึงกับเสียสติปล่อยผ้านุ่งผ้าห่มหลุดลุ่ย เดินบ่นเพ้อไปในที่ต่างๆ จนถึงพระเชตวัน พระศาสดาทรงแผ่พระเมตตา เปล่งพระวาจาให้นางกลับได้สติ แล้วแสดงพระธรรมเทศนา นางได้ฟังแล้วบรรลุโสดา-ปัตติผล บวชเป็นพระภิกษุณี ไม่ช้าก็สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางทรงพระวินัย | |
ปฏิกโกสนา | การกล่าวคัดค้านจังๆ (ต่างจากทิฏฐาวิกัมม์ ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นแย้ง ชี้แจงความเห็นที่ไม่ร่วมด้วยเป็นส่วนตัว แต่ไม่ได้คัดค้าน) | |
ปฏิกัสสนา | กิริยาชักเข้าหาอาบัติเดิม, เป็นชื่อวุฏฐานวิธีสำหรับอันตราบัติคือระเบียบปฏิบัติในการออกจากอาบัติสังฆาทิเสสสำหรับภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสขึ้นใหม่อีก ในเวลาใดเวลาหนึ่งตั้งแต่เริ่มอยู่ปริวาสไปจนถึงก่อนอัพภาน ทำให้เธอต้องกลับอยู่ปริวาสหรือประพฤติมานัตตั้งแต่เริ่มต้นไปใหม่; สงฆ์จตุรวรรคให้ปฏิกัสสนาได้; ดู อันตราบัติ | |
ปฏิกา | เครื่องลาดทำด้วยขนแกะที่มีสีขาวล้วน | |
ปฏิการ | การตอบแทน, การสนองคุณผู้อื่น | |
ปฏิกูล | น่าเกลียด, น่ารังเกียจ | |
ปฏิคม | ผู้ต้อนรับ, ผู้รับแขก, ผู้ดูแลต้อนรับ | |
ปฏิคาหก | ผู้รับทาน, ผู้รับของถวาย | |
ปฏิฆะ | ความขัดใจ, แค้นเคือง, ความขึ้งเคียด, ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ได้แก่ความที่จิตหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะ (ข้อ ๕ ในสังโยชน์ ๑๐, ข้อ ๒ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ข้อ ๒ ในอนุสัย ๗) | |
ปฏิจฉันนปริวาส | ปริวาสเพื่อครุกาบัติที่ปิดไว้, ปริวาสที่ภิกษุผู้ปรารถนาจะออกจากอาบัติสังฆาทิเสสอยู่ใช้เพื่ออาบัติที่ปิดไว้ ซึ่งนับวันได้เป็นจำนวนเดียว | |
ปฏิจฉันนาบัติ | อาบัติ (สังฆาทิเสส) ที่ภิกษุต้องแล้วปิดไว้ | |
ปฏิญญา | ให้คำมั่น, แสดงความยืนยัน, ให้การยอมรับ | |
ปฏิญญาตกรณะ | “ทำตามรับ” ได้แก่ปรับอาบัติตามปฏิญญาของจำเลยผู้รับเป็นสัตย์ การแสดงอาบัติก็จัดเข้าในข้อนี้ | |
ปฏิญาณ | การให้คำมั่นโดยสุจริตใจ, การยืนยัน | |
ปฏิบัติ | ประพฤติ, กระทำ; บำรุง, เลี้ยงดู | |
ปฏิบัติบูชา | การบูชาด้วยการปฏิบัติ คือ ประพฤติตามธรรมคำสั่งสอนของพระท่าน, บูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติ กระทำสิ่งที่ดีงาม (ข้อ ๒ ในบูชา ๒) | |
ปฏิบัติสัทธรรม | ดู สัทธรรม | |
ปฏิปทา | ทางดำเนิน, ความประพฤติ, ข้อปฏิบัติ | |
ปฏิปทา ๔ | การปฏิบัติของท่านผู้ได้บรรลุธรรมพิเศษ มี ๔ ประเภท คือ ๑. ทุกฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺ?า ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า ๒. ทุกฺขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺ?า ปฏิบัติยาก แต่รู้ได้เร็ว ๓. สุขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺ?า ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า ๔. สุขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺ?า ปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว | |
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ | ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นทางปฏิบัติ ได้แก่วิปัสสนาญาณ ๙ (ข้อ ๖ ในวิสุทธิ ๗) | |
ปฏิปทานุตตริยะ | การปฏิบัติอันยอดเยี่ยม ได้แก่การปฏิบัติธรรมที่ได้เห็นแล้วในข้อทัสสนานุตตริยะ ทั้งส่วนที่จะพึงละและพึงบำเพ็ญ; ดู อนุตตริยะ | |
ปฏิปักข์ | ฝ่ายตรงกันข้าม, คู่ปรับ, ข้าศึก, ศัตรู | |
ปฏิปักษ์ | ฝ่ายตรงกันข้าม, คู่ปรับ, ข้าศึก, ศัตรู | |
ปฏิปักขนัย | นัยตรงกันข้าม | |
ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ | ความหลุดพ้นด้วยสงบระงับ ได้แก่ การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอริยผล เป็นการหลุดพ้นที่ยั่งยืน ไม่ต้องขวนขวายเพื่อละอีก เพราะกิเลสนั้นสงบไปแล้ว เป็นโลกุตตรวิมุตติ (ข้อ ๔ ในวิมุตติ ๕) | |
ปฏิพัทธ์ | เนื่องกัน, ผูกพัน, รักใคร่ | |
ปฏิภาค | ส่วนเปรียบ, เทียบเคียง, เหมือน | |
ปฏิภาคนิมิต | นิมิตเสมือน, นิมิตเทียบเคียง เป็นภาพเหมือนของอุคคหนิมิตเกิดจากสัญญา สามารถนึกขยายหรือย่อส่วน ให้ใหญ่หรือเล็กได้ตามความปรารถนา | |
ปฏิภาณ | โต้ตอบได้ทันทีทันควัน, ปัญญาแก้การณ์เฉพาะหน้า, ความคิดทันการ | |
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา | ความแตกฉานในปฏิภาณได้แก่ไหวพริบ คือ โต้ตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันท่วงที หรือแก้ไขเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ฉับพลันทันการ (ข้อ ๔ ในปฏิสัมภิทา ๔) | |
ปฏิมา | รูปเปรียบ, รูปแทน, รูปเหมือน | |
ปฏิรูป | สมควร, เหมาะสม, ปรับปรุงให้สมควร; ถ้าอยู่ท้ายในคำสมาสแปลว่า “เทียม” “ปลอม” “ไม่แท้” เช่น สัทธรรม-ปฏิรูป แปลว่า “สัทธรรมเทียม” หรือ “ธรรมปลอม” | |
ปฏิรูปเทสวาสะ | อยู่ในประเทศอันสมควร, อยู่ในถิ่นที่เหมาะ หมายถึงอยู่ในถิ่นเจริญ มีคนดี มีนักปราชญ์ (ข้อ ๑ ในจักร ๔; ข้อ ๖ ในมงคล ๓๘) | |
ปฏิโลม | 1. ทวนลำดับ, ย้อนจากปลายมาหาต้น เช่นว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน จากคำท้ายมาหาคำต้นว่า “ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา”; ตรงข้ามกับ อนุโลม 1. 2. สาวเรื่องทวนจากผลเข้าไปหาเหตุเช่น วิญญาณมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย, สังขารมี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เป็นต้น; ตรงข้ามกับ อนุโลม 2 | |
ปฏิวัติ | การเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกกลับ, การหมุนกลับ, การผันแปรเปลี่ยนหลักมูล | |
ปฏิเวธ | เข้าใจตลอด, แทงตลอด, ตรัสรู้, รู้ทะลุปรุโปร่ง, ลุล่วงผลปฏิบัติ | |
ปฏิเวธสัทธรรม | ดู สัทธรรม | |
ปฏิสนธิ | เกิด, เกิดใหม่, แรกเกิดขึ้นในครรภ์ | |
ปฏิสนธิจิต | จิตที่สืบต่อภพใหม่, จิตที่เกิดทีแรกในภพใหม่ | |
ปฏิสนธิจิตต์ | จิตที่สืบต่อภพใหม่, จิตที่เกิดทีแรกในภพใหม่ | |
ปฏิสสวะ | การฝืนคำรับ, รับแล้วไม่ทำตามรับ เช่น รับนิมนต์ว่าจะไปแล้วหาไปไม่ (พจนานุกรม เขียน ปฏิสวะ) | |
ปฏิสังขรณ์ | ซ่อมแซมทำให้กลับดีเหมือนเดิม | |
ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ | ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง, ปรีชาคำนึงพิจารณาสังขาร เพื่อหาทางเป็นเครื่องพ้นไปเสีย; ดู วิปัสสนาญาณ | |
ปฏิสันถาร | การทักทายปราศรัย, การต้อนรับแขก มี ๒ อย่างคือ ๑. อามิส-ปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ ๒. ธรรมปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยธรรม คือ กล่าวแนะนำในทางธรรม อีกนัยหนึ่งว่า ต้อนรับโดยธรรม คือ การต้อนรับที่ทำพอดีสมควรแก่ฐานะของแขก มีการลุกรับเป็นต้น หรือช่วยเหลือสงเคราะห์ขจัดปัญหาข้อติดขัด ทำกุศลกิจให้ลุล่วง | |
ปฏิสันถารคารวตา | ดู คารวะ | |
ปฏิสัมภิทา | ความแตกฉาน, ความรู้แตกฉาน, ปัญญาแตกฉาน มี ๔ คือ ๑. อัตถ-ปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ ๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในทางนิรุกติ คือ ภาษา ๔. ปฏิภาณ-ปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ | |
ปฏิสัมภิทามรรค | ทางแห่งปฏิสัมภิทา, ข้อปฏิบัติที่ทำให้มีความแตกฉาน; ชื่อคัมภีร์หนึ่งแห่งขุททกนิกาย ในพระสุตตันตปิฎก เป็นภาษิตของพระสารีบุตร | |
ปฏิสารณียกรรม | กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงให้กลับไป หมายถึงการที่สงฆ์ลงโทษให้ภิกษุไปขอขมาคฤหัสถ์ กรรมนี้สงฆ์ทำแก่ภิกษุปากกล้า ด่าว่าคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธ-ศาสนาเป็นทายกอุปฐากสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ เป็นทางจะยังคนผู้ยังไม่เลื่อมใสมิให้เลื่อมใส จะยังคนผู้เลื่อมใสอยู่แล้วให้เป็นอย่างอื่นไปเสีย; ปฏิสาราณียกรรม ก็เขียน | |
ปฏิเสธ | การห้าม, การไม่รับ, การไม่ยอมรับ, การกีดกั้น | |
ปฐพี | แผ่นดิน | |
ปฐพีมณฑล | แผ่นดิน, ผืนแผ่นดิน | |
ปฐม | ที่หนึ่ง, ทีแรก, เบื้องต้น | |
ปฐมฌาน | ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ วิตก (ความตรึก) วิจาร (ตรอง) ปีติ (ความอิ่มใจ) สุข (ความสบายใจ) เอกัคคตา (ความมีอารมณ์เป็นหนึ่ง) | |
ปฐมเทศนา | เทศนาครั้งแรก หมายถึงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลังจากวันตรัสรู้สองเดือน ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี | |
ปฐมโพธิกาล | เวลาแรกตรัสรู้, ระยะเวลาช่วงแรกหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว คือระยะประดิษฐานพระพุทธ-ศาสนา นับคร่าวๆ ตั้งแต่ตรัสรู้ถึงได้พระอัครสาวก; ดู พุทธประวัติ | |
ปฐมยาม | ยามต้น, ยามที่หนึ่ง, ส่วนที่หนึ่งแห่งราตรี เมื่อแบ่งกลางคืนเป็น ๓ ส่วน; เทียบ มัชฌิมยาม, ปัจฉิมยาม | |
ปฐมวัย | วัยต้น, วัยแรก, วัยซึ่งยังเป็นเด็ก; ดู วัย | |
ปฐมสมโพธิกถา | ชื่อคัมภีร์แสดงเรื่องราวของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต เทวดาอัญเชิญให้มาอุบัติในมนุษยโลก แล้วออกบวชตรัสรู้ ประกาศพระศาสนา ปรินิพพาน จนถึงแจกพระธาตุ ต่อท้ายด้วยเรื่องพระเจ้าอโศกยกย่องพระศาสนา และการอันตรธานแห่งพระศาสนาในที่สุด | |
ปฐมสังคายนา | การสังคายนาครั้งที่ ๑; ดู สังคายนาครั้งที่ ๑ | |
ปฐมสังคีติ | การสังคายนาครั้งแรก; ดู สังคายนาครั้งที่ ๑ | |
ปฐมสาวก | สาวกองค์แรก คือพระ อัญญาโกณฑัญญะ | |
ปฐมอุบาสก | อุบาสกคนแรกในพระพุทธ-ศาสนา หมายถึง ตปุสสะ กับภัลลิกะ ซึ่งถึงสรณะ ๒ คือพระพุทธเจ้าและพระธรรม; บิดาของพระยสะเป็นคนแรกที่ถึงสรณะครบ ๓ | |
ปฐมอุบาสิกา | อุบาสิกาคนแรก หมายถึงมารดาและภรรยาเก่าของพระยสะ | |
ปฐมาปัตติกะ | ให้ต้องอาบัติแต่แรกทำ หมายถึง อาบัติสังฆาทิเสส ๙ สิกขาบทข้างต้นซึ่งภิกษุล่วงเข้าแล้ว ต้องอาบัติทันที สงฆ์ไม่ต้องสวดสมนุภาสน์; คู่กับ ยาวตติยกะ | |
ปฐวีธาตุ | ธาตุดิน คือธาตุที่มีลักษณะแข้นแข็ง ในร่างกายที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า; อย่างนี้เป็นการกล่าวถึงปฐวีธาตุในลักษณะที่คนสามัญทุกคนจะเข้าใจได้ และที่จะให้สำเร็จประโยชน์ในการเจริญกรรมฐาน แต่ในทางพระอภิธรรม ปฐวีธาตุเป็นสภาวะพื้นฐานที่มีอยู่ในรูปธรรมทุกอย่าง แม้แต่ในน้ำและในลมที่เรียกกันสามัญ ซึ่งรู้สึกถูกต้องได้ด้วยกายสัมผัส | |
ปณามคาถา | คาถาน้อมไหว้, คาถาแสดงความเคารพพระรัตนตรัย เรียกกันง่ายๆ ว่า คาถาไหว้ครู ซึ่งตามปกติ พระอาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์ภาษาบาลี เช่น อรรถกถา ฎีกา เป็นต้น ถือเป็นธรรมเนียมที่จะเรียบเรียงไว้เป็นเบื้องต้น ก่อนขึ้นเนื้อความของคัมภีร์นั้นๆ ประกอบด้วยคำสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คำบอกความมุ่งหมายในการแต่ง คำอ้างถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้อาราธนาให้แต่ง และข้อควรทราบอื่นๆ เป็นอย่างคำนำ หรือคำปรารภ | |
ปณิธาน | การตั้งความปรารถนา | |
ปติวัตร | ความจงรักในสามี, ความซื่อสัตย์และภักดีต่อสามี, ข้อควรปฏิบัติต่อสามี | |
ปทปรมะ | “ผู้มีบท (คือถ้อยคำ) เป็นอย่างยิ่ง”, บุคคลผู้ด้อยปัญญาเล่าเรียนได้อย่างมากที่สุดก็เพียงถ้อยคำ หรือข้อความ ไม่อาจเข้าใจความหมาย ไม่อาจเข้าใจธรรม; ดู บุคคล ๔ | |
ปทุม | บัวหลวง | |
ปธาน | ความเพียร, ความเพียรที่ชอบเป็นสัมมาวายามะ มี ๔ อย่างคือ ๑. สังวร-ปธาน เพียรระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น ๒. ปหานปธาน เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ๓. ภาวนาปธาน เพียรเจริญทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ๔. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อมไปและให้เพิ่มไพบูลย์; สัมมัปปธาน ก็เรียก | |
ปปัญจะ | กิเลสเครื่องเนิ่นช้า, กิเลสที่ทำให้คิดปรุงแต่งยืดเยื้อพิสดาร หมายถึง ตัณหา มานะ ทิฏฐิ | |
ปปัญจสูทนี | ชื่อคัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายความในมัชฌิมนิกาย แห่งพระสุตตันตปิฎก พระพุทธโฆษาจารย์เรียบเรียงจากอรรถกถาภาษาสิงหฬ เมื่อ พ.ศ. ใกล้จะถึง ๑๐๐๐ | |
ปมาณิกา | ดู ประมาณ | |
ปมาทะ | ความประมาท, ความเลินเล่อ, ความเผลอ, ความขาดสติ, ความปล่อยปละละเลย; เทียบ อัปปมาทะ | |
ปมิตา | เจ้าหญิงองค์หนึ่งในวงศ์ศากยะ เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าสีหหนุ เป็นพระเชฏฐภคินีของพระนางอมิตา เป็นพระเจ้าอาของพระพุทธเจ้า | |
ปรทาริกกรรม | การประพฤติล่วงเมียคนอื่น, การเป็นชู้เมียเขา | |
ปรนปรือ | บำรุงเลี้ยง, เลี้ยงดูอย่างถึงขนาด | |
ปรนิมมิตวสวัตดี | สวรรค์ชั้นที่ ๖ มีท้าวปรนิมมิตวสวัตดีปกครอง เทวดาชั้นนี้ปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ต้องนิรมิตเอง มีเทวดาอื่นนิรมิตให้อีกต่อหนึ่ง | |
ปรภพ | ภพหน้า, โลกหน้า | |
ปรมัตถ์ | 1. ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน 2. ความหมายสูงสุด, ความหมายที่แท้จริง เช่น ในคำว่า ปรมัตถ-ธรรม | |
ปรมัตถโชติกา | ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในขุททกปาฐะ ธรรมบท สุตตนิบาต และชาดก แห่งพระสุตตันตปิฎก พระพุทธโฆษาจารย์รจนาหรือเป็นหัวหน้าในการจัดเรียบเรียงขึ้น เมื่อ พ.ศ. ใกล้จะถึง ๑๐๐๐ | |
ปรมัตถทีปนี | ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในอุทาน อิติวุตตกะ วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา และเถรีคาถา พระธรรมบาลรจนาขึ้นในสมัยภายหลังพระพุทธโฆษาจารย์ไม่นาน | |
ปรมัตถธรรม | สภาวะที่มีอยู่โดยปรมัตถ์, สิ่งที่เป็นจริงโดยความหมายสูงสุด ตามหลักอภิธรรมว่ามี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน | |
ปรมัตถบารมี | บารมียอดเยี่ยม, บารมีระดับสูงสุด สูงกว่าอุปบารมี เช่น การสละชีวิต เป็นทานปรมัตถบารมี เป็นต้น; ดู บารมี | |
ปรมัตถปฏิปทา | ข้อปฏิบัติมีประโยชน์อันยิ่ง, ทางดำเนินให้ถึงปรมัตถ์, ข้อปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงประโยชน์สูดสุดคือบรรลุนิพพาน | |
ปรมัตถประโยชน์ | ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน; เป็นคำเรียกกันมาติดปาก ความจริงคือ ปรมัตถะ แปลว่า “ประโยชน์อย่างยิ่ง” เหมือน ทิฏฐธัมมิกัตถะ แปลว่า “ประโยชน์ปัจจุบัน” และ สัมปรายิกัตถะ แปลว่า “ประโยชน์เบื้องหน้า” ก็มักเรียกกันว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ และ สัมปรายิกัตถประโยชน์ | |
ปรมัตถมัญชุสา | ชื่อคัมภีร์ฎีกาที่พระธรรมบาลรจนาขึ้น เพื่ออธิบายความในคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษา-จารย์; นิยมเรียกว่า มหาฎีกา | |
ปรมัตถสัจจะ | จริงโดยปรมัตถ์ คือความจริงโดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ; ตรงข้ามกับ สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น สัตว์ บุคคล ฉัน เธอ ม้า รถ นาย ก. นาง ข. เป็นต้น | |
ปรมาตมัน | อาตมันสูงสุด หรืออัตตาสูงสุด (บรมอาตมัน หรือบรมอัตตา) เป็นสภาวะแท้จริงและเป็นจุดหมายสูงสุดตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดู (เดิมคือศาสนาพราหมณ์) ซึ่งถือว่า ในบุคคลแต่ละคนนี้ มีอาตมัน คืออัตตาหรือตัวตน สิงสู่อยู่ครอง เป็นสภาวะเที่ยงแท้ถาวร เป็นผู้คิดผู้นึกผู้เสวยเวทนา เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนย่อยที่แบ่งภาคออกมาจากปรมาตมันนั้นเอง เมื่อคนตาย อาตมันนี้ออกจากร่างไปสิงอยู่ในร่างอื่นต่อไป เหมือนถอดเสื้อผ้าเก่าสวมเสื้อผ้าใหม่ หรือออกจากเรือนเก่าไปอยู่ในเรือนใหม่ ได้เสวยสุขหรือทุกข์ เป็นต้น สุดแต่กรรมที่ได้ทำไว้ เวียนว่ายตายเกิดเรื่อยไป จนกว่าจะตระหนักรู้ว่าตนเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับปรมาตมัน และเข้าถึงความบริสุทธิ์จากบาปโดยสิ้นเชิง จึงจะได้กลับเข้ารวมกับปรมาตมันดังเดิม ไม่เวียนตายเวียนเกิดอีกต่อไป; ปรมาตมันนี้ ก็คือ พรหม หรือ พรหมัน นั่นเอง | |
ปรหิตปฏิบัติ | ดู ปรัตถปฏิบัติ | |
ประคด | ผ้าใช้คาดเอวหรือคาดอกสำหรับพระ (เรียก ประคดอก ประคดเอว) มี ๒ อย่าง คือ ประคดแผ่น ๑ ประคดไส้สุกร ๑ | |
ประเคน | ส่งของถวายพระภายในหัตถบาส, ส่งให้ถึงมือ; องค์แห่งการประเคนมี ๕ คือ ๑. ของไม่ใหญ่โตหรือหนักเกินไป พอคนปานกลางคนเดียวยกได้ ๒. ผู้ประเคนเข้ามาอยู่ในหัตถบาส คือห่างประมาณศอกหนึ่ง ๓. เขาน้อมของนั้นเข้ามาให้ ๔. น้อมให้ด้วยกาย ด้วยของเนื่องด้วยกาย หรือโยนให้ก็ได้ ๕. ภิกษุรับด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกายก็ได้ (ถ้าผู้หญิงประเคน ใช้ผ้ากราบหรือผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดรับ) | |
ประจักษ์ | ชัดเจน, แจ่มแจ้ง, ต่อหน้าต่อตา | |
ประชวร | เจ็บ, ป่วย | |
ประชวรพระครรภ์ | ปวดท้องคลอดลูก | |
ประณต | น้อมไหว้ | |
ประณม | ยกกระพุ่มมือแสดงความเคารพ, ยกมือไหว้ (พจนานุกรมเขียน ประนม) | |
ประณาม | 1. การน้อมไหว้ 2. การขับไล่ 3. พูดว่ากดให้เสียหาย | |
ประณีต | ดี, ดียิ่ง, ละเอียด | |
ประดิษฐ์ | ตั้งขึ้น, จัดทำขึ้น, สร้างขึ้น, คิดทำขึ้น | |
ประดิษฐาน | ตั้งไว้, แต่งตั้ง, การตั้งไว้, การแต่งตั้ง | |
ประเด็น | ข้อความสำคัญ, หัวข้อหลัก | |
ประถมวัย | ดู ปฐมวัย | |
ประทม | นอน | |
ประทมอนุฏฐานไสยา | นอนชนิดไม่ลุกขึ้นอีก | |
ประทักษิณ | เบื้องขวา, การเวียนขวาคือ เวียนเลี้ยวไปทางขวาอย่างเข็มนาฬิกา เป็นอาการแสดงความเคารพ | |
ประทับ | อยู่ เช่นประทับแรม (ใช้แก่เจ้านาย); แนบอยู่ เช่น เอาปืนประทับบ่า; กดลง เช่น ประทับตรา | |
ประทาน | ให้ | |
ประทีป | ตะเกียง, โคม, ไฟที่มีเปลวสว่าง | |
ประทุม | บัวหลวง | |
ประทุษร้ายสกุล | ดู กุลทูสก | |
ประเทศบัญญัติ | บัญญัติจำเพาะถิ่น, สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้เฉพาะสำหรับมัธยมประเทศ คือจังหวัดกลางแห่งชมพูทวีป เช่น สิกขาบทที่ ๗ แห่งสุราปานวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์ ไม่ให้ภิกษุอาบน้ำในเวลาห่างกันหย่อนกว่ากึ่งเดือน เว้นแต่สมัย | |
ประเทศราช | เมืองอิสระที่สังกัดประเทศอื่น | |
ประธาน | หัวหน้า, ผู้เป็นใหญ่ในหมู่ | |
ประธานาธิบดี | หัวหน้าผู้ปกครองบ้านเมืองแบบสาธารณรัฐ | |
ประนม | ยกกระพุ่มมือ | |
ประนีประนอม | ปรองดองกัน, ยอมกัน, ตกลงกันด้วยความไกล่เกลี่ย | |
ประพฤติ | ความเป็นไปที่เกี่ยวกับการกระทำหรือปฏิบัติตน; กระทำ, ทำตาม, ปฏิบัติ, ปฏิบัติตน, ดำเนินชีวิต | |
ประพฤติในคณะอันพร่อง | เป็นประการหนึ่งในรัตติเฉท คือเหตุขาดราตรีแห่งมานัต ๔ ประการ หมายถึงประพฤติมานัตในถิ่นเช่นอาวาสที่มี ปกตัตตภิกษุไม่ครบจำนวนสงฆ์ คือหย่อน ๔ รูป | |
ประพาส | ไปเที่ยว, เที่ยวเล่น, อยู่แรม | |
ประเพณี | ขนบธรรมเนียม, แบบแผน, เชื้อสาย | |
ประมาณ | การวัด, การกะ, เครื่องวัด, เกณฑ์, การถือเกณฑ์; บุคคลในโลกแบ่งตามประมาณคือหลักเกณฑ์ในใจที่ใช้วัดในการที่จะเกิดความเชื่อถือหรือความนิยมเลื่อมใส ท่านแสดงไว้ ๔ จำพวก คือ ๑. รูปประมาณ หรือ รูปัปปมาณิกา ผู้ถือรูปร่าง เป็นประมาณ ๒. โฆษ-ประมาณ หรือ โฆสัปปมาณิกา ผู้ถือเสียงหรือชื่อเสียงเป็นประมาณ ๓. ลูข-ประมาณ หรือ ลูขัปปมาณิกา ผู้ถือความคร่ำหรือปอนๆ เป็นประมาณ ๔. ธรรมประมาณ หรือ ธัมมัปปมาณิกา ผู้ถือธรรมคือเอาเนื้อหาสาระเหตุผลหลักการและความถูกต้องเป็นประมาณ | |
ประมาท | ดู ปมาทะ | |
ประมุข | ผู้เป็นหัวหน้า | |
ประโยค | การประกอบ, การกระทำ, การพยายาม | |
ประโยชน์ | (เกิดแต่การถือเอาโภคทรัพย์) ๕; ดู โภคอาทิยะ ๕ | |
ประลัย | ความตาย, ความย่อยยับ, ความป่นปี้ | |
ประวัติ | ความเป็นไป, เรื่องราว | |
ประศาสนวิธี | วิธีการปกครอง, ระเบียบแห่งการปกครองหมู่คณะ | |
ประสก | เป็นคำเลือนมาจาก อุบาสก พระสงฆ์ครั้งก่อนมักใช้เรียกคฤหัสถ์ผู้ชาย คู่กับ สีกา แต่บัดนี้ได้ยินใช้น้อย | |
ประสาท | 1. เครื่องนำความรู้สึกสำหรับคนและสัตว์ เรียกประสาทรูปก็ได้ 2. ความเลื่อมใส; ดู ปสาท 3. ยินดีให้, โปรดให้ | |
ประสาทรูป | รูปคือประสาท | |
ประสาธน์ | ทำให้สำเร็จ, เครื่องประดับ | |
ประสิทธิ์ | ความสำเร็จ, ทำให้สำเร็จ, ให้ | |
ประสิทธิ์พร | ให้พร, ทำพรให้สำเร็จ | |
ประสูติ | เกิด, การเกิด, การคลอด | |
ประเสริฐ | ดีที่สุด, ดีเลิศ, วิเศษ | |
ประหาน | ละ, กำจัด; การละ, การกำจัด; ตามหลักภาษาควรเขียน ปหาน หรือ ประหาณ | |
ประหาร | การตี, การทุบตี, การฟัน, การล้างผลาญ; ฆ่า, ทำลาย | |
ปรัตถะ | ประโยชน์ผู้อื่น, ประโยชน์เพื่อคนอื่น อันพึงบำเพ็ญด้วยการช่วยให้เขาเป็นอยู่ด้วยดี พึ่งตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นทิฏฐธัมมิกัตถะ หรือสัมปรายิกัตถะ หรือ ปรมัตถะก็ตาม; เทียบ อัตตัตถะ | |
ปรัตถปฏิบัติ | การปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นพุทธคุณอย่างหนึ่ง คือ การทรงบำเพ็ญพุทธกิจเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย เป็นที่พึ่งของชาวโลก (โลกนาถ) ซึ่งสำเร็จด้วยพระมหากรุณาคุณเป็นสำคัญ มักเขียนเป็น ปรหิต-ปฏิบัติ ซึ่งแปลเหมือนกัน; เป็นคู่กันกับ อัตตัตถสมบัติ หรือ อัตตหิตสมบัติ | |
ปรัปวาท | [ปะ-รับ-ปะ-วาด] คำกล่าวของคนพวกอื่นหรือลัทธิอื่น, คำกล่าวโทษคัดค้านโต้แย้งของคนพวกอื่น, หลักการของฝ่ายอื่น, ลัทธิภายนอก | |
ปรัมปรโภชน์ | โภชนะทีหลัง คือ ภิกษุรับนิมนต์ในที่แห่งหนึ่งด้วยโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วไม่ไปฉันในที่นิมนต์นั้น ไปฉันเสียในที่อื่นที่เขานิมนต์ทีหลังซึ่งพ้องเวลากัน | |
ปราการ | กำแพง, เครื่องล้อมกั้น | |
ปราชญ์ | ผู้รู้, ผู้มีปัญญา | |
ปรามาส | [ปฺรา-มาด] ดูถูก, ดูหมิ่น | |
ปรามาส | [ปะ-รา-มาด] การจับต้อง, การยึดฉวย, การจับไว้มั่น, การลูบหรือเสียดสีไปมา, ความยึดมั่น; มักแปลกันว่า การลูบคลำ | |
ปราโมทย์ | ความบันเทิงใจ, ความปลื้มใจ | |
ปรารภ | ตั้งต้น, ดำริ, กล่าวถึง | |
ปรารมภ์ | เริ่ม, ปรารภ, เริ่มแรก, วิตก, รำพึง, ครุ่นคิด | |
ปราศรัย | ด้วยความเอ็นดู, กล่าว | |
ปราสาท | เรือนหลวง, เรือนชั้น | |
ปริกถา | คำพูดหว่านล้อม, การพูดให้รู้โดยปริยาย, การพูดอ้อมไปอ้อมมาเพื่อให้เขาถวายปัจจัย ๔ เป็นการกระทำที่ไม่สมควรแก่ภิกษุ ถ้าทำปริกถาเพื่อให้เขาถวายจีวรและบิณฑบาต ชื่อว่ามีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ แต่ท่านว่าทำปริกถาในเรื่องเสนาสนะได้อยู่ เช่น พูดว่า “เสนาสนะของสงฆ์คับแคบ” อย่างไรก็ตาม ถ้าถือธุดงค์ไม่พึงทำปริกถาอย่างหนึ่งอย่างใดเลย | |
ปริกรรมนิมิต | นิมิตแห่งบริกรรม, นิมิตขั้นตระเตรียมหรือเริ่มเจริญสมถ-กรรมฐานได้แก่สิ่งที่กำหนดเป็นอารมณ์เช่น ดวงกสิณที่เพ่งดู หรือพุทธคุณที่นึกว่าอยู่ในใจเป็นต้น (ข้อ ๑ ในนิมิต ๓) | |
ปริกัป | 1. ความตรึก, ความดำริ, ความคำนึง, ความกำหนดในใจ 2. การกำหนดด้วยเงื่อนไข, ข้อแม้ | |
ปริกัมม์ | ดู บริกรรม | |
ปริจเฉท | กำหนดตัด, ข้อความที่กำหนดไว้เป็นตอนๆ, ข้อความที่รวบรวมเอามาจัดเป็นหมวดๆ, บท, ตอน; การกำหนดแยก, การพิจารณาตัดแยกออกให้เห็นแต่ละส่วน (พจนานุกรมเขียน ปริเฉท) | |
ปริจเฉทรูป | รูปที่กำหนดเทศะ ได้แก่ อากาสธาตุ หรืออากาศ คือ ช่องว่างเช่น ช่องว่างในส่วนต่างๆ ของร่างกาย | |
ปริญญา | การกำหนดรู้, การทำความเข้าใจโดยครบถ้วน มี ๓ คือ ๑. ญาต-ปริญญา กำหนดรู้ขั้นรู้จัก ๒. ตีรณ-ปริญญา กำหนดรู้ขั้นพิจารณา ๓. ปหานปริญญา กำหนดรู้ถึงขั้นละได้ | |
ปริณายก | ผู้นำ, ผู้เป็นหัวหน้า | |
ปริเทวะ | ความร่ำไรรำพัน, ความคร่ำครวญ, ความรำพันด้วยเสียใจ, ความบ่นเพ้อ | |
ปริเทวนาการ | ดู ปริเทวะ | |
ปรินิพพาน | การดับรอบ, การดับสนิท, ตาย (ใช้แก่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์); ดู นิพพาน | |
ปรินิพพานบริกรรม | การกระทำขั้นต้นก่อนที่จะปรินิพพาน, การเตรียมปรินิพพาน ในพุทธประวัติ ได้แก่ การทรงเข้าอนุปุพพวิหารสมาบัติก่อน แล้วเสด็จปรินิพพาน | |
ปรินิพพานสมัย | เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน | |
ปริปุจฉา | การสอบถาม, การค้นคว้า, การสืบค้นหาความรู้ | |
ปริพาชก | นักบวชผู้ชายนอกพระพุทธ-ศาสนาพวกหนึ่งในชมพูทวีปชอบสัญจรไปในที่ต่างๆ สำแดงทรรศนะทางศาสนาปรัชญาของตน เขียนอย่างรูปเดิมในภาษาบาลีเป็น ปริพพาชก | |
ปริพาชิกา | ปริพาชกเพศหญิง เขียนอย่างรูปเดิมในภาษาบาลีเป็น ปริพพาชิกา | |
ปริภัณฑ์ | ปริภัณฑ์ ดู สัตตบริภัณฑ์ | |
ปริมณฑล | วงรอบ, วงกลม; เรียบร้อย | |
ปริยัติ | พุทธพจน์อันจะพึงเล่าเรียน, สิ่งที่ควรเล่าเรียน (โดยเฉพาะหมายเอาพระบาลีคือพระไตรปิฎก พุทธพจน์หรือพระธรรมวินัย); การเล่าเรียนพระธรรมวินัย | |
ปริยัติสัทธรรม | ดู สัทธรรม | |
ปริยาย | การเล่าเรื่อง, บรรยาย; อย่าง, ทาง, นัยอ้อม, แง่ | |
ปริยายสุทธิ | ความบริสุทธิ์โดยปริยายคือ จัดเป็นความบริสุทธิ์ได้บางแง่บางด้าน ยังไม่บริสุทธิ์สิ้นเชิง ยังมีการละ และการบำเพ็ญอยู่; ตรงข้ามกับ นิปปริยายสุทธิ; ดู สุทธิ | |
ปริเยสนา | การแสวงหา มี ๒ คือ ๑. อนริย-ปริเยสนา แสวงหาอย่างไม่ประเสริฐ ตนยังมีทุกข์ ก็ยังแสวงหาสภาพที่มีทุกข์ ๒. อริยปริเยสนา แสวงหาอย่างประเสริฐ ตนมีทุกข์ แต่แสวงหาสภาพที่ไม่มีทุกข์ ได้แก่นิพพาน; สำหรับคนทั่วไป ท่านอธิบายว่า มิจฉาอาชีวะ เป็น อนริยปริเยสนา สัมมาอาชีวะ เป็นอริย-ปริเยสนา | |
ปริโยสาน | ที่สุดลงโดยรอบ, จบ, จบอย่างสมบูรณ์ | |
ปริวัฏฏ์ | หมุนเวียน, รอบ; ญาณทัสสนะมีปริวัฏฏ์ ๓ หรือเวียนรอบ ๓ ในอริยสัจจ์ ๔ หมายถึง รู้อริยสัจจ์ ๔ แต่ละข้อโดยสัจจญาณ กิจจญาณและกต-ญาณ รวม ๔ ข้อเป็น ๑๒ เรียกว่า มีอาการ ๑๒ | |
ปริวารยศ | ยศคือ(ความมี)บริวาร, ความเป็นใหญ่โดยบริวาร ดู ยศ | |
ปริวาส | การอยู่ชดใช้ เรียกสามัญว่า อยู่กรรม, เป็นชื่อวุฏฐานวิธี (ระเบียบปฏิบัติสำหรับออกจากครุกาบัติ) อย่างหนึ่ง ซึ่งภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ จะต้องประพฤติเป็นการลงโทษตนเองชดใช้ให้ครบเท่าจำนวนวันที่ปิดอาบัติ ก่อนที่จะประพฤติมานัตอันเป็นขั้นตอนปกติของการออกจากอาบัติต่อไป, ระหว่างอยู่ปริวาส ต้องประพฤติวัตรต่างๆ เช่น งดใช้สิทธิบางอย่าง ลดฐานะของตน และประจานตัวเป็นต้น; ปริวาส มี ๓ อย่าง คือ ปฏิจฉันนปริวาส สโมธานปริวาส และ สุทธันตปริวาส; มีปริวาสอีกอย่างหนึ่งสำหรับนักบวชนอกศาสนา จะต้องประพฤติก่อนที่จะบวชในพระธรรมวินัย เรียกว่า ติตถิยปริวาส ซึ่งท่านจัดเป็น อปฏิจฉันนปริวาส | |
ปริวิตก | ความคิดนึก, คำนึง; ไทยใช้หมายความว่านึกเป็นทุกข์หนักใจ, นึกห่วงใย | |
ปริสะ | บริษัท, ที่ประชุมสงฆ์ผู้ทำกรรม | |
ปริสทูสโก | ผู้ประทุษร้ายบริษัท เป็นคนพวกหนึ่งที่ถูกห้ามบรรพชา หมายถึงผู้มีรูปร่างแปลกเพื่อน เช่น สูงหรือเตี้ยจนประหลาด ศีรษะโตหรือหลิมเหลือเกิน เป็นต้น | |
ปริสวิบัติ | เสียเพราะบริษัท, วิบัติโดยบริษัท, บกพร่องเพราะบริษัท หมายถึงเมื่อสงฆ์จะทำสังฆกรรม ภิกษุเข้าประชุมไม่ครบองค์กำหนด, หรือครบแต่ไม่ได้นำฉันทะของผู้ควรแก่ฉันทะมา, หรือมีผู้คัดค้านกรรมที่สงฆ์ทำ | |
ปริสสมบัติ | ความพร้อมมูลแห่งบริษัท, ถึงพร้อมด้วยบริษัท, ความสมบูรณ์ของที่ประชุม คือไม่เป็นปริสวิบัติ (ตัวอย่าง ประชุมภิกษุให้ครบองค์กำหนด เช่น จะทำกฐินกรรม ต้องมีภิกษุอย่างน้อย ๕ รูป จะให้อุปสมบทในมัธยมประเทศ ต้องมีภิกษุอย่างน้อย ๑๐ รูปเป็นต้น) | |
ปริสัญญุตา | ความเป็นผู้รู้จักประชุมชนและกิริยาที่จะต้องปฏิบัติต่อประชุมชนนั้นๆ เช่นรู้จักว่า ประชุมชนนี้ เมื่อเข้าไป จะต้องทำกิริยาอย่างนี้จะต้องพูดอย่างนี้ เป็นต้น (ข้อ ๖ ในสัปปุริสธรรม ๗) | |
ปริสุปัฏฐาปกะ | ภิกษุผู้เป็นนิสัยมุตก์ คือพ้นจากการถือนิสัยแล้ว มีคุณสมบัติสมควรเป็นผู้ปกครองหมู่ สงเคราะห์บริษัทได้ | |
ปรีชา | ความรอบรู้, ความหยั่งรู้, ความกำหนดรู้ | |
ปฤษฎางค์ | อวัยวะเบื้องหลัง, ส่วนหลัง, ข้างหลัง | |
ปลงตก | พิจารณาเห็นจริงตามสภาพของสังขาร แล้ววางใจเป็นปกติได้ | |
ปลงบริขาร | มอบบริขารให้แก่ผู้อื่นในเวลาใกล้จะตาย เป็นการให้อย่างขาดกรรมสิทธิ์ไปทีเดียวตั้งแต่เวลานั้น (ใช้สำหรับภิกษุผู้จะถึงมรณภาพ เพื่อให้ถูกต้องตามพระวินัย) | |
ปลงผม | โกนผม (ใช้แก่บรรพชิต) | |
ปลงพระชนมายุสังขาร | ดู ปลงอายุสังขาร | |
ปลงศพ | เผาผี, จัดการเผาฝังให้เสร็จสิ้นไป | |
ปลงสังขาร | ทอดอาลัยในกายของตนว่าจะตายเป็นแน่แท้แล้ว | |
ปลงอาบัติ | แสดงอาบัติเพื่อให้พ้นจากอาบัติ, ทำตนให้พ้นจากอาบัติด้วยการเปิดเผยอาบัติของตนแก่สงฆ์หรือแก่ภิกษุอื่น, แสดงความผิดของตนเพื่อเปลื้องโทษทางวินัย, ใช้สำหรับอาบัติที่แสดงแล้วพ้นได้ คือ ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาสิต | |
ปลงอายุสังขาร | “สลัดลงซึ่งปัจจัยเครื่องปรุงแต่งอายุ”, ตกลงใจกำหนดการสิ้นสุดอายุ, ตกลงพระทัยว่าจะปรินิพพาน, กำหนดพระทัยเกี่ยวกับการที่จะปริ-นิพพาน (ก่อนปรินิพพาน ๓ เดือน) | |
ปลา | ในโภชนะ ๕ อย่างคือ ๑. ข้าวสุก ๒. ขนมสด ๓. ขนมแห้ง ๔. ปลา ๕. เนื้อ ปลาในที่นี้หมายความรวมไปถึง หอย กุ้ง และสัตว์น้ำเหล่าอื่นที่ใช้เป็นอาหาร | |
ปลาสะ | ตีเสมอ คือยกตนเทียมท่าน (ข้อ ๖ ในอุปกิเลส ๑๖) | |
ปลิโพธ | เครื่องผูกพันหรือหน่วงเหนี่ยว เป็นเหตุให้ใจพะวักพะวนห่วงกังวล, เหตุกังวล, ข้อติดข้อง; ปลิโพธที่ผู้จะเจริญกรรมฐานพึงตัดเสียให้ได้ เพื่อให้เกิดความปลอดโปร่งพร้อมที่จะเจริญกรรมฐานให้ก้าวหน้าไปได้ดี มี ๑๐ อย่าง คือ ๑. อาวาสปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับวัดหรือที่อยู่ ๒. กุลปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับตระกูลญาติหรืออุปัฏฐาก ๓. ลาภปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับลาภ ๔. คณปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับคณะศิษย์หรือหมู่ชนที่ตนต้องรับผิดชอบ ๕. กรรมปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการงาน เช่น การก่อสร้าง ๖. อัทธานปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการเดินทางไกลเนื่องด้วยกิจธุระ ๗. ญาติ-ปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับญาติหรือคนใกล้ชิดที่จะต้องเป็นห่วงซึ่งกำลังเจ็บป่วยเป็นต้น ๘. อาพาธปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับความเจ็บไข้ของตนเอง ๙. คันถปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน ๑๐. อิทธิปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับฤทธิ์ของปุถุชนที่จะต้องคอยรักษาไม่ให้เสื่อม (ข้อท้ายนี้เป็นปลิโพธสำหรับผู้จะเจริญวิปัสสนาเท่านั้น) ในทางพระวินัยเกี่ยวกับการกรานกฐิน ปลิโพธ หมายถึงความกังวลที่เป็นเหตุให้กฐินยังไม่เดาะ (คือยังรักษาอานิสงส์กฐินและเขตแห่งจีวรกาลตามกำหนดไว้ได้) มี ๒ อย่างคือ ๑. อาวาส-ปลิโพธ ความกังวลในอาวาส (ยังอยู่ในวัดนั้นหรือหลีกไปแต่ยังผูกใจว่าจะกลับมา) ๒. จีวรปลิโพธ ความกังวลในจีวร (ยังไม่ได้ทำจีวรหรือทำค้างอยู่ หรือหายเสียในเวลาทำแต่ยังไม่สิ้นหวังว่าจะได้จีวรอีก) ถ้าสิ้นปลิโพธครบทั้งสองอย่าง จึงเป็นอันเดาะกฐิน (หมดอานิสงส์และสิ้นเขตจีวรกาลก่อนกำหนด) | |
ปวัตตมังสะ | เนื้อที่มีอยู่แล้ว คือเนื้อสัตว์ที่เขาขายอยู่ตามปกติสำหรับคนทั่วๆ ไป ไม่ใช่ฆ่าเพื่อเอาเนื้อมาถวายพระ; ตรงข้ามกับ อุทิสสมังสะ | |
ปวัตตินี | คำเรียกผู้ทำหน้าที่อุปัชฌาย์ในฝ่ายภิกษุณี | |
ปวิเวกกถา | ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัดกายสงัดใจ (ข้อ ๓ ในกถาวัตถุ ๑๐) | |
ปศุสัตว์ | สัตว์เลี้ยง เช่นเป็ด ไก่ แพะ แกะ สุกร เป็นต้น | |
ปสุสัตว์ | สัตว์เลี้ยง เช่นเป็ด ไก่ แพะ แกะ สุกร เป็นต้น | |
ปสาทะ | ความเลื่อมใส, ความชื่นบานผ่องใส, อาการที่จิตเกิดความแจ่มใสโปร่งโล่งเบิกบานปราศจากความอึดอัดขุ่นมัว ต่อบุคคลหรือสิ่งที่พบเห็นสดับฟังหรือระลึกถึง; มักใช้คู่กับ ศรัทธา | |
ปเสนทิ | [ปะ-เส-นะ-ทิ] พระเจ้าแผ่นดินแคว้นโกศล ครองราชสมบัติอยู่ที่พระนครสาวัตถี | |
ปหานะ | การละ, การกำจัด หมายพึงกำจัดกิเลส, ละตัณหา, กำจัดบาปอกุศลธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ | |
ปหานปธาน | เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว (ข้อ ๒ ในปธาน ๔) | |
ปหานปริญญา | กำหนดรู้ถึงขั้นละได้คือ กำหนดรู้สังขารว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนถึงขั้นละนิจจสัญญา เป็นต้น ในสังขารนั้นได้ (ข้อ ๓ ใน ปริญญา ๓) | |
ปหานสัญญา | กำหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตก และบาปธรรมทั้งปวง (ข้อ ๕ ในสัญญา ๑๐) | |
ปะละ | ดู ปละ | |
ปักขคณนา | “การนับปักษ์”, วิธีคำนวณดิถีตามปักษ์ คือคำนวณหาวันขึ้นแรมกี่ค่ำๆ ให้แม่นยำตรงตามการโคจรของดวงจันทร์อย่างแท้จริง เฉพาะอย่างยิ่งมุ่งให้ได้วันพระจันทร์เต็มดวงหรือวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๔–๑๕ ค่ำ) วันพระจันทร์ดับหรือวันดับ (แรม ๑๔–๑๕ ค่ำ) และวันพระจันทร์กึ่งดวง (ขึ้น ๘ ค่ำ และ แรม ๘ ค่ำ) ตรงกับวันที่ดวงจันทร์เป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งบางเดือนข้างขึ้นอาจมีเพียง ๑๔ วัน (วันเพ็ญ เมื่อขึ้น ๑๔ ค่ำ) ก็มี ข้างแรมอาจมีเต็ม ๑๕ วันติดต่อกันหลายเดือนก็มี ต้องตรวจดูเป็นปักษ์ๆ ไป จึงใช้คำว่า ปักษ์ถ้วน ปักษ์ขาด ไม่ใช่เพียงเดือนเต็ม เดือนขาด เป็นวิธีคำนวณที่สลับซับซ้อน ต่างจากปฏิทินหลวง หรือปฏิทินของราชการที่ใช้วิธีคำนวณเฉลี่ยให้ข้างขึ้นเต็ม ๑๕ วันเสมอไป ส่วนข้างแรม เดือนคู่มี ๑๕ วัน เดือนคี่เรียกว่าเดือนขาด มี ๑๔ วัน สลับกันไป (แม้จะคำนวณด้วยวิธีที่พิเศษออกไป แต่วันเดือนเพ็ญเดือนดับที่ตรงกันก็มาก ที่คลาดกันก็เพียงวันเดียว); ปักขคณนา นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงค้นคิดวิธีคำนวณขึ้นใช้ในพระสงฆ์คณะธรรมยุต เพื่อเป็นเครื่องกำหนดวันสำหรับพระสงฆ์ทำอุโบสถ และสำหรับอุบาสกอุบาสิการักษาอุโบสถศีลฟังธรรม เป็นข้อปฏิบัติของคณะธรรมยุตสืบมา | |
ปักษคณนา | “การนับปักษ์”, วิธีคำนวณดิถีตามปักษ์ คือคำนวณหาวันขึ้นแรมกี่ค่ำๆ ให้แม่นยำตรงตามการโคจรของดวงจันทร์อย่างแท้จริง เฉพาะอย่างยิ่งมุ่งให้ได้วันพระจันทร์เต็มดวงหรือวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๔–๑๕ ค่ำ) วันพระจันทร์ดับหรือวันดับ (แรม ๑๔–๑๕ ค่ำ) และวันพระจันทร์กึ่งดวง (ขึ้น ๘ ค่ำ และ แรม ๘ ค่ำ) ตรงกับวันที่ดวงจันทร์เป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งบางเดือนข้างขึ้นอาจมีเพียง ๑๔ วัน (วันเพ็ญ เมื่อขึ้น ๑๔ ค่ำ) ก็มี ข้างแรมอาจมีเต็ม ๑๕ วันติดต่อกันหลายเดือนก็มี ต้องตรวจดูเป็นปักษ์ๆ ไป จึงใช้คำว่า ปักษ์ถ้วน ปักษ์ขาด ไม่ใช่เพียงเดือนเต็ม เดือนขาด เป็นวิธีคำนวณที่สลับซับซ้อน ต่างจากปฏิทินหลวง หรือปฏิทินของราชการที่ใช้วิธีคำนวณเฉลี่ยให้ข้างขึ้นเต็ม ๑๕ วันเสมอไป ส่วนข้างแรม เดือนคู่มี ๑๕ วัน เดือนคี่เรียกว่าเดือนขาด มี ๑๔ วัน สลับกันไป (แม้จะคำนวณด้วยวิธีที่พิเศษออกไป แต่วันเดือนเพ็ญเดือนดับที่ตรงกันก็มาก ที่คลาดกันก็เพียงวันเดียว); ปักขคณนา นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงค้นคิดวิธีคำนวณขึ้นใช้ในพระสงฆ์คณะธรรมยุต เพื่อเป็นเครื่องกำหนดวันสำหรับพระสงฆ์ทำอุโบสถ และสำหรับอุบาสกอุบาสิการักษาอุโบสถศีลฟังธรรม เป็นข้อปฏิบัติของคณะธรรมยุตสืบมา | |
ปกฺขหตตา | ความเป็นผู้ชาไปซีกหนึ่ง ได้แก่โรคอัมพาต | |
ปักขันทิกาพาธ | โรคท้องร่วง พระสารีบุตรนิพพานด้วยโรคนี้ | |
ปักขิกะ | อาหารที่เขาถวายปักษ์ละครั้ง คือสิบห้าวันครั้งหนึ่ง | |
ปักขิกภัต | ดู ปักขิกะ | |
ปักษ์ | ปีก, ฝ่าย, ข้าง, กึ่งของเดือนทางจันทรคติ คือเดือนหนึ่งมี ๒ ปักษ์ ข้างขึ้นเรียก ศุกลปักษ์ (“ฝ่ายขาว” หมายเอาแสงเดือนสว่าง) ข้างแรมเรียก กาฬปักษ์ (“ฝ่ายดำ” หมายเอาเดือนมืด); ชุณหปักษ์ และ กัณหปักษ์ ก็เรียก | |
ปัคคหะ | การยกย่อง (พจนานุกรมเขียน ปัคหะ) | |
ปังสุกูลิกังคะ | องค์แห่งผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร, ใช้เฉพาะแต่ผ้าบังสุกุล คือ ไม่รับจีวรจากทายก เที่ยวแสวงหาผ้าบังสุกุลมาเย็บย้อมทำจีวรเอง (ข้อ ๑ ในธุดงค์ ๑๓) | |
ปัจจยาการ | อาการที่เป็นปัจจัยแก่กันได้แก่ ปฏิจจสมุปบาท | |
ปัจจเวกขณญาณ | ญาณที่พิจารณาทบทวน, ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวนตรวจตรามรรคผล กิเลสที่ยังเหลืออยู่ และนิพพาน (เว้นพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่); ญาณนี้เกิดแก่ผู้บรรลุมรรคผลแล้ว คือ ภายหลังจากผลญาณ; ดู ญาณ ๑๖ | |
ปัจจัตตลักษณะ | ลักษณะเฉพาะตน, ลักษณะเฉพาะของสิ่งต่างๆ เช่นเวทนามีลักษณะเสวยอารมณ์ สัญญามีลักษณะจำได้เป็นต้น; คู่กับ สามัญลักษณะ 1. | |
ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ | พระธรรมอันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ผู้อื่นไม่พลอยตามรู้ตามเห็นด้วย เหมือนรสอาหาร ผู้บริโภคเท่านั้นจึงจะรู้รส ผู้ไม่ได้บริโภคจะพลอยรู้รสด้วยไม่ได้ | |
ปัจจัตถรณะ | ผ้าปูนอน, บรรจถรณ์ก็ใช้ | |
ปัจจันตชนบท | เมืองชายแดนนอก มัชฌิมชนบทออกไป | |
ปัจจันตประเทศ | ประเทศปลายแดน, ประเทศชายแดน, หัวเมืองชั้นนอก, ถิ่นที่ยังไม่เจริญ คือ นอกมัธยมประเทศหรือ มัชฌิมชนบท | |
ปัจจัย | 1. เหตุที่ให้ผลเป็นไป, เหตุ, เครื่องหนุนให้เกิด 2. ของสำหรับอาศัยใช้, เครื่องอาศัยของชีวิต, สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต มี ๔ อย่าง คือ จีวร (ผ้านุ่งห่ม) บิณฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย) คิลานเภสัช (ยาบำบัดโรค) | |
ปัจจัยปริคคหญาณ | ดู นามรูปปัจจัย-ปริคคหญาณ | |
ปัจจัยปัจจเวกขณะ | การพิจารณาปัจจัย, พิจารณาก่อนจึงบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม่บริโภคด้วยตัณหา (ข้อ ๔ ในปาริสุทธิ-ศีล ๔) | |
ปัจจามิตร | ข้าศึก, ศัตรู | |
ปัจจุทธรณ์ | ถอนคืน คือถอนคืนผ้าที่อธิษฐานไว้ เช่น อธิษฐานสบง คือตั้งใจกำหนดไว้ให้เป็นสบงครอง ภายหลังไม่อยากให้เป็นสบงครอง ก็ถอนคืนสบงนั้น เรียกว่า ปัจจุทธรณ์สบง, ตัวอย่าง ปัจจุทธรณ์สบงว่า “อิมํ อนฺตรวาสกํ ปจฺจุทฺธรามิ” (เปลี่ยน อนฺตรวาสกํ เป็น สงฺฆาฏึ เป็น อุตฺตราสงฺคํ เป็นต้น สุดแต่ว่าจะถอนอะไร) | |
ปัจจุปปันนังสญาณ | ญาณหยั่งรู้ส่วนปัจจุบัน, ปรีชากำหนดรู้เหตุปัจจัยของเรื่องที่เป็นไปอยู่ รู้ว่าควรทำอย่างไรในเมื่อมีเหตุหรือผลเกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นต้น (ข้อ ๓ ในญาณ ๓) | |
ปัจเจกพุทธะ | พระพุทธเจ้าประเภทหนึ่งซึ่งตรัสรู้เฉพาะตัว มิได้สั่งสอนผู้อื่น; ดู พุทธะ | |
ปัจฉาภัต | ทีหลังฉัน, เวลาหลังอาหาร หมายถึงเวลาเที่ยงไปแล้ว; เทียบ ปุเรภัต | |
ปัจฉาสมณะ | พระตามหลัง, พระผู้ติดตาม เช่น พระพุทธเจ้ามักทรงมีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เป็นศัพท์คู่กับ ปุเร-สมณะ พระนำหน้า | |
ปัจฉิมกิจ | ธุระที่พึงทำภายหลัง, กิจที่พึงทำตอนท้าย เช่น ปัจฉิมกิจแห่งอุปสมบทมี ๖ ได้แก่ วัดเงาแดด, บอกประมาณแห่งฤดู, บอกส่วนแห่งวัน, บอกสังคีติ (บอกรวบหรือบอกประมวลเช่น วัดที่บวช อุปัชฌาย์ กรรมวาจาจารย์ และจำนวนสงฆ์ เป็นต้น) บอกนิสัย ๔ และบอกอกรณียกิจ ๔ (ที่รวมเรียกอนุศาสน์) | |
ปัจฉิมชาติ | ชาติหลัง คือ ชาติสุดท้าย ไม่มีชาติใหม่หลังจากนี้อีกเพราะดับกิเลสได้สิ้นเชิงแล้ว | |
ปัจฉิมทัสสนะ | ดูครั้งสุดท้าย, เห็นครั้งสุดท้าย | |
ปัจฉิมทิส | ทิศเบื้องหลัง หมายถึงบุตรภรรยา; ดู ทิศหก | |
ปัจฉิมพรรษา | ดู ปัจฉิมิกา | |
ปัจฉิมโพธิกาล | โพธิกาลช่วงหลัง, ระยะเวลาบำเพ็ญพุทธกิจตอนท้ายคือ ช่วงใกล้จนถึงปรินิพพาน กำหนดคร่าวๆ ตามมหาปรินิพพานสูตรตั้งแต่ปลงพระชนมายุสังขารถึงปรินิพพาน; ดู พุทธ-ประวัติ | |
ปัจฉิมภพ | ภพหลัง, ภพสุดท้าย; ดู ปัจฉิมชาติ | |
ปัจฉิมภวิกสัตว์ | สัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้าย, ท่านผู้เกิดในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย คือผู้ที่ได้บรรลุอรหัตตผลในชาตินี้ | |
ปัจฉิมยาม | ยามสุดท้าย, ช่วงสุดท้ายแห่งราตรี เมื่อแบ่งกลางคืนเป็น ๓ ส่วน; เทียบ ปฐมยาม, มัชฌิมยาม | |
ปัจฉิมวัย | วัยหลัง (มีอายุระยะ ๖๗ ปีล่วงไปแล้ว); ดู วัย | |
ปัจฉิมวาจา | ดู ปัจฉิมโอวาท | |
ปัจฉิมสักขิสาวก | สาวกผู้เป็นพยานการตรัสรู้องค์สุดท้าย, สาวกที่ทันเห็นองค์สุดท้าย ได้แก่พระสุภัททะ | |
ปัจฉิมโอวาท | คำสอนครั้งสุดท้าย หมายถึง ปัจฉิมวาจา คือ พระดำรัสสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพานว่า “วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด” | |
ปัจฉิมิกา | วันเข้าพรรษาหลัง ได้แก่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙; อีกนัยหนึ่งท่านสันนิษฐานว่า เป็นวันเข้าพรรษาในปีที่มีอธิกมาส (เดือน ๘ สองหน); เทียบ ปุริมิกา, ปุริมพรรษา | |
ปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา | วันเข้าพรรษาหลัง; ดู ปัจฉิมิกา | |
ปัญจกะ | หมวด ๕ | |
ปัญจกัชฌาน | ฌานหมวด ๕ หมายถึง รูปฌานที่ตามปกติอย่างในพระสูตรแบ่งเป็น ๔ ขั้น แต่ในพระอภิธรรมนิยมแบ่งซอยละเอียดออกไปเป็น ๕ ขั้น (ท่านว่าที่แบ่ง ๕ นี้ เป็นการแบ่งในกรณีที่ผู้เจริญฌานมีญาณไม่แก่กล้า จึงละวิตกและวิจารได้ทีละองค์); ดู ฌาน ๕ | |
ปัญจขันธ์ | ขันธ์ห้า คือ รูปขันธ์ เวทนา-ขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณ-ขันธ์ | |
ปัญจพิธกามคุณ | กามคุณ ๕ อย่างคือ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่น่าชอบใจ | |
ปัญจพิธพันธนะ | เครื่องตรึง ๕ อย่าง คือตรึงเหล็กอันร้อนที่มือทั้ง ๒ ข้าง ที่เท้าทั้ง ๒ ข้าง และที่กลางอก ซึ่งเป็นการลงโทษที่นายนิรยบาลกระทำต่อสัตว์นรก | |
ปัญจเภสัช | เภสัชทั้ง ๕ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย | |
ปัญจมฌาน | ฌานที่ ๕ ตามแบบที่นิยมในอภิธรรม ตรงกับฌานที่ ๔ แบบทั่วไป หรือแบบพระสูตร มีองค์ ๒ คือ อุเบกขาและเอกัคคตา; ดู ฌาน ๕ | |
ปัญจมหาบริจาค | ดู มหาบริจาค | |
ปัญจมหาวิโลกนะ | ดู มหาวิโลกนะ | |
ปัญจมหาสุบิน | ดู มหาสุบิน | |
ปัญจวรรค | สงฆ์พวกที่กำหนดจำนวน ๕ รูป จึงจะถือว่าครบองค์ เช่นที่ใช้ในการกรานกฐิน และการอุปสมบทในปัจจันต-ชนบท เป็นต้น | |
ปัญจวัคคีย์ | พระพวก ๕ คือ อัญญา-โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานาม อัสสชิ เป็นพระอรหันตสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า | |
ปัญจสติกขันธกะ | ชื่อขันธกะที่ ๑๑ แห่งจุลวรรค วินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่องการสังคายนาครั้งที่ ๑ | |
ปัญจังคะ | เก้าอี้มีพนักด้านเดียว, เก้าอี้ไม่มีแขน | |
ปัญจาละ | ชื่อแคว้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แคว้นใหญ่แห่งชมพูทวีปครั้งพุทธกาล ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของแคว้นกุรุ มีแม่น้ำภาคีรถีซึ่งเป็นแควหนึ่งของแม่น้ำคงคาตอนบนไหลผ่าน นครหลวงชื่อ กัมปิลละ | |
ปัญญา | ความรู้ทั่ว, ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล, ความรู้เข้าใจชัดเจน, ความรู้เข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ, ความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็นตามเป็นจริง (ข้อ ๓ ในไตรสิกขา, ข้อ ๔ ในบารมี ๑๐, ข้อ ๕ ในพละ ๕, ข้อ ๗ ในสัทธรรม ๗, ข้อ ๕ ในเวสารัชชกรณธรรม, ข้อ ๑ ในอธิษฐานธรรม ๔, ข้อ ในอริยทรัพย์ ๗) | |
ปัญญากถา | ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ข้อ ๘ ในกถาวัตถุ ๑๐) | |
ปัญญาขันธ์ | กองปัญญา, หมวดธรรมว่าด้วยปัญญา เช่น ธรรมวิจยะ การเลือกเฟ้นธรรม กัมมัสสกตาญาณ ความรู้ว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตัวเป็นต้น (ข้อ ๓ ในธรรมขันธ์ ๕) | |
ปัญญาจักขุ | จักษุคือปัญญา, ตาปัญญา; เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยปัญญาจักขุ (ข้อ ๓ ในจักขุ ๕) | |
ปัญญาจักษุ | จักษุคือปัญญา, ตาปัญญา; เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยปัญญาจักขุ (ข้อ ๓ ในจักขุ ๕) | |
ปัญญาภาวนา | ดู ภาวนา | |
ปัญญาวิมุต | “ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา” หมายถึง พระอรหันต์ผู้สำเร็จด้วยบำเพ็ญวิปัสสนาโดยมิได้อรูปสมาบัติมาก่อน | |
ปัญญาวิมุตติ | ความหลุดพ้นด้วยปัญญา, ความหลุดพ้นที่บรรลุด้วยการกำจัดอวิชชาได้ ทำให้สำเร็จอรหัตตผล และทำให้เจโตวิมุตติ เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือไม่กลับกลายได้อีกต่อไป; เทียบ เจโตวิมุตติ | |
ปัญญาสัมปทา | ความถึงพร้อมด้วยปัญญา คือ รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ และเข้าใจชีวิตนี้ตามความเป็นจริง ที่จะไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมา (ข้อ ๔ ในธรรมที่เป็นไปเพื่อสัมปรายิกัตถะ ๔) | |
ปัญญาสิกขา | สิกขา คือ ปัญญา, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้เข้าใจเหตุผล รอบรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ ตลอดจนรู้แจ้งสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ที่ถูกต้องเขียน อธิปัญญาสิกขา | |
ปัญหา | คำถาม, ข้อสงสัย, ข้อติดขัดอัดอั้น, ข้อที่ต้องคิดต้องแก้ไข | |
ปัณฑกะ | บัณเฑาะก์, กะเทย | |
ปัณฑุกะ | ชื่อภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในพวกภิกษุเหลวไหลทั้ง ๖ ที่เรียกว่าฉัพพัคคีย์ (พระพวก ๖ ที่ชอบก่อเรื่องเสียหาย ทำให้พระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติสิกขาบทหลายข้อ) | |
ปัณฑุปลาส | ใบไม้เหลือง (ใบไม้แก่); คนเตรียมบวช, คนจะขอบวช | |
ปัณณเภสัช | พืชมีใบเป็นยา, ยาทำจากใบพืช เช่น ใบสะเดา ใบมูกมัน ใบกระดอม ใบกะเพรา เป็นต้น | |
ปัณณัตติวัชชะ | อาบัติที่เป็นโทษทางพระบัญญัติ คือคนสามัญทำเข้าไม่เป็นความผิดเสีย เป็นผิดเฉพาะแก่ภิกษุ โดยฐานละเมิดพระบัญญัติเช่น ฉันอาหารในเวลาวิกาล ขุดดิน ใช้จีวรที่ไม่ได้พินทุ นั่งนอนบนเตียงตั่งที่ไม่ได้ตรึงเท้าให้แน่นเป็นต้น | |
ปัตตคาหาปกะ | ภิกษุผู้ได้รับสมมติคือแต่งตั้งจากสงฆ์ให้มีหน้าที่เป็นผู้แจกบาตร | |
ปัตตปิณฑิกังคะ | องค์แห่งผู้ถือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร คือ ถือการฉันเฉพาะในบาตร ไม่ใช้ภาชนะอื่น (ข้อ ๖ ในธุดงค์ ๑๓) | |
ปัตตวรรค | หมวดอาบัติกำหนดด้วยบาตร, ชื่อวรรคที่ ๓ แห่งนิสสัคคิย-ปาจิตตีย์ | |
ปัตตานุโมทนามัย | บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ, ทำบุญด้วยการยินดีในการทำดีของผู้อื่น (ข้อ ๗ ในบุญ-กิริยาวัตถุ ๑๐) | |
ปัตติทานมัย | บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ, ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น (ข้อ ๖ ในบุญกิริยา-วัตถุ ๑๐) | |
ปัปผาสะ | ปอด | |
ปัพพชาจารย์ | อาจารย์ผู้ให้บรรพชา; เขียนเต็มรูปเป็น ปัพพัชชาจารย์ จะเขียน บรรพชาจารย์ ก็ได้ | |
ปัพพชาเปกขะ | กุลบุตรผู้เพ่งบรรพชา, ผู้ตั้งใจจะบวชเป็นสามเณร, ผู้ขอบวชเป็นสามเณร; เขียนเต็มรูปเป็น ปัพพัชชา-เปกขะ | |
ปัพพัชชา | การถือบวช, บรรพชาเป็นอุบายฝึกอบรมตนในทางสงบ เว้นจากความชั่วมีการเบียดเบียนกันและกัน เป็นต้น (ข้อ ๒ ในสัปปุริสบัญญัติ ๓) | |
ปัพพาชนียกรรม | กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันพึงจะไล่เสีย, การขับออกจากหมู่, การไล่ออกจากวัด, กรรมนี้สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุลและประพฤติเลวทรามเป็นข่าวเซ็งแซ่หรือแก่ภิกษุผู้เล่นคะนอง ๑ อนาจาร ๑ ลบล้างพระบัญญัติ ๑ มิจฉาชีพ ๑ (ข้อ ๑ ในนิคหกรรม ๖) | |
ปัสสัทธิ | ความสงบกายสงบใจ, ความสงบใจและอารมณ์, ความสงบเย็น, ความผ่อนคลายกายใจ (ข้อ ๕ ในโพชฌงค์ ๗) | |
ปัสสาวะ | เบา, เยี่ยว, มูตร | |
ปัสสาสะ | ลมหายใจออก | |
ปาจิตติยุทเทส | หมวดแห่งปาจิตติย-สิกขาบท ที่ยกขึ้นแสดง คือที่สวดใน ปาฏิโมกข์ | |
ปาจิตตีย์ | “การละเมิดอันยังกุศลให้ตก”, ชื่ออาบัติจำพวกหนึ่ง จัดไว้ในจำพวกอาบัติเบาเรียกลหุกาบัติ พ้นได้ด้วยการแสดง; เป็นชื่อสิกขาบท ได้แก่นิสสัคคิย-ปาจิตตีย์ ๓๐ และสุทธิกปาจิตตีย์ ซึ่งเรียกกันสั้นๆ ว่า ปาจิตตีย์ อีก ๙๒ ภิกษุล่วงละเมิดสิกขาบท ๑๒๒ ข้อเหล่านี้ย่อมต้องอาบัติปาจิตตีย์ เช่น ภิกษุพูดปด ฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน ว่ายน้ำเล่น เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์; ดู อาบัติ | |
ปาจีน | ทางทิศตะวันออก, ชาวตะวันออก; ดู ชาวปาจีน | |
ปาจีนทิศ | ทิศตะวันออก | |
ปาฐา | ชื่อเมืองหนึ่งในมัธยมประเทศครั้งพุทธกาล ภิกษุชาวเมืองนี้คณะหนึ่ง เป็นเหตุปรารภให้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการกรานกฐิน; พระไตรปิฎกบางฉบับเขียนเป็น ปาวา | |
ปาฏลีบุตร | เมืองหลวงของแคว้นมคธสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช | |
ปาฏิเทสนียะ | “จะพึงแสดงคืน”, อาบัติที่จะพึงแสดงคืน เป็นชื่อลหุกาบัติ คือ อาบัติเบาอย่างหนึ่งถัดรองมาจากปาจิตตีย์ และเป็นชื่อสิกขาบท ๔ ข้อซึ่งแปลได้ว่า พึงปรับด้วยอาบัติปาฏิเทสนียะเช่น ภิกษุรับของเคี้ยวของฉัน จากมือของภิกษุณีที่มิใช่ญาติ ด้วยมือของตน มาบริโภค ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ; ดู อาบัติ | |
ปาฏิบท | วันขึ้นค่ำหนึ่ง หรือวันแรมค่ำหนึ่ง แต่มักหมายถึงอย่างหลัง คือแรมค่ำหนึ่ง | |
ปาฏิบุคลิก | ดู ปาฏิปุคคลิก | |
ปาฏิปทิกะ | อาหารถวายในวันปาฏิบท | |
ปาฏิปุคคลิก | เฉพาะบุคคล, ไม่ทั่วไป, ถวายเป็นส่วนปาฏิปุคคลิก ถือถวายเจาะจงบุคคลไม่ใช่ถวายแก่สงฆ์ | |
ปาฏิโมกข์ | ชื่อคัมภีร์ที่ประมวลพุทธ-บัญญัติอันทรงตั้งขึ้นเป็นพุทธอาณา ได้แก่อาทิพรหมจริยกาสิกขา มีพระพุทธานุญาต ให้สวดในที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน เรียกกันว่า พระสงฆ์ทำอุโบสถ, คัมภีร์ที่รวมวินัยของสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ (พจนานุกรมเขียน ปาติโมกข์) | |
ปาฏิโมกขสังวร | สำรวมในพระปาฏิโมกข์ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทำตามข้อที่พระองค์อนุญาต (ข้อ ๑ ในปาริสุทธิศีล ๔, ข้อ ๑ ในสังวร ๖, ข้อ ๑ ในองค์แห่งภิกษุใหม่ ๕) | |
ปาฏิหาริย์ | สิ่งที่น่าอัศจรรย์, เรื่องที่น่าอัศจรรย์, การกระทำที่ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ มี ๓ คือ ๑. อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ ๒. อาเทศนา-ปาฏิหาริย์ ทายใจได้เป็นอัศจรรย์ ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนมีผลจริงเป็นอัศจรรย์ ใน ๓ อย่างนี้ข้อสุดท้ายดีเยี่ยมเป็นประเสริฐ | |
ปาณาติบาต | ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป, ฆ่าสัตว์ | |
ปาณาติปาตา เวรมณี | เว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง, เว้นจากการฆ่าสัตว์ (ข้อ ๑ ในศีล ๕ ฯลฯ) | |
ปาตลีบุตร | ชื่อเมืองหลวงของพระเจ้าอโศกมหาราช; เขียน ปาฏลีบุตร ก็มี | |
ปาตาละ | นรก, บาดาล (เป็นคำที่พวกพราหมณ์ใช้เรียกนรก) | |
ปาติโมกข์ | ดู ปาฏิโมกข์ | |
ปาทุกา | รองเท้าประเภทหนึ่ง แปลกันมาว่า “เขียงเท้า” เป็นรองเท้าที่ต้องห้ามทางพระวินัย อันภิกษุไม่พึงใช้; ดู รองเท้า | |
ปานะ | วิธีทำปานะที่ท่านแนะไว้ คือ ปอกหรือคว้านผลไม้เหล่านี้ที่สุก เอาผ้าห่อ บิดให้ตึงอัดเนื้อผลไม้ให้คายน้ำออกจากผ้า เติมน้ำลงให้พอดี (จะไม่เติมน้ำก็ได้เว้นแต่ผลมะซางซึ่งท่านระบุว่าต้องเจือน้ำจึงควร) แล้วผสมน้ำตาลและเกลือเป็นต้นลงไปพอให้ได้รสดี ข้อจำกัดที่พึงทราบคือ ๑. ปานะนี้ให้ใช้ของสดห้ามมิให้ต้มด้วยไฟ (ข้อนี้พระมติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา วชิรญาณวโรรสว่า แม้สุกก็ไม่น่ารังเกียจ) ๒. ต้องเป็นของที่อนุปสัมบันทำ จึงควรฉันในเวลาวิกาล (ถ้าภิกษุทำถือเป็นเหมือนยาวกาลิก เพราะรับประเคนมาทั้งผล) ๓. ของประกอบเช่นน้ำตาลและเกลือ ไม่ให้เอาของที่รับประเคนค้างคืนไว้มาใช้ (แสดงว่ามุ่งให้เป็นปานะที่อนุปสัมบันทำถวายด้วยของของเขาเอง) | |
ปาปโรโค | คนเป็นโรคเลวร้าย, บางที่แปลว่า “โรคเป็นผลแห่งบาป” อรรถกถาว่าได้แก่โรคเรื้อรัง เช่น ริดสีดวงกล่อน เป็นต้น เป็นโรคที่ห้ามไม่ให้รับบรรพชา | |
ปาปสมาจาร | ความประพฤติเหลวไหลเลวทราม ชอบสมคบกับคฤหัสถ์ด้วยการอันมิชอบ ที่เรียกว่าประทุษร้ายสกุล; ดู กุลทูสก | |
ปาพจน์ | “คำเป็นประธาน” หมายถึงพระพุทธพจน์ ซึ่งได้แก่ธรรมและวินัย | |
ปายาส | ข้าวสุกที่หุงด้วยนมโค นางสุชาดาถวายแก่พระมหาบุรุษในเวลาเช้าของวันที่พระองค์จะได้ตรัสรู้ | |
ปาราชิก | เป็นชื่ออาบัติหนักที่ภิกษุต้องเข้าแล้วขาดจากความเป็นภิกษุ, เป็นชื่อบุคคลผู้ที่พ่ายแพ้ คือ ต้องอาบัติปาราชิกที่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ, เป็นชื่อสิกขาบท ที่ปรับอาบัติหนักขั้นขาดจากความเป็นภิกษุมี ๔ อย่างคือ เสพเมถุน ลักของเขา ฆ่ามนุษย์ อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน | |
ปาริจริยานุตตริยะ | การบำเรออันเยี่ยม ได้แก่ การบำรุงรับใช้พระตถาคตและตถาคตสาวกอันประเสริฐกว่า การที่จะบูชาไฟหรือบำรุงบำเรออย่างอื่น เพราะช่วยให้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกข์ได้จริง (ข้อ ๕ ในอนุตตริยะ ๖) | |
ปาริฉัตตก์ | “ต้นทองหลาง”, ชื่อต้นไม้ประจำสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่ในสวนนันทวันของพระอินทร์; ปาริฉัตร หรือ ปาริชาต ก็เขียน | |
ปาริเลยยกะ | ชื่อแดนบ้านแห่งหนึ่งใกล้เมืองโกสัมพีที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปอาศัยอยู่ในป่ารักขิตวันด้วยทรงปลีกพระองค์ จากพระสงฆ์ผู้แตกกันในกรุงโกสัมพี; ช้างที่ปฏิบัติพระพุทธเจ้าที่ป่านั้น ก็ชื่อ ปาริเลยยกะ; เราเรียกกันในภาษาไทยว่า ปาเลไลยก์ ก็มี ป่าเลไลยก์ ก็มี ควรเขียน ปาริไลยก์ หรือ ปาเรไลยก์ | |
ปาริวาสิกขันธะ | ชื่อขันธกะที่ ๒ แห่ง จุลวรรค ในพระวินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่องภิกษุอยู่ปริวาส | |
ปาริวาสิกภิกษุ | ภิกษุผู้อยู่ปริวาส; ดู ปริวาส | |
ปาริวาสิกวัตร | ธรรมเนียมที่ควรประพฤติของภิกษุผู้อยู่ปริวาส | |
ปาริสุทธิ | ความบริสุทธิ์ของภิกษุ; เป็นธรรมเนียมว่า ถ้ามีภิกษุอาพาธอยู่ในสีมาเดียวกัน เมื่อถึงวันอุโบสถไม่สามารถไปร่วมประชุมได้ ภิกษุผู้อาพาธต้องมอบปาริสุทธิแก่ภิกษุรูปหนึ่งมาแจ้งแก่สงฆ์ คือให้นำความมาแจ้งแก่สงฆ์ว่าตนมีความบริสุทธิ์ทางพระวินัยไม่มีอาบัติติดค้าง หรือในวันอุโบสถ มีภิกษุอยู่เพียงสองหรือสามรูป (คือเป็นเพียงคณะ) ไม่ครบองค์สงฆ์ที่จะสวด ปาฏิโมกข์ได้ ก็ให้ภิกษุสองหรือสามรูปนั้นบอกความบริสุทธิ์แก่กันแทนการสวดปาฏิโมกข์ | |
ปาริสุทธิศีล | ศีลเป็นเครื่องทำให้บริสุทธิ์, ศีลเป็นเหตุให้บริสุทธิ์ หรือความประพฤติบริสุทธิ์ที่จัดเป็นศีลมี ๔ อย่างคือ ๑. ปาฏิโมกขสังวรศีล สำรวมในพระปาฏิโมกข์ ๒. อินทรียสังวรศีล สำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๓. อาชีวปาริสุทธิศีล เลี้ยงชีพโดยทางที่ชอบธรรม ๔. ปัจจัย- สันนิสิตศีล พิจารณาก่อนจึงบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช | |
ปาริสุทธิอุโบสถ | อุโบสถที่ภิกษุทำปาริสุทธิ คือแจ้งแต่ความบริสุทธิ์ของกันและกัน ไม่ต้องสวดปาฏิโมกข์ ปาริสุทธิอุโบสถนี้ กระทำเมื่อมีภิกษุอยู่ในวัดเพียงเป็นคณะ คือ ๒–๓ รูป ไม่ครบองค์สงฆ์ ๔ รูป ถ้ามีภิกษุ ๓ รูปพึงประชุมกันในโรงอุโบสถแล้ว รูปหนึ่งตั้งญัตติดังนี้: “สุณนฺตุ เม ภนฺเต อายสฺมนฺตา, อชฺชุ-โปสโถ ปณฺณรโส ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, มยํ อญฺ?มญฺ?? ปาริสุทฺธิ-อุโปสถํ กเรยฺยาม” แปลว่า: “ท่านทั้งหลาย อุโบสถวันนี้ที่ ๑๕ ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงทำปาริสุทธิอุโบสถด้วยกัน” (ถ้ารูปที่ตั้งญัตติแก่กว่าเพื่อนว่า อาวุโส แทน ภนฺเต, ถ้าเป็นวัน ๑๔ ค่ำ ว่า จาตุทฺทโส แทน ปณฺณรโส) ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าเฉวียงบ่านั่งกระหย่งประนมมือบอกปาริสุทธิว่า: “ปริสุทฺโธ อหํ อาวุโส, ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรถ” (๓ หน) แปลว่า: “ฉันบริสุทธิ์แล้วเธอ ขอเธอทั้งหลายจงจำฉันว่าผู้บริสุทธิ์แล้ว” อีก ๒ รูปพึงทำอย่างเดียวกันนั้นตามลำดับพรรษา คำบอกเปลี่ยนเฉพาะ อาวุโส เป็น ภนฺเต แปลว่า “ผมบริสุทธิ์แล้วขอรับ ขอท่านทั้งหลายจงจำผมว่าผู้บริสุทธิ์แล้ว” ถ้ามี ๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติพึงบอกปาริสุทธิแก่กัน ผู้แก่ว่า: “ปริสุทฺโธ อหํ อาวุโส, ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรหิ” (๓ หน) ผู้อ่อนกว่าว่า: “ปริสุทฺโธ อหํ ภนฺเต, ปริ-สุทฺโธติ มํ ธาเรถ” (๓ หน); ดู อุโบสถ | |
ปาวา | นครหลวงของแคว้นมัลละ คู่กับ กุสินารา คือนครหลวงเดิมของแคว้นมัลละชื่อกุสาวดี แต่ภายหลังแยกเป็น กุสินารา กับ ปาวา | |
ปาวาริกัมพวัน | ดู นาลันทา | |
ปาวาลเจดีย์ | ชื่อเจดียสถานอยู่ที่เมืองเวสาลี พระพุทธเจ้าทรงทำนิมิตต์โอภาสครั้งสุดท้ายและทรงปลงพระชนมายุสังขาร ณ เจดีย์นี้ก่อนปรินิพพาน ๓ เดือน | |
ปาสราสิสูตร | ชื่อสูตรที่ ๒๖ ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระสุตตันตปิฎก; เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อริย-ปริเยสนาสูตร เพราะว่าด้วย อริยปริเยสนา | |
ปาสาณเจดีย์ | เจดียสถานแห่งหนึ่งอยู่ในแคว้นมคธ มาณพ ๑๖ คนซึ่งเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ได้เฝ้าพระศาสดาและทูลถามปัญหา ณ ที่นี้ | |
ปาสาทิกสูตร | ชื่อสูตรที่ ๖ ในคัมภีร์ทีฆ-นิกาย ปาฏิกวรรค พระสุตตันตปิฎก | |
ปาหุเนยฺโย | ผู้ควรแก่ของต้อนรับ, พระสงฆ์เป็นผู้ควรได้รับของต้อนรับคือของสำหรับรับแขกที่ควรถวายเมื่อไปถึงบ้านเช่น น้ำดื่ม อาหาร เป็นต้น (ข้อ ๖ ในสังฆคุณ ๙) | |
ปิงคิยมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ | |
ปิฎก | ตามศัพท์แปลว่า “กระจาด” หรือ “ตะกร้าอันเป็นภาชนะสำหรับใส่ของต่างๆ” เอามาใช้ในความหมายเป็นที่รวบรวมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่จัดเป็นหมวดหมู่แล้ว มี ๓ คือ ๑. วินัยปิฎก รวบรวมพระวินัย ๒. สุตตันตปิฎก รวบรวมพระสูตร ๓. อภิธรรมปิฎก รวบรวมพระอภิธรรม เรียกรวมกันว่าพระไตรปิฎก (ปิฎก ๓) ดู ไตรปิฎก | |
ปิณฑปาติกธุดงค์ | องค์คุณเครื่องขจัดกิเลสแห่งภิกษุเป็นต้นผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร หมายถึง ปิณฑปาติ-กังคะ นั่นเอง | |
ปิณฑปาติกังคะ | องค์แห่งผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร คือ ไม่รับนิมนต์หรือลาภพิเศษอย่างอื่นใด ฉันเฉพาะอาหารที่บิณฑบาตมาได้ (ข้อ ๓ ในธุดงค์ ๑๓) | |
ปิณโฑลภารทวาชะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรพราหมณ์มหาศาล ภารทวาช-โคตร ในพระนครราชคฤห์ เรียนจบ ไตรเพท ออกบวชในพระพุทธศาสนา ได้สำเร็จพระอรหัต เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา มักเปล่งวาจาว่า “ผู้ใดมีความเคลือบแคลงสงสัยในมรรคก็ดี ผลก็ดี ขอผู้นั้นจงมาถามข้าพเจ้าเถิด” พระศาสดาทรงยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางบันลือสีหนาท | |
ปิตฺตสมุฏ??านา อาพาธา | ความเจ็บไข้มีดีเป็นสมุฏฐาน | |
ปิตตะ | น้ำดี, น้ำจากต่อมตับ, โรคดีเดือด | |
ปิตติวิสัย | ภูมิแห่งเปรต (ข้อ ๓ ในอบาย ๔); เปตติวิสัย ก็เรียก; ดู คติ | |
ปิตุฆาต | ฆ่าบิดา (ข้อ ๒ ในอนันตริย-กรรม ๕) | |
ปิปผลิ | ชื่อของพระมหา-กัสสปเถระ เมื่อก่อนออกบวช; ส่วนกัสสปะ เป็นชื่อที่เรียกตามโคตร | |
ปิปผลิมาณพ | ชื่อของพระมหา-กัสสปเถระ เมื่อก่อนออกบวช; ส่วนกัสสปะ เป็นชื่อที่เรียกตามโคตร | |
ปิปาสวินโย | ความนำออกไปเสียซึ่งความกระหาย, กำจัดความกระหายคือตัณหาได้ (เป็นไวพจน์ของวิราคะ) | |
ปิยรูป สาตรูป | สภาวะที่น่ารักน่าชื่นใจ มุ่งเอาส่วนที่เป็นอิฏฐารมณ์ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งตัณหามี ๑๐ หมวด หมวดละ ๖ อย่าง คือ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ วิญญาณ ๖ สัมผัส ๖ เวทนา ๖ สัญญา ๖ สัญเจตนา ๖ มี รูปสัญเจตนา เป็นต้น ตัณหา ๖ มีรูป-ตัณหา เป็นต้น วิตก ๖ มีรูปวิตกเป็นต้น วิจาร ๖ มีรูปวิจาร เป็นต้น | |
ปิยวาจา | วาจาเป็นที่รัก, พูดจาน่ารัก น่านิยมนับถือ, วาจาน่ารัก, วาจาที่กล่าวด้วยจิตเมตตา, คำที่พูดด้วยความรักความปรารถนาดี เช่น คำพูดสุภาพอ่อนโยน คำแนะนำตักเตือนด้วยความหวังดี (ข้อ ๒ ในสังคหวัตถุ ๔) | |
ปิยารมณ์ | อารมณ์อันเป็นที่รัก เป็นที่น่าปรารถนา น่าชอบใจ เช่น รูปที่สวยงาม เป็นต้น | |
ปิลินทวัจฉะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เกิดในตระกูลพราหมณ์วัจฉโคตร ในเมืองสาวัตถี ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า มีศรัทธาเลื่อมใสออกบวชในพระพุทธศาสนา เจริญวิปัสสนาแล้วได้บรรลุอรหัตตผล ต่อมาได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางเป็นที่รักของพวกเทวดา | |
ปิลินทวัจฉคาม | ชื่อหมู่บ้านของคนงานวัดจำนวน ๕๐๐ ที่พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้เป็นผู้ช่วยทำที่อยู่ของพระ ปิลินทวัจฉะ | |
ปิสุณาย วาจาย เวรมณี | เว้นจากพูดส่อเสียด, เว้นจากพูดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน (ข้อ ๕ ในกุศลกรรมบถ ๑๐) | |
ปิสุณาวาจา | วาจาส่อเสียด, พูดส่อเสียด, พูดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน (ข้อ ๕ ในอกุศลกรรมบถ ๑๐) | |
ปิหกะ | ม้าม (เคยแปลกันว่า ไต) ดู วักกะ | |
ปีติ | ความอิ่มใจ, ความดื่มด่ำในใจ มี ๕ คือ ๑. ขุททกาปีติ ปีติเล็กน้อยพอขนชันน้ำตาไหล ๒. ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะรู้สึกแปลบๆ ดุจฟ้าแลบ ๓. โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นระลอกรู้สึกซู่ลงมาๆ ดุจคลื่นซัดฝั่ง ๔. อุพเพคาปีติ ปีติโลดลอย ให้ใจฟูตัวเบาหรืออุทานออกมา ๕. ผรณาปีติ ปีติซาบซ่าน เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์เป็นของประกอบกับสมาธิ (ข้อ ๔ ในโพชฌงค์ ๗) | |
ปีฬกะ | พุพอง, ฝี, ต่อม | |
ปุกกุสะ | บุตรของกษัตริย์มัลละ เป็นศิษย์ของอาฬารดาบส กาลามโคตร ได้ถวายผ้าสิงคิวรรณแด่พระพุทธเจ้าในวันปรินิพพาน | |
ปุคคลสัมมุขตา | ความเป็นต่อหน้าบุคคล, ในวิวาทาธิกรณ์ หมายความว่าคู่วิวาทอยู่พร้อมหน้ากัน; ดู สัมมุขาวินัย | |
ปุคคลัญญุตา | ความเป็นผู้รู้จักบุคคล คือ รู้ความแตกต่างแห่งบุคคล ว่าโดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรมเป็นต้น เป็นอย่างไร ควรคบควรใช้ควรสอนอย่างไร (ข้อ ๗ ในสัปปุริสธรรม ๗) | |
ปุคคลิก | ดู บุคลิก | |
ปุจฉา | ถาม, คำถาม | |
ปุญญาภิสังขาร | อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่ กุศลเจตนา (เฉพาะที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร) (ข้อ ๑ ในอภิสังขาร ๓) | |
ปุณณกมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คนของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ | |
ปุณณชิ | บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี เป็นสหายของยสกุลบุตร ได้ทราบข่าว ยสกุลบุตรออกบวช จึงได้บวชตามพร้อมด้วยสหายอีก ๓ คน คือวิมละ สุพาหุ และควัมปติ ได้เป็นองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก | |
ปุณณมันตานีบุตร | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง ได้ชื่ออย่างนี้ เพราะเดิมชื่อปุณณะ เป็นบุตรของนางมันตานี ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ ไม่ไกลจากเมืองกบิลพัสดุ์ เป็นหลานของพระอัญญา-โกณฑัญญะ ได้บรรพชาเมื่อพระเถระผู้เป็นลุงเดินทางมายังเมืองกบิลพัสดุ์ บวชแล้วไม่นานก็บรรลุอรหัตตผล เป็นผู้ปฏิบัติตนตามหลักกถาวัตถุ ๑๐ และสอนศิษย์ของตนให้ปฏิบัติเช่นนั้นด้วย ท่านได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาพระธรรมกถึก หลักธรรมเรื่องวิสุทธิ ๗ ก็เป็นภาษิตของท่าน | |
ปุณณมาณพ | คือพระปุณณมันตานีบุตรเมื่อก่อนบวช | |
ปุตตะ | เป็นชื่อนรกขุมหนึ่งของลัทธิพราหมณ์ พวกพราหมณ์ถือว่าชายใดไม่มีลูกชาย ชายนั้นตายไปต้องตกนรกขุม “ปุตตะ” ถ้ามีลูกชาย ลูกชายนั้นช่วยป้องกันไม่ให้ตกนรกขุมนั้นได้ ศัพท์ว่า บุตร จึงใช้เป็นคำเรียกลูกชายสืบมา แปลว่า “ลูกผู้ป้องกันพ่อจากขุมนรก ปุตตะ” | |
ปุถุชน | คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส, คนที่ยังมีกิเลสมาก หมายถึงคนธรรมดาทั่วๆ ไป ซึ่งยังไม่เป็นอริยบุคคล หรือพระอริยะ | |
ปุนัพพสุกะ | ชื่อภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในภิกษุเหลวไหล ๖ รูป ที่เรียกว่าพระฉัพพัคคีย์ คู่กับพระอัสสชิ | |
ปุปผวิกัติ | ดอกไม้ที่แต่งเป็นชนิดต่างๆ เช่น ร้อยตรึง ร้อยคุม ร้อยเสียบ ร้อยผูก ร้อยวง ร้อยกรอง เป็นต้น | |
ปุพพเปตพลี | การทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตาย (ข้อ ๓ ในพลี ๕ แห่งโภคอาทิยะ ๕) | |
ปุพพัณณะ | ดู บุพพัณณะ | |
ปุพเพกตปุญญตา | ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ในก่อน, ทำความดีให้พร้อมไว้ก่อนแล้ว (ข้อ ๔ ในจักร ๔) | |
ปุพเพนิวาสานุสติญาณ | ความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน, ระลึกชาติได้ (ข้อ ๑ ในญาณ ๓ หรือวิชชา ๓, ข้อ ๔ ในอภิญญา ๖, ข้อ ๖ ในวิชชา ๘, ข้อ ๘ ในทศพลญาณ) เขียนอย่างรูปเดิมในภาษาบาลีเป็น ปุพเพ-นิวาสานุสสติญาณ; ใช้ว่า บุพเพนิวาสา-นุสสติญาณ ก็มี | |
ปุรณมี | วันเพ็ญ, วันพระจันทร์เต็มดวง, วันขึ้น ๑๕ ค่ำ | |
ปุรัตถิมทิส | “ทิศเบื้องหน้า” หมายถึงมารดาบิดา; ดู ทิศหก | |
ปุราณจีวร | จีวรเก่า | |
ปุราณชฎิล | พระเถระสามพี่น้องพร้อมด้วยบริวาร คือ อุรุเวลกัสสป นทีกัสสป คยากัสสป ซึ่งเคยเป็นชฎิลมาก่อน | |
ปุริมกาล | เรื่องราวในพุทธประวัติที่มีขึ้นในกาลก่อนแต่บำเพ็ญพุทธกิจ; ดู พุทธ-ประวัติ | |
ปุริมพรรษา | ดู ปุริมิกา | |
ปุริมิกา | พรรษาต้น เริ่มแต่วันแรมค่ำหนึ่งเดือนแปด ในปีที่ไม่มีอธิกมาสเป็นต้นไป เป็นเวลา ๓ เดือนคือถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑; เทียบ ปัจฉิมิกา, ปัจฉิมพรรษา | |
ปุริสภาวะ | ความเป็นบุรุษ หมายถึงภาวะอันให้ปรากฏมีลักษณะอาการต่างๆ ที่แสดงถึงความเป็นเพศชาย; คู่กับ อิตถี-ภาวะ; ดู อุปาทายรูป | |
ปุริสเมธ | ความฉลาดในการบำรุงข้า ราชการ รู้จักส่งเสริมคนดีมีความสามารถ เป็นสังคหวัตถุประการหนึ่งของผู้ปกครองบ้านเมือง | |
ปุริสสัพพนาม | คำทางไวยากรณ์ หมายถึงคำแทนชื่อเพื่อกันความซ้ำซาก ในภาษาบาลีหมายถึง ต, ตุมฺห, อมฺห, ศัพท์ในภาษาไทย เช่น ฉัน, ผม, ท่าน, เธอ, เขา, มัน เป็นต้น | |
ปุเรสมณะ | พระนำหน้า เป็นศัพท์คู่กับ ปัจฉาสมณะ พระตามหลัง | |
ปุเรภัต | ก่อนภัต, ก่อนอาหาร หมายถึงเวลาก่อนฉันของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็ได้ แต่เมื่อพูดอย่างกว้าง หมายถึง ก่อนหมดเวลาฉัน คือ เวลาเช้าจนถึงเที่ยง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ภิกษุฉันอาหารได้; เทียบ ปัจฉาภัต | |
ปุโรหิต | พราหมณ์ผู้เป็นที่ปรึกษาของพระราชา | |
ปุสสมาส | เดือน ๒, เดือนยี่ | |
ปูชนียบุคคล | บุคคลที่ควรบูชา | |
ปูชนียวัตถุ | วัตถุที่ควรบูชา | |
ปูชนียสถาน | สถานที่ควรบูชา | |
เปตติวิสัย | ดู เปรต | |
เปรต | 1. ผู้ละโลกนี้ไปแล้ว, คนที่ตาย ไปแล้ว 2. สัตว์จำพวกหนึ่งซึ่งเกิดอยู่ในอบายชั้นที่เรียกว่า ปิตติวิสัย หรือ เปตติ-วิสัย ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะไม่มีอาหารจะกิน แม้เมื่อมีก็กินไม่ได้ หรือกินได้โดยยาก | |
เปลี่ยวดำ | หนาวอย่างใหญ่, โรคอย่างหนึ่งเกิดจากความเย็นมาก | |
เปสละ | ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก, ภิกษุผู้มีความประพฤติดีน่านิยมนับถือ | |
เปสุญญวาท | ถ้อยคำส่อเสียด; ดู ปิสุณา-วาจา | |
โปตลิ | นครหลวงของแคว้นอัสสกะ อยู่ลุ่มน้ำโคธาวรี ทิศเหนือแห่งแคว้นอวันตี | |
โปสาลมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ | |
ผทม | นอน (ใช้แก่เจ้า) | |
ผนวช | บวช (ใช้แก่เจ้า) | |
ผรณาปีติ | ความอิ่มใจซาบซ่าน เมื่อเกิดขึ้นทำให้รู้สึกซาบซ่านทั่วสารพางค์ (ข้อ ๕ ในปีติ ๕) | |
ผรุสวาจา | วาจาหยาบ, คำพูดเผ็ดร้อน, คำหยาบคาย (ข้อ ๖ ในอกุศลกรรมบถ ๑๐) | |
ผรุสาย วาจาย เวรมณี | เว้นจากพูดคำหยาบ (ข้อ ๖ ในกุศลกรรมบถ ๑๐) | |
ผล | สิ่งที่เกิดจากเหตุ, ประโยชน์ที่ได้; ชื่อแห่งโลกุตตรธรรมคู่กับมรรค และเป็นผลแห่งมรรค มี ๔ ชั้น คือโสดาปัตติผล ๑ สกทาคามิผล ๑ อนาคามิผล ๑ อรหัตตผล ๑ | |
ผลญาณ | ญาณในอริยผล, ญาณที่เกิดขึ้นในลำดับ ต่อจากมัคคญาณและเป็นผลแห่งมัคคญาณนั้น ซึ่งผู้บรรลุแล้วได้ชื่อว่าเป็นพระอริยบุคคลขั้นนั้นๆ มีโสดาบัน เป็นต้น; ดู ญาณ ๑๖ | |
ผลภาชกะ | ภิกษุผู้ได้รับสมมติ คือแต่งตั้งจากสงฆ์ให้เป็นผู้มีหน้าที่แจกผลไม้ | |
ผลเภสัช | มีผลเป็นยา, ยาทำจากลูกไม้เช่น ดีปลี พริก สมอไทย มะขามป้อม เป็นต้น | |
ผลเหตุสนธิ | ต่อผลเข้ากับเหตุ หมายถึงเงื่อนต่อระหว่างผลในปัจจุบัน กับเหตุในปัจจุบัน ในวงจร ปฏิจจสมุปบาท คือ ระหว่างวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ข้างหนึ่ง (ฝ่ายผล) กับ ตัณหา อุปาทาน ภพ อีกข้างหนึ่ง (ฝ่ายเหตุ); เทียบ เหตุผลสนธิ | |
ผลาสโว | ผลาสวะ, น้ำดองผลไม้ | |
ผะเดียง | ดู เผดียง | |
ผัคคุณมาส | เดือน ๔ | |
ผัสสะ | การถูกต้อง, การกระทบ; ผัสสะ ๖; ดู ผัสสะ | |
ผัสสาหาร | อาหารคือผัสสะ, ผัสสะเป็นอาหาร คือเป็นปัจจัยอุดหนุนหล่อเลี้ยงให้เกิดเวทนา ได้แก่ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณกระทบกัน ทำให้เกิดเวทนา คือ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เป็นอุเบกขาบ้าง (ข้อ ๒ ในอาหาร ๔) | |
ผ้ากฐิน | ผ้าผืนหนึ่งที่ใช้เป็นองค์กฐินสำหรับกราน แต่บางทีพูดคลุมๆ หมายถึงผ้าทั้งหมดที่ถวายพระในพิธีทอดกฐิน, เพื่อกันความสับสน จึงเรียกแยกเป็นองค์กฐิน หรือผ้าองค์กฐินอย่างหนึ่ง กับผ้าบริวารหรือผ้าบริวารกฐินอีกอย่างหนึ่ง; ดู กฐิน | |
ผ้ากรองน้ำ | ผ้าสำหรับกรองน้ำกันตัวสัตว์; ดู ธมกรก | |
ผ้ากาสายะ | ดู กาสาวะ | |
ผ้ากาสาวะ | ดู กาสาวะ | |
ผ้าจำนำพรรษา | ผ้าที่ทายกถวายแก่พระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาครบแล้วในวัดนั้น ภายในเขตจีวรกาล; เรียกเป็นคำศัพท์ว่า ผ้าวัสสาวาสิกา วัสสาวาสิกสาฎก หรือ วัสสาวาสิกสาฏิกา; ดู อัจเจกจีวร | |
ผาณิต | รสหวานเกิดแต่อ้อย, น้ำอ้อย (ข้อ ๕ ในเภสัช ๕) | |
ผาติกรรม | “การทำให้เจริญ” หมายถึงการจำหน่ายครุภัณฑ์ เพื่อประโยชน์สงฆ์อย่างหนึ่งอย่างใด โดยเอาของเลวแลกเปลี่ยนเอาของดีกว่าให้แก่สงฆ์ หรือเอาของของตนถวายสงฆ์เป็นการทดแทนที่ตนทำของสงฆ์ชำรุดไป, รื้อของที่ไม่ดีออกทำให้ใหม่ดีกว่าของเก่า เช่น เอาที่วัดไปทำอย่างอื่นแล้วสร้างวัดถวายให้ใหม่; การชดใช้, การทดแทน | |
ผ้าไตร, ผ้าไตรจีวร | ดู ไตรจีวร | |
ผ้าทรงสะพัก | ผ้าห่มเฉียงบ่า | |
ผ้าทิพย์ | ผ้าห้อยหน้าตักพระพุทธรูป (โดยมากเป็นปูนปั้นมีลายต่างๆ) | |
ผ้านิสีทนะ | ดู นิสีทนะ | |
ผ้าบริวาร | ผ้าสมทบ; ดู บริวาร | |
ผ้าบังสุกุล | ดู บังสุกุล | |
ผ้าป่า | ผ้าที่ทายกถวายแก่พระโดยวิธีปล่อยทิ้งให้พระมาชักเอาไปเอง อย่างเป็นผ้าบังสุกุล, ตามธรรมเนียมจะถวายหลังเทศกาลกฐินออกไป; คำถวายผ้าป่าว่า “อิมานิ มยํ ภนฺเต, ปํสุกูลจีวรานิ, สปริวารานิ, ภิกฺขุสงฺฆสฺส, โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, อิมานิ, ปํสุ-กูลจีวรานิ, สปริวารานิ, ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากํ, ทีฆรตฺตํ, หิตาย, สุขาย” แปลว่า “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารเหล่านี้แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ผ้าบังสุกุลจีวรกับทั้งบริวารเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ” | |
ผ้าวัสสาวาสิกสาฏิกา | ดู ผ้าจำนำพรรษา | |
ผ้าวัสสิกาสาฏิกา | ดู ผ้าอาบน้ำฝน | |
ผ้าสาฏิกา | ผ้าคลุม, ผ้าห่ม | |
ผาสุก | ความสบาย, ความสำราญ | |
ผาสุวิหารธรรม | ธรรมเป็นเครื่องอยู่สบาย | |
ผ้าอาบน้ำฝน | ผ้าสำหรับอธิษฐานไว้ใช้นุ่งอาบน้ำฝนตลอด ๔ เดือนแห่งฤดูฝน ซึ่งพระภิกษุจะแสวงหาได้ในระยะเวลา ๑ เดือน ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๗ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ และให้ทำนุ่งได้ในเวลากึ่งเดือน ตั้งแต่ขึ้น ๑ ถึง ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ปัจจุบันมีประเพณีทายก ทายิกาทำบุญถวายผ้าอาบน้ำฝนตามวัดต่างๆ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘; เรียกเป็นคำศัพท์ว่า วัสสิกสาฏิกา หรือ วัสสิก-สาฎก; คำถวายผ้าอาบน้ำฝนเหมือนคำถวายผ้าป่า เปลี่ยนแต่ ปํสุกูลจีวรานิ เป็น วสฺสิกสาฏิกานิ และ “ผ้าบังสุกุล-จีวร” เป็น “ผ้าอาบน้ำฝน” | |
ผู้มีราตรีเดียวเจริญ | ผู้มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน อยู่ด้วยความไม่ประมาท | |
เผดียง | บอกแจ้งให้รู้, บอกนิมนต์, บอกกล่าวหรือประกาศเชื้อเชิญเพื่อให้ร่วมทำกิจโดยพร้อมเพรียงกัน; ประเดียง ก็ว่า; ดู ญัตติ | |
แผ่เมตตา | ตั้งจิตปรารถนาดีขอให้ผู้อื่นมีความสุข; คำแผ่เมตตาที่ใช้เป็นหลักว่า “สพฺเพ สตฺตา อเวรา อพฺยาปชฺฌา อนีฆา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ” แปลว่า “ขอสัตว์ทั้งหลาย, (ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน) หมดทั้งสิ้น, (จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด), อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย, (จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด), อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย, (จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด), อย่าได้มีทุกข์กายทุกข์ใจเลย, จงมีความสุขกายสุขใจ, รักษาตน (ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น) เถิด.” (ข้อความในวงเล็บเป็นส่วนที่เพิ่มเข้ามาในคำแปลเป็นไทย)ไม่หลงใหลไร้สติ ๑๑. ถ้ายังไม่บรรลุคุณพิเศษที่สูงกว่า ย่อมเข้าถึงพรหมโลกผู้เจริญเมตตาธรรมอยู่เสมอ จนจิตมั่นในเมตตา มีเมตตาเป็นคุณสมบัติประจำใจ จะได้รับอานิสงส์ คือผลดี ๑๑ ประการ คือ ๑. หลับก็เป็นสุข ๒. ตื่นก็เป็นสุข ๓. ไม่ฝันร้าย ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย ๖. เทวดาย่อมรักษา ๗. ไม่ต้องภัยจากไฟ ยาพิษ หรือศัสตราอาวุธ ๘. จิตเป็นสมาธิง่าย ๙. สีหน้าผ่องใส ๑๐. เมื่อจะตาย ใจก็สงบ | |
โผฏฐัพพะ | อารมณ์ที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย, สิ่งที่ถูกต้องกาย เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นต้น (ข้อ ๕ ในอายตนะภายนอก ๖ และในกามคุณ ๕ | |
พจน์ | ดู วจน | |
พยัญชนะ | 1. อักษร, ตัวหนังสือที่ไม่ใช่สระ 2. กับข้าวนอกจากแกง; คู่กับ สูปะ 3. ลักษณะของร่างกาย | |
พยากรณ์ | ทาย, ทำนาย, คาดการณ์; ทำให้แจ้งชัด, ตอบปัญหา | |
พยากรณศาสตร์ | วิชาหรือตำราว่าด้วยการทำนาย | |
พยาธิ | ความเจ็บไข้ | |
พยาน | ผู้รู้เห็นเหตุการณ์, คน เอกสาร หรือสิ่งของที่อ้างเป็นหลักฐาน | |
พยาบาท | ความขัดเคืองแค้นใจ, ความเจ็บใจ, ความคิดร้าย; ตรงข้ามกับ เมตตา; ในภาษาไทยหมายถึง ผูกใจเจ็บและคิดแก้แค้น | |
พยาบาทวิตก | ความตริตรึกในทางคิดร้ายต่อผู้อื่น, ความคิดนึกในทางขัดเคืองชิงชัง ไม่ประกอบด้วยเมตตา (ข้อ ๒ ในอกุศลวิตก ๓) | |
พยุหแสนยากร | กองทัพ | |
พร | คำแสดงความปรารถนาดี, สิ่งที่ขอเลือกเอาตามประสงค์; ดู จตุรพิธพร | |
พรต | ข้อปฏิบัติทางศาสนา, ธรรมเนียมความประพฤติของผู้ถือศาสนาที่คู่กันกับศีล, วัตร, ข้อปฏิบัติประจำ | |
พรรณนา | เล่าความ, ขยายความ, กล่าวถ้อยคำให้ผู้ฟังนึกเห็นเป็นภาพ | |
พรรษกาล | ฤดูฝน (พจนานุกรมเขียน พรรษากาล) | |
พรรษา | ฤดูฝน, ปี, ปีของระยะเวลาที่บวช | |
พรรษาธิษฐาน | อธิษฐานพรรษา, กำหนดใจว่าจะจำพรรษา; ดู จำพรรษา | |
พรหม | ผู้ประเสริฐ, เทพในพรหมโลก เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยกาม มี ๒ พวกคือ รูปพรหมมี ๑๖ ชั้น อรูปพรหมมี ๔ ชั้น; ดู พรหมโลก; เทพสูงสุดหรือพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ | |
พรหมจรรย์ | การศึกษาพระเวท, การบวชซึ่งละเว้นเมถุน, การครองชีวิตที่ปราศจากเมถุน, การประพฤติธรรมอันประเสริฐ, การครองชีวิตประเสริฐ, มรรค, พระศาสนา | |
พรหมจารี | ผู้ประพฤติพรหมจรรย์, นักเรียนพระเวท, ผู้ประพฤติธรรมมีเว้นจากเมถุน เป็นต้น | |
พรหมทัณฑ์ | โทษอย่างสูง คือ สงฆ์ ตกลงกันลงโทษภิกษุรูปใดรูปหนึ่งโดยภิกษุทั้งหลายพร้อมใจกันไม่พูดด้วย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน หรือสั่งสอนภิกษุรูปนั้น, พระฉันนะซึ่งเป็นภิกษุเจ้าพยศ ถือตัวว่าเป็นคนเก่าใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามาก่อนใครอื่น ใครว่าไม่ฟัง ภายหลังถูกสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ถึงกับเป็นลมล้มสลบหายพยศได้ | |
พรหมไทย | ของอันพรหมประทาน, ของให้ที่ประเสริฐสุด หมายถึง ที่ดินหรือบ้านเมืองที่พระราชทานเป็นบำเหน็จ เช่น เมืองอุกกุฏฐะที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานแก่โปกขรสาติพราหมณ์ และนครจัมปาที่พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้โสณทัณฑพราหมณ์ปกครอง | |
พรหมบุญ | บุญอย่างสูง เป็นคำแสดงอานิสงส์ของผู้ชักนำให้สงฆ์สามัคคีปรองดองกัน ได้พรหมบุญจักแช่มชื่นในสวรรค์ตลอดกัลป์ | |
พรหมโลก | ที่อยู่ของพรหม ตามปกติหมายถึง รูปพรหม ซึ่งมี ๑๖ ชั้น (เรียกว่า รูป-โลก) ตามลำดับดังนี้ ๑. พรหมปาริสัชชา ๒. พรหมปุโรหิตา ๓. มหาพรหมา ๔. ปริตตาภา ๕. อัปปมาณาภา ๖. อาภัสสรา ๗. ปริตตสุภา ๘. อัปปมาณสุภา ๙. สุภ-กิณหา ๑๐. อสัญญีสัตตา ๑๑. เวหัปผลา ๑๒. อวิหา ๑๓. อตัปปา ๑๔. สุทัสสา ๑๕. สุทัสสี ๑๖. อกนิฏฐา; นอกจากนี้ยังมี อรูปพรหม ซึ่งแบ่งเป็น ๔ ชั้น (เรียกว่า อรูปโลก) คือ ๑. อากาสานัญจายตนะ ๒. วิญญาณัญจายตนะ ๓. อากิญจัญ-ญายตนะ ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ | |
พรหมวิหาร | ธรรมเครื่องอยู่ของพรหม, ธรรมประจำใจอันประเสริฐ, ธรรมประจำใจของท่านผู้มีคุณความดียิ่งใหญ่มี ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา | |
พรหมายุ | ชื่อพราหมณ์คนหนึ่ง อายุ ๑๒๐ ปี เป็นผู้เชี่ยวชาญไตรเพท อยู่ ณ เมืองมิถิลา ในแคว้นวิเทหะ ได้ส่งศิษย์มาตรวจดูมหาบุรุษลักษณะของพระพุทธเจ้า ต่อมาได้พบกับพระพุทธเจ้า ทูลถามปัญหาต่างๆ มีความเลื่อมใส และได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี | |
พร้อมหน้าธรรมวินัย | (ระงับอธิกรณ์) โดยนำเอาธรรมวินัย และสัตถุสาสน์ที่เป็นหลักสำหรับระงับอธิกรณ์นั้นมาใช้โดยครบถ้วน คือวินิจฉัยถูกต้องโดยธรรมและถูกต้องโดยวินัย (ธัมมสัมมุขตา- วินยสัมมุขตา) | |
พร้อมหน้าบุคคล | บุคคลผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นอยู่พร้อมหน้ากัน เช่น คู่วิวาทหรือคู่ความพร้อมหน้ากันในวิวาทาธิกรณ์และในอนุวาทาธิกรณ์ เป็นต้น (ปุคคล-สัมมุขตา) | |
พร้อมหน้าวัตถุ | ยกเรื่องที่เกิดนั้นขึ้นพิจารณาวินิจฉัย เช่น คำกล่าวโจทเพื่อเริ่มเรื่อง และข้อวิวาทที่ยกขึ้นแถลงเป็นต้น (วัตถุสัมมุขตา) | |
พร้อมหน้าสงฆ์ | ต่อหน้าภิกษุเข้าประชุมครบองค์ และได้นำฉันทะของผู้ควรแก่ฉันทะมาแล้ว (สังฆสัมมุขตา) | |
พระโคดม, พระโคตมะ | พระนามของพระพุทธเจ้า เรียกตามพระโคตร | |
พระชนม์ | อายุ, การเกิด, ระยะเวลาที่เกิดมา | |
พระชนมายุ | อายุ | |
พระธรรม | คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลักความจริงและหลักความประพฤติ | |
พระนม | แม่นม | |
พระนาคปรก | พระพุทธรูปปางหนึ่งมีรูปนาคแผ่พังพานอยู่ข้างบน; ดู มุจจลินท์ | |
พระบรมศาสดา | พระผู้เป็นครูผู้ยิ่งใหญ่, พระผู้เป็นครูสูงสุด หมายถึงพระพุทธเจ้า | |
พระผู้มีพระภาคเจ้า | พระนามของพระพุทธเจ้า | |
พระพรหม | ดู พรหม | |
พระพุทธเจ้า | พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตาม, ท่านผู้รู้ดีรู้ชอบด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ; พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ที่ใกล้กาลปัจจุบันที่สุดและคัมภีร์กล่าวถึงบ่อยๆ คือ พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ พระกัสสป และพระโคดม; พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์แห่งภัทรกัปปัจจุบันนี้ คือ พระกกุสันธะ พระโกนา-คมน์ พระกัสสป พระโคดม และพระเมตเตยยะ (เรียกกันสามัญว่า พระศรี-อาริย์ หรือ พระศรีอริยเมตไตรย); พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์นับแต่พระองค์แรกที่พระโคตมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบและทรงได้รับการพยากรณ์ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า (รวม ๒๔ พระองค์) จนถึงพระองค์เองด้วย คือ ๑. พระทีปังกร ๒. พระโกณฑัญญะ ๓. พระมังคละ ๔. พระสุมนะ ๕. พระเรวตะ ๖. พระโสภิตะ ๗. พระอโนมทัสสี ๘. พระปทุมะ ๙. พระนารทะ ๑๐. พระปทุมุตตระ ๑๑. พระสุเมธะ ๑๒. พระสุชาตะ ๑๓. พระปิยทัสสี ๑๔. พระอัตถทัสสี ๑๕. พระธัมมทัสสี ๑๖. พระสิทธัตถะ ๑๗. พระติสสะ ๑๘. พระปุสสะ ๑๙. พระวิปัสสี ๒๐. พระสิขี ๒๑. พระเวสสภู ๒๒. พระกกุสันธะ ๒๓. พระโกนาคมน์ ๒๔. พระกัสสปะ ๒๕. พระโคตมะ (เรื่องมาในคัมภีร์พุทธวงส์ แห่งขุททกนิกาย พระสุตตันตปิฎก); ดู พุทธะ ด้วยข้อควรทราบบางประการเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ตามที่ตรัสไว้ในคัมภีร์พุทธวงส์ คือ พระองค์เป็นพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม (โคตมพุทธ) เจริญในศากยสกุล พระนครอันเป็นถิ่นกำเนิดชื่อกบิลพัสดุ์ พระบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดามีพระนามว่า มายาเทวี ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาท ๓ หลังชื่อ สุจันทะ โกกนุท และโกญจะ มเหสีพระนามว่ายโสธรา โอรสพระนามว่าราหุล ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการแล้ว เสด็จออกผนวชด้วยม้าเป็นราชยาน บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปี ประกาศธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี พระอัครสาวกทั้งสอง คือ พระอุปติสสะ (พระสารีบุตร) และพระโกลิตะ (พระมหาโมคคัลลานะ) พุทธ-อุปัฏฐากชื่อว่า พระอานนท์ พระอัคร-สาวิกาทั้งสองคือ พระเขมา และพระอุบลวรรณา อุบาสกสองผู้เป็นอัครอุปัฏฐาก คือ จิตตคฤหบดี และหัตถกอุบาสก ชาวเมืองอาฬวี อุบาสิกาสองผู้อัครอุปัฏฐายิกา คือ นันทมารดา และอุตราอุบาสิกา บรรลุสัมโพธิญาณที่ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์ (คือต้นโพธิ์ได้แก่ไม้อัสสัตถะ) มีสาวก-สันนิบาต (การประชุมพระสาวก) ครั้งใหญ่ ครั้งเดียว ภิกษุผู้เข้าร่วมประชุม ๑,๒๕๐ รูป คำสั่งสอนของพระองค์ผู้เป็นศากยมุนี เจริญแพร่หลายกว้างขวางงอกงามเป็นอย่างดี บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เป็นประโยชน์แก่ประชาชนจำนวนมาก | |
พระยม | ดู ยม | |
พระยส | ดู ยส | |
พระรัตนตรัย | ดู รัตนตรัย | |
พระวินัย | ดู วินัย | |
พระศาสดา | ผู้สอน เป็นพระนามเรียกพระพุทธเจ้า; ดู ศาสดา | |
พระสงฆ์ | หมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย, หมู่สาวกของพระพุทธเจ้า; ดู สงฆ์ | |
พระสมณโคดม | คำที่คนภายนอกนิยมใช้เมื่อกล่าวถึงพระพุทธเจ้า | |
พระสัมพุทธเจ้า | พระผู้ตรัสรู้เอง หมายถึง พระพุทธเจ้า | |
พระสาวก | ผู้ฟังคำสอน, ศิษย์ของพระพุทธเจ้า; ดู สาวก | |
พระสูตร | ดู สูตร | |
พระเสขะ | ดู เสขะ | |
พระอูรุ | ดู อูรุ คำขึ้นต้นด้วย พระ- ซึ่งไม่พบที่นี้ ให้ตัด พระ ออก แล้วดูในลำดับของคำนั้น | |
พราหมณ์ | คนวรรณะหนึ่งใน ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร; พราหมณ์เป็นวรรณะนักบวชและเป็นเจ้าพิธี ถือตนว่าเป็นวรรณะสูงสุด เกิดจากปากพระพรหม; ดู วรรณะ | |
พราหมณสมัย | ลัทธิพราหมณ์ | |
พราหมณมหาสาล | พราหมณ์ผู้มั่งคั่ง | |
พราหมณี | นางพราหมณ์, พราหมณ์ผู้หญิง | |
พละ | กำลัง 1. พละ ๕ คือธรรมอันเป็นกำลัง ซึ่งเป็นเครื่องเกื้อหนุนแก่อริยมรรค จัดอยู่ในจำพวกโพธิปักขิยธรรมมี ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา; ดู อินทรีย์ ๕, โพธิปักขิยธรรม 2. พละ ๔ คือธรรมอันเป็นพลังทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องหวาดหวั่นกลัวภัยต่างๆ ได้แก่ ๑. ปัญญาพละ กำลังปัญญา ๒. วิริยพละ กำลังความเพียร ๓. อนวัชชพละ กำลังคือการกระทำที่ไม่มีโทษ (กำลังความสุจริตและการทำแต่กิจกรรมที่ดีงาม) ๔. สังคหพละ กำลังการสงเคราะห์ คือช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยดี ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม 3. พละ ๕ หรือ ขัตติยพละ ๕ ได้แก่กำลังของพระมหากษัตริย์ หรือกำลังที่ทำให้มีความพร้อมสำหรับความเป็นกษัตริย์ ๕ ประการ ดังแสดงในคัมภีร์ชาดกคือ ๑. พาหาพละ หรือ กายพละ กำลังแขนหรือกำลังกาย คือแข็งแรงสุขภาพดี สามารถในการใช้แขนใช้มือใช้อาวุธ มีอุปกรณ์พรั่งพร้อม ๒. โภคพละ กำลังโภคสมบัติ ๓. อมัจจ-พละ กำลังข้าราชการที่ปรึกษาและผู้บริหารที่สามารถ ๔. อภิชัจจพละ กำลังความมีชาติสูง ต้องด้วยความนิยมเชิดชูของมหาชนและได้รับการศึกษาอบรมมาดี ๕. ปัญญาพละ กำลังปัญญา ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่สุด | |
พลความ | ข้อความที่ไม่ใช่สาระสำคัญ | |
พลี | ทางพราหมณ์ คือ บวงสรวง, ทางพุทธ คือ สละเพื่อช่วยหรือบูชามี ๕ คือ ๑. ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ ๒. อติถิพลี ต้อนรับแขก ๓. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ๔. ราชพลี ถวายเป็นหลวง เช่น เสียภาษีอากร ๕. เทวตาพลี ทำบุญอุทิศให้เทวดา | |
พหุบท | “มีเท้ามาก” หมายถึงสัตว์ดิรัจฉานที่มีเท้ามากกว่าสองเท้าและสี่เท้า เช่น ตะขาบ กิ้งกือ เป็นต้น | |
พหุปุตตเจดีย์ | เจดียสถานแห่งหนึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองเวสาลี นครหลวงของแคว้นวัชชี เป็นสถานที่ที่พระพุทธ-เจ้าเคยทรงทำนิมิตต์โอภาสแก่พระอานนท์ | |
พหุปุตตนิโครธ | ต้นไทรอยู่ระหว่างกรุงราชคฤห์และเมืองนาลันทา ปิปผลิ-มาณพได้พบพระพุทธเจ้าและขอบวชที่ต้นไทรนี้ เขียนว่า พหุปุตตกนิโครธ ก็มี | |
พหุพจน์, พหูพจน์ | คำที่กล่าวถึงสิ่งมากกว่าหนึ่ง คือตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไป, เป็นคำที่ใช้ใน ไวยากรณ์บาลีและไทย คู่กับเอกพจน์ ซึ่งกล่าวถึงสิ่งเดียว; แต่ในไวยากรณ์สันสกฤตจำนวนสองเป็น ทวิพจน์ หรือทวิวจนะ จำนวนสามขึ้นไป จึงจะเป็นพหุพจน์ | |
พหุลกรรม | กรรมทำมาก หรือกรรมชิน ได้แก่ กรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลที่ทำบ่อยๆ จนเคยชิน ย่อมให้ผลก่อนกรรมอื่นเว้นครุกรรม เรียกอีกอย่างว่า อาจิณณกรรม (ข้อ ๑๐ ในกรรม ๑๒) | |
พหุวจนะ | ดู พหุพจน์ | |
พหุสูต, พหูสูต | ผู้ได้ยินได้ฟังมามาก คือทรงจำธรรมและรู้ศิลปวิทยามาก, ผู้เล่าเรียนมาก, ผู้ศึกษามาก, ผู้คงแก่เรียน; ดู พาหุสัจจะ ด้วย | |
พหูชน | คนจำนวนมาก | |
พักมานัต | ดู เก็บวัตร | |
พัทธสีมา | “แดนผูก” ได้แก่ เขตที่สงฆ์กำหนดขึ้นเอง โดยจัดตั้งนิมิตคือสิ่งที่เป็นเครื่องหมายกำหนดเอาไว้; ดู สีมา | |
พันธุ์ | เหล่ากอ, พวกพ้อง | |
พัสดุ | สิ่งของ, ที่ดิน | |
พากุละ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรเศรษฐีเมืองโกสัมพี มีเรื่องเล่าว่าเมื่อยังเป็นทารกขณะที่พี่เลี้ยงนำไปอาบน้ำเล่นที่แม่น้ำ ท่านถูกปลาใหญ่กลืนลงไปอยู่ในท้อง ต่อมาปลานั้นถูกจับได้ที่เมืองพาราณสี และถูกขายให้แก่ภรรยาเศรษฐีเมืองพาราณสี ภรรยาเศรษฐีผ่าท้องปลาพบเด็กแล้วเลี้ยงไว้เป็นบุตร ฝ่ายมารดาเดิมทราบข่าวจึงขอบุตรคืน ตกลงกันไม่ได้ จนพระราชาทรงตัดสินให้เด็กเป็นทายาทของทั้งสองตระกูล ท่านจึงได้ชื่อว่า พากุละ แปลว่า “คนสองตระกูล” หรือ “ผู้ที่สองตระกูลเลี้ยง” ท่านอยู่ครองเรือนมาจนอายุ ๘๐ ปี จึงได้ฟังพระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา มีความเลื่อมใสขอบวชแล้วบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วันได้บรรลุพระอรหัตได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางเป็นผู้มีอาพาธน้อย คือสุขภาพดี; พักกุละ ก็เรียก | |
พาณิช | พ่อค้า | |
พาณิชย์ | การค้าขาย | |
พาราณสี | ชื่อเมืองหลวงของแคว้นกาสี อยู่ริมแม่น้ำคงคา ปัจจุบันเรียก Banaras หรือ Benares ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาซึ่งปัจจุบันเรียกว่า สารนาถ อยู่ห่างจากตัวเมืองพาราณสีปัจจุบันประมาณ ๖ ไมล์ | |
พาวรี | พราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ตั้งอาศรมสอนไตรเพทแก่ศิษย์อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ณ สุดเขตแดนแคว้นอัสสกะ ได้ส่งศิษย์ ๑๖ คนไปถามปัญหาพระศาสดา เพื่อจะทดสอบว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะจริงหรือไม่ ภายหลังได้รับคำตอบแล้วศิษย์ชื่อปิงคิยะซึ่งเป็นหลานของท่านได้กลับมาเล่าเรื่องและแสดงคำตอบปัญหาของพระศาสดา ทำให้ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี | |
พาหิยทารุจีริยะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เกิดในครอบครัวคนมีตระกูลในแคว้นพาหิยรัฐ ลงเรือเดินทะเลเพื่อจะไปค้าขาย เรือแตกกลางทะเลรอดชีวิตไปได้ แต่หมดเนื้อหมดตัว ต้องแสดงตนเป็นผู้หมดกิเลสหลอกลวงประชาชนเลี้ยงชีวิต ต่อมาพบพระพุทธเจ้าทูลขอให้ทรงแสดงธรรม พระองค์ทรงแสดงวิธีปฏิบัติต่ออารมณ์ที่รับรู้ทางอายตนะทั้งหก พอจบพระธรรมเทศนาย่นย่อนั้น พาหิยะก็สำเร็จอรหัต แต่ไม่ทันได้อุปสมบท กำลังเที่ยวหาบาตรจีวร เผอิญถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดเอาสิ้นชีวิตเสียก่อน ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางตรัสรู้ฉับพลัน | |
พาหิรทุกข์ | ทุกข์ภายนอก | |
พาหิรลัทธิ | ลัทธิภายนอกพระพุทธศาสนา | |
พาหุสัจจะ | ความเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก, ความเป็นผู้ได้เรียนรู้มาก หรือคงแก่เรียน มีองค์ ๕ คือ ๑. พหุสฺสุตา ได้ยินได้ฟังมาก ๒. ธตา ทรงจำไว้ได้ ๓. วจสา ปริจิตา คล่องปาก ๔. มนสานุเปกฺขิตา เจนใจ ๕. ทิฏ??ิยา สุปฏิวิทฺธา ขบได้ด้วยทฤษฎี;ดู พหูสูต (ข้อ ๒ ในนาถกรณธรรม ๑๐, ข้อ ๓ ในเวสารัชชกรณธรรม ๕, ข้อ ๔ ในสัทธรรม ๗, ข้อ ๕ ในอริยทรัพย์ ๗) | |
พิกัด | กำหนด, กำหนดที่จะต้องเสียภาษี | |
พิณ | เครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง มีสายสำหรับดีด | |
พิทยาธร | ดู วิทยาธร | |
พิทักษ์ | ดูแลรักษา, คุ้มครอง, ป้องกัน | |
พินทุ | จุด, วงกลมเล็กๆ ในที่นี้หมายถึง พินทุกัปปะ | |
พินทุกัปปะ | การทำพินทุ, การทำจุดเป็นวงกลม อย่างใหญ่เท่าแววตานกยูง อย่างเล็กเท่าหลังตัวเรือด ที่มุมจีวรด้วยสีเขียวคราม โคลน หรือดำคล้ำ เพื่อทำจีวรให้เสียสีหรือมีตำหนิตามวินัยบัญญัติ และเป็นเครื่องหมายช่วยให้จำได้ด้วย; เขียนพินทุกัป ก็ได้, คำบาลีเดิมเป็น กัปปพินทุ, เรียกกันง่ายๆ ว่า พินทุ | |
พินัยกรรม | หนังสือสำคัญที่เจ้าทรัพย์ทำไว้ก่อนตาย แสดงความประสงค์ว่าเมื่อตายแล้วขอมอบมรดกที่ระบุไว้ในหนังสือสำคัญนั้น ให้แก่คนนั้นๆ, ตามพระวินัย ถ้าภิกษุทำเช่นนี้ ไม่มีผล ต้องบริขาร จึงใช้ได้ | |
พิปลาส | ดู วิปลาส, วิปัลลาส | |
พิพากษา | ตัดสินอรรถคดี | |
พิมพา | บางแห่งเรียก ยโสธรา เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าสุปปพุทธะ กรุงเทวทหะ เป็นพระชายาของพระสิทธัตถะ เป็นพระมารดาของพระราหุล ภายหลังออกบวชมีนามว่า พระภัททกัจจานา หรือ ภัททา กัจจานา | |
พิมพิสาร | พระเจ้าแผ่นดินมคธครองราชสมบัติอยู่ที่พระนครราชคฤห์ เป็นผู้ถวายพระราชอุทยานเวฬุวันเป็น สังฆาราม นับเป็นวัดแรกในพระพุทธ-ศาสนา ต่อมา ถูกพระราชโอรสนามว่าอชาตศัตรู ปลงพระชนม์ | |
พิรุธ | ไม่ปรกติ, มีลักษณะน่าสงสัย | |
พิโรธ | โกรธ, เคือง | |
พีชคาม | พืชพันธุ์อันถูกพรากจากที่แล้วแต่ยังจะเป็นได้อีก; คู่กับ ภูตคาม | |
พุทธะ | ท่านผู้ตรัสรู้แล้ว, ผู้รู้อริยสัจจ์ ๔ อย่างถ่องแท้ ตามอรรถกถาท่านแบ่งเป็น ๓ คือ ๑. พระพุทธเจ้า ท่านผู้ตรัสรู้เองและสอนผู้อื่นให้รู้ตาม (บางทีเรียก พระสัมมาสัมพุทธะ) ๒. พระปัจเจกพุทธะ ท่านผู้ตรัสรู้เองจำเพาะผู้เดียว ๓. พระอนุพุทธะ ท่านผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า (เรียกอีกอย่างว่า สาวกพุทธะ); บางแห่งจัดเป็น ๔ คือ ๑. สัพพัญญูพุทธะ ๒.ปัจเจกพุทธะ ๓. จตุสัจจพุทธะ (= พระอรหันต์) และ ๔. สุตพุทธ (= ผู้เป็นพหูสูต) | |
พุทธการกธรรม | ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ตามปกติหมายถึง บารมี ๑๐ นั่นเอง (ในคาถาบางทีเรียกสั้นๆ ว่าพุทธธรรม) | |
พุทธกาล | ครั้งพระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่ | |
พุทธกิจ | กิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญ, การงานที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ | |
พุทธกิจประจำวัน ๕ | พุทธกิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเป็นประจำในแต่ละวันมี ๕ อย่าง คือ ๑. ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑ-ปาตญฺจ เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต ๒. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรม ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ เวลาค่ำประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ ๔. อฑฺฒ-รตฺเต เทวปญฺหนํ เที่ยงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา ๕. ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ จวนสว่างทรงตรวจพิจารณาสัตว์ที่สามารถและที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันควรจะเสด็จไปโปรดหรือไม่ (สรุปท้ายว่า เอเต ปญฺจวิเธ กิจฺเจ วิโสเธติ มุนิปุงฺคโว พระพุทธเจ้าองค์พระมุนีผู้ประเสริฐทรงยังกิจ ๕ ประการนี้ให้หมดจด) | |
พุทธกิจ ๔๕ พรรษา | ในระหว่างเวลา ๔๕ ปีแห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปประทับจำพรรษา ณ สถานที่ต่างๆ ซึ่งท่านได้ประมวลไว้ พร้อมทั้งเหตุการณ์สำคัญบางอย่างอันควรสังเกต ดังนี้ พรรษาที่ ๑ ป่าอิสิปตน-มฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี (โปรดพระเบญจวัคคีย์) พ. ๒, ๓, ๔ พระเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ (ระยะประดิษฐานพระศาสนา เริ่มแต่โปรดพระเจ้าพิมพิสาร ได้อัครสาวก ฯลฯ เสด็จนครกบิลพัสดุ์ครั้งแรก ฯลฯ อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นอุบาสกถวายพระเชตวัน; ถ้าถือตามพระวินัยปิฎก พรรษาที่ ๓ น่าจะประทับที่พระเชตวัน นครสาวัตถี) พ. ๕ กูฏาคารในป่ามหาวัน นครเวสาลี (โปรดพุทธบิดาปรินิพพานที่กรุงกบิลพัสดุ์ โปรดพระญาติที่วิวาทเรื่องแม่น้ำโรหิณี มหาปชาบดีผนวช เกิดภิกษุณีสงฆ์) พ. ๖ มกุลบรรพต (ภายหลังทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่นครสาวัตถี) พ. ๗ ดาวดึงสเทวโลก (แสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา) พ. ๘ เภสกลาวัน ใกล้เมืองสุงสุมารคีรี แคว้นภัคคะ (พบนกุลบิดาและนกุล-มารดา) พ. ๙ โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี พ. ๑๐ ป่าตำบลปาริเลยยกะ ใกล้เมืองโกสัมพี (ในคราวที่ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะกัน) พ. ๑๑ หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลา พ. ๑๒ เมืองเวรัญชา พ. ๑๓ จาลิยบรรพต พ. ๑๔ พระเชตวัน (พระราหุลอุปสมบทคราวนี้) พ. ๑๕ นิโครธาราม นครกบิลพัสดุ์ พ. ๑๖ เมืองอาฬวี (ทรมานอาฬวกยักษ์) พ. ๑๗ พระเวฬุวัน นครราชคฤห์ พ. ๑๘, ๑๙ จาลิยบรรพต พ. ๒๐ พระเวฬุวัน นครราชคฤห์ (โปรดมหาโจรองคุลิมาล, พระอานนท์ได้รับหน้าที่เป็นพุทธ-อุปัฏฐากประจำ) พ. ๒๑–๔๔ ประทับสลับไปมา ณ พระเชตวัน กับบุพพาราม พระนครสาวัตถี (รวมทั้งคราวก่อนนี้ด้วย อรรถกถาว่าพระพุทธเจ้าประทับที่เชตวนาราม ๑๙ พรรษา ณ บุพพาราม ๖ พรรษา) พ. ๔๕ เวฬุวคาม ใกล้นครเวสาลี | |
พุทธคารวตา | ดู คารวะ | |
พุทธคุณ | คุณของพระพุทธเจ้า มี ๙ คือ ๑. อรหํ เป็นพระอรหันต์ ๒. สมฺมา- สมฺพุทฺโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ ๓. วิชฺชา-จรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ๔. สุคโต เสด็จไปดีแล้ว ๕. โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งกว่า ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ๘. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว ๙. ภควา เป็นผู้มีโชค พุทธคุณทั้งหมดนั้น โดยย่อมี ๒ คือ ๑. พระปัญญาคุณ พระคุณคือพระปัญญา ๒. พระกรุณาคุณ พระคุณคือพระมหากรุณา หรือตามที่นิยมกล่าวกันในประเทศไทย ย่อเป็น ๓ คือ ๑. พระปัญญาคุณ พระคุณคือพระปัญญา ๒. พระวิสุทธิคุณ พระคุณคือความบริสุทธิ์ ๓. พระมหากรุณาคุณ พระคุณคือพระมหากรุณา | |
พุทธโฆษาจารย์ | ดู วิสุทธิมรรค; พุทธ-โฆสาจารย์ ก็เขียน | |
พุทธจริยา | พระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้า, การบำเพ็ญประโยชน์ของพระพุทธเจ้า มี ๓ คือ ๑. โลกัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก ๒. ญาตัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ ๓. พุทธัตถ-จริยา การบำเพ็ญประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้า | |
พุทธจักขุ | จักษุของพระพุทธเจ้า ได้แก่ญาณที่หยั่งรู้อัธยาศัย อุปนิสัยและอินทรีย์ที่ยิ่งหย่อนต่างๆ กันของเวไนย-สัตว์ (ข้อ ๔ ในจักขุ ๕) | |
พุทธจักร | วงการพระพุทธศาสนา | |
พุทธจาริก | การเสด็จจาริกคือเที่ยวไปประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจ้า | |
พุทธเจ้า ๕, ๗, ๒๕ | ดู พระพุทธเจ้า และ พุทธะ | |
พุทธธรรม | 1. ธรรมของพระพุทธเจ้า, พระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า คัมภีร์มหานิทเทสระบุจำนวนไว้ว่ามี ๖ ประการ แต่ไม่ได้จำแนกข้อไว้ อรรถ-กถาโยงความให้ว่าได้แก่ ๑. กายกรรมทุกอย่างของพระพุทธเจ้าเป็นไปตามพระญาณ (จะทำอะไรก็ทำด้วยปัญญา ด้วยความรู้เข้าใจ) วจีกรรมทุกอย่างเป็นไปตามพระญาณ ๓. มโนกรรมทุกอย่างเป็นไปตามพระญาณ ๔. ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดในอดีต ๕. ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดในอนาคต ๖. ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดในปัจจุบัน; คัมภีร์สุมัง-คลวิลาสินี อรรถกถาแห่งทีฆนิกาย จำแนกพุทธธรรมว่ามี ๑๘ อย่าง คือ ๑. พระตถาคตไม่ทรงมีกายทุจริต ๒. ไม่ทรงมีวจีทุจริต ๓. ไม่ทรงมีมโนทุจริต ๔. ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดในอดีต ๕. ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดในอนาคต ๖. ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดในปัจจุบัน ๗. ทรงมีกายกรรมทุกอย่างเป็นไปตามพระญาณ ๘. ทรงมีวจีกรรมทุกอย่างเป็นไปตามพระญาณ ๙. ทรงมีมโนกรรมทุกอย่างเป็นไปตามพระญาณ ๑๐. ไม่มีความเสื่อมฉันทะ (ฉันทะไม่ลดถอย) ๑๑. ไม่มีความเสื่อมวิริยะ (ความเพียรไม่ลดถอย) ๑๒. ไม่มีความเสื่อมสติ (สติไม่ลดถอย) ๑๓. ไม่มีการเล่น ๑๔. ไม่มีการพูดพลาด ๑๕. ไม่มีการทำพลาด ๑๖. ไม่มีความผลุนผลัน ๑๗. ไม่มีพระทัยที่ไม่ขวนขวาย ๑๘. ไม่มีอกุศลจิต 2. ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่ พุทธการกธรรม คือ บารมี ๑๐ 3. ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ มรรคมีองค์ ๘ ขันธ์ ๕ ปัจจัย ๒๔ เป็นอาทิ | |
พุทธบริวาร | บริวารของพระพุทธเจ้า, ผู้เป็นบริวารของพระพุทธเจ้า | |
พุทธบริษัท | หมู่ชนที่นับถือพระพุทธ-ศาสนามี ๔ จำพวก คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา | |
พุทธบัญญัติ | ข้อที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้, วินัยสำหรับพระ | |
พุทธบาท | รอยเท้าของพระพุทธเจ้า อรรถกถาว่าทรงประทับแห่งแรกที่บนหาดชายฝั่งแม่น้ำนัมมทา แห่งที่สองที่ภูเขาสัจจพันธคีรี นอกจากนี้ตำนานสมัยต่อๆ มาว่ามีที่ภูเขาสุมนกูฏ (ลังกาทวีป) สุวรรณบรรพต (สระบุรี ประเทศไทย) และเมืองโยนก รวมเป็น ๕ สถาน | |
พุทธปฏิมา | รูปเปรียบของพระพุทธเจ้า, พระพุทธรูป | |
พุทธประวัติ | ประวัติของพระพุทธเจ้า; ลำดับกาลในพุทธประวัติตามที่ท่านแบ่งไว้ในอรรถกถา จัดได้เป็น ๓ ช่วงใหญ่ คือ ๑. ทูเรนิทาน เรื่องราวตั้งแต่เริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติในอดีต จนถึงอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต ๒. อวิทูเร-นิทาน เรื่องราวตั้งแต่จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต จนถึงตรัสรู้ ๓. สันติเกนิทาน เรื่องราวตั้งแต่ตรัสรู้แล้ว จนเสด็จปรินิพพาน ในส่วนของสันติเกนิทานนั้น ก็คือ โพธิกาล นั่นเอง ซึ่งแบ่งย่อยได้เป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ๑. ปฐมโพธิกาล คือตั้งแต่ตรัสรู้ จนถึงได้พระอัครสาวก ๒. มัชฌิมโพธิกาล คือตั้งแต่ประดิษฐานพระศาสนาในแคว้นมคธ จนถึงปลงพระชนมายุสังขาร ๓. ปัจฉิมโพธิกาล คือตั้งแต่ปลงพระชนมายุสังขาร จนถึงปรินิพพาน ต่อมาภายหลัง พระเถระผู้เล่าพุทธประวัติได้กล่าวถึงเรื่องราวที่เป็นมาในชมพูทวีป ก่อนถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเรียกเวลาช่วงนี้ว่า ปุริมกาล กับทั้งเล่าเหตุการณ์หลังพุทธ-ปรินิพพาน เช่น การถวายพระเพลิงและสังคายนา และเรียกเวลาช่วงนี้ว่า อปร-กาล; ในการแบ่งโพธิกาล ๓ ช่วงนี้ อรรถกถายังมีมติแตกต่างกันบ้าง เช่น พระอาจารย์ธรรมบาลแบ่ง ๓ ช่วงเท่ากัน ช่วงละ ๑๕ พรรษา แต่บางอรรถ-กถานับ ๒๐ พรรษาแรกของพุทธกิจเป็นปฐมโพธิกาล โดยไม่ระบุช่วงเวลาของ ๒ โพธิกาลที่เหลือ (ได้แก่ช่วงเวลา แรกที่พระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงมีพระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐากประจำ และยังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสงฆ์) | |
พุทธปรินิพพาน | การเสด็จดับขันธ-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า, การตายของพระพุทธเจ้า | |
พุทธพจน์ | พระดำรัสของพระพุทธเจ้า, คำพูดของพระพุทธเจ้า | |
พุทธภาษิต | ภาษิตของพระพุทธเจ้า, คำพูดของพระพุทธเจ้า, ถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าพูด | |
พุทธมามกะ | “ผู้ถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นของเรา”, ผู้รับเอาพระพุทธเจ้าเป็นของตน, ผู้ประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธ-ศาสนา; พิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงเรียบเรียงตั้งเป็นแบบไว้ ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดจะส่งเจ้านายคณะหนึ่งออกไปศึกษาในทวีปยุโรป ทรงถือตามคำแสดงตนเป็นอุบาสกของเดิมแต่แก้บท อุบาสก ที่เฉพาะผู้ใหญ่ผู้ได้ศรัทธาเลื่อมใสด้วยตนเอง เป็น พุทธมามกะ และได้เกิดเป็นประเพณีนิยมแสดงตนเป็นพุทธมามกะสืบต่อกันมา โดยจัดทำในกรณีต่างๆ โดยเฉพาะ ๑. เมื่อบุตรหลานพ้นวัยทารก อายุ ๑๒–๑๕ ปี ๒. เมื่อจะส่งบุตรหลานไปอยู่ในถิ่นที่มิใช่ดินแดนของพระพุทธศาสนา ๓. โรงเรียนประกอบพิธีให้นักเรียนที่เข้าศึกษาใหม่แต่ละปีเป็นหมู่ ๔. เมื่อบุคคลผู้เคยนับถือศาสนาอื่นต้องการประกาศตนเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา; ท่านวางระเบียบพิธีไว้สรุปได้ดังนี้ ก. มอบตัว (ถ้าเป็นเด็กให้ผู้ปกครองนำตัวหรือครูนำรายชื่อไป) โดยนำดอกไม้ธูปเทียนใส่พานไปถวายพระอาจารย์ที่จะให้เป็นประธานสงฆ์ในพิธี พร้อมทั้งเผดียงสงฆ์รวมทั้งพระอาจารย์เป็นอย่างน้อย ๔ รูป ข. จัดสถานที่ ในอุโบสถ หรือวิหาร ศาลาการเปรียญ หรือหอประชุมที่มีโต๊ะบูชามีพระพุทธรูปประธาน และจัดอาสนะสงฆ์ให้เหมาะสม ค. พิธีการ ให้ผู้แสดงตน จุดธูปเทียน เปล่งวาจาบูชาพระรัตนตรัยว่า “อิมินา สกฺกาเรน,พุทฺธํ ปูเชมิ” (แปลว่า) “ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้าด้วยเครื่องสักการะนี้” (กราบ) “อิมินา สกฺกาเรน, ธมฺมํ ปูเชมิ” (แปลว่า) “ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรมด้วยเครื่องสักการะนี้” (กราบ) “อิมินา สกฺกา-เรน, สงฺฆํ ปูเชมิ” (แปลว่า) “ข้าพเจ้าขอบูชาพระสงฆ์ด้วยเครื่องสักการะนี้” (กราบ) จากนั้นเข้าไปสู่ที่ประชุมสงฆ์ ถวายพานเครื่องสักการะแก่พระอาจารย์ กราบ ๓ ครั้งแล้ว คงนั่งคุกเข่า กล่าวคำปฏิญาณว่า: “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส” (๓ หน) “ข้าพเจ้าขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคอรหันต-สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น” (๓ หน) “เอสาหํ ภนฺเต, สุจิรปรินิพฺพุตมฺปิ, ตํ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ, พุทฺธมามโกติ มํ สงฺโฆ ธาเรตุ” แปลว่า “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้ปรินิพพานนานแล้ว ทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ เป็นสรณะที่ระลึกนับถือ ขอพระสงฆ์จงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นพุทธมามกะ ผู้รับเอาพระพุทธเจ้าเป็นของตน คือผู้นับถือพระพุทธเจ้า” (ถ้าเป็นหญิงคนเดียวเปลี่ยน พุทฺธมาม-โกติ เป็น พุทฺธมามกาติ; ถ้าปฏิญาณพร้อมกันหลายคน ชายเปลี่ยน เอสาหํ เป็น เอเต มยํ หญิงเป็น เอตา มยํ; และทั้งชายและหญิงเปลี่ยน คจฺฉามิ เป็นคจฺฉาม, พุทฺธมามโกติ เป็น พุทฺธมามกาติ, มํ เป็น โน) จากนั้นฟังพระอาจารย์ให้โอวาท จบแล้วรับคำว่า “สาธุ” ครั้นแล้วกล่าวคำอาราธนาเบญจศีลและสมาทานศีลพร้อมทั้งคำแปล จบแล้วกราบ ๓ หน ถวายไทยธรรม (ถ้ามี) แล้วกรวดน้ำเมื่อพระสงฆ์อนุโมทนา รับพรเสร็จแล้ว คุกเข่ากราบพระสงฆ์ ๓ ครั้ง เป็นเสร็จพิธี | |
พุทธรูป | รูปพระพุทธเจ้า | |
พุทธฤทธานุภาพ | ฤทธิ์และอานุภาพของพระพุทธเจ้า | |
พุทธเวไนย | ผู้ที่พระพุทธเจ้าควรแนะนำสั่งสอน, ผู้ที่พระพุทธเจ้าพอแนะนำสั่งสอนได้ | |
พุทธศักราช | ปีนับแต่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน | |
พุทธศาสนา | คำสั่งสอนของพระพุทธ-เจ้า, อย่างกว้างในบัดนี้ หมายถึง ความเชื่อถือ การประพฤติปฏิบัติและกิจการทั้งหมดของหมู่ชนผู้กล่าวว่าตนนับถือพระพุทธศาสนา | |
พุทธศาสนิก | ผู้นับถือพระพุทธศาสนา, ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า | |
พุทธศาสนิกมณฑล | วงการของผู้นับถือพระพุทธศาสนา | |
พุทธสรีระ | ร่างกายของพระพุทธเจ้า | |
พุทธสาวก | สาวกของพระพุทธเจ้า, ศิษย์ของพระพุทธเจ้า | |
พุทธอาณา | อำนาจปกครองของพระ พุทธเจ้า, อำนาจปกครองฝ่ายพุทธจักร | |
พุทธอาสน์ | ที่ประทับนั่งของพระพุทธเจ้า | |
พุทธอิทธานุภาพ | ฤทธิ์และอานุภาพของพระพุทธเจ้า | |
พุทธอุปฐาก | ผู้คอยรับใช้พระพุทธเจ้าในครั้งพุทธกาล มีพระอานนท์พุทธอนุชาเป็นผู้เลิศในเรื่องนี้ | |
พุทธโอวาท | คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีหลักใหญ่ ๓ ข้อ คือ ๑. สพฺพปาปสฺส อกรณํ ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๒. กุสลสฺ-สูปสมฺปทา ทำความดีให้เพียบพร้อม ๓. สจิตฺตปริโยทปนํ ทำใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ | |
พุทธัตถจริยา | ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่สัตว์โลก โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้า เช่น ทรงแสดงธรรมแก่เวไนยสัตว์และบัญญัติวินัยขึ้นบริหารหมู่คณะ ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนมาตราบเท่าทุกวันนี้ | |
พุทธาณัติ | คำสั่งของพระพุทธเจ้า | |
พุทธาณัติพจน์ | พระดำรัสสั่งของพระพุทธเจ้า, คำสั่งของพระพุทธเจ้า | |
พุทธาทิบัณฑิต | บัณฑิตมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น (พุทธ + อาทิ + บัณฑิต) | |
พุทธาธิบาย | พระประสงค์ของพระพุทธ-เจ้า, พระดำรัสชี้แจงของพระพุทธเจ้า | |
พุทธานุญาต | ข้อที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต | |
พุทธานุพุทธประวัติ | ประวัติของพระพุทธเจ้าและพระสาวก | |
พุทธานุสติ | ตามระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เขียนอย่างรูปเดิมในภาษาบาลีเป็น พุทธานุสสติ (ข้อ ๑ ในอนุสติ ๑๐) | |
พุทธิจริต | พื้นนิสัยที่หนักในความรู้ มักใช้ความคิด พึงส่งเสริมด้วยแนะนำให้ใช้ความคิดในทางที่ชอบ (ข้อ ๕ ในจริต ๖) | |
พุทธุปบาทกาล | กาลเป็นที่อุบัติของพระพุทธเจ้า, เวลาที่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก | |
พุทฺโธ | ทรงเป็นผู้ตื่น ไม่หลงงมงายเองด้วย และทรงปลุกผู้อื่นให้ตื่นพ้นจากความหลงงมงายนั้นด้วย ทรงเป็นผู้เบิกบาน มีพระทัยผ่องแผ้ว บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์ | |
เพ็ญ | เต็ม หมายถึง พระจันทร์เต็มดวงคือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ | |
เพทางค์ | วิชาประกอบกับการศึกษาพระเวท มี ๖ อย่าง คือ ๑. ศิกษา (วิธีออกเสียงคำในพระเวทให้ถูกต้อง) ๒. ไวยากรณ์ ๓. ฉันทัส (ฉันท์) ๔. โชยติษ (ดารา-ศาสตร์) ๕. นิรุกติ (กำเนิดของคำ) ๖. กัลปะ (วิธีจัดทำพิธี) | |
เพลิงทิพย์ | ไฟเทวดา, ไฟที่เป็นของเทวดา, เพลิงคราวถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ | |
เพศ | ลักษณะที่ให้รู้ว่าหญิงหรือชาย, เครื่องหมายว่าเป็นชายหรือเป็นหญิง, ลักษณะและอาการที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นบุคคลประเภทนี้ ประเภทนี้เช่น โดยเพศแห่งฤษี เพศบรรพชิต เพศแห่งช่างไม้ เป็นต้น, ขนบธรรมเนียม | |
เพียรชอบ | เพียรในที่ ๔ สถาน; ดู ปธาน | |
เพื่อน | ผู้ร่วมธุระร่วมกิจร่วมการหรือร่วมอยู่ในสภาพอย่างเดียวกัน, ผู้ชอบพอรักใคร่คบหากัน, ในทางธรรม เนื้อแท้ของความเป็นเพื่อน อยู่ที่ความมีใจหวังดีปรารถนาดีต่อกัน กล่าวคือ เมตตาหรือไมตรี เพื่อนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ท่านเรียกว่า มิตร การคบเพื่อนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่จะนำชีวิตไปสู่ความเสื่อมความพินาศ หรือสู่ความเจริญงอกงาม พึงหลีกเลี่ยงมิตรเทียมและเลือกคบหาคนที่เป็นมิตรแท้; ดูมิตตปฏิรูป, มิตรแท้บุคคลที่ช่วยชี้แนะแนวทาง ชักจูง ตลอดจนแนะนำสั่งสอน ชักนำผู้อื่นให้ดำเนินชีวิตที่ดีงาม ให้ประสบผลดีและความสุข ให้เจริญก้าวหน้า ให้พัฒนาในธรรม แม้จะเป็นบุคคลเสมอกัน หรือเป็นมารดาบิดาครูอาจารย์ ตลอดทั้งพระสงฆ์ จนถึงพระพุทธเจ้า ก็นับว่าเป็นเพื่อน แต่เป็นเพื่อนใจดี หรือเพื่อนมีธรรม เรียกว่า กัลยาณมิตร แปลว่า “มิตรดีงาม” กัลยาณมิตรมีคุณสมบัติที่เรียกว่า กัลยาณมิตรธรรม หรือธรรมของกัลยาณ-มิตร ๗ ประการ คือ ๑. ปิโย น่ารัก ด้วยมีเมตตา เป็นที่สบายจิตสนิทใจ ชวนให้อยากเข้าไปหา ๒. ครุ น่าเคารพ ด้วยความประพฤติหนักแน่นเป็นที่พึ่งอาศัยได้ ให้รู้สึกอบอุ่นใจ ๓. ภาวนีโย น่าเจริญใจ ด้วยความเป็นผู้ฝึกฝนปรับปรุงตน ควรเอาอย่าง ให้ระลึกและเอ่ยอ้างด้วยซาบซึ้งภูมิใจ ๔. วัตตา รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงแนะนำ เป็นที่ปรึกษาที่ดี ๕. วจนกฺขโม อดทนต่อถ้อยคำ พร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษาซักถาม ตลอดจนคำเสนอแนะวิพากษ์วิจารณ์ ๖. คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา แถลงเรื่องล้ำลึกได้ สามารถอธิบายเรื่องยุ่งยากซับซ้อนให้เข้าใจและสอนให้เรียนรู้เรื่องราวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป ๗. โน จฏ??าเน นิโยชเย ไม่ชักนำในอฐาน คือ ไม่ชักจูงไปในทางเสื่อมเสียหรือเรื่อง เหลวไหลไม่สมควร | |
แพศย์ | คนวรรณะที่สาม ในวรรณะสี่ของคนในชมพูทวีป ตามหลักศาสนาพราหมณ์ หมายถึงพวกชาวนาและพ่อค้า | |
แพศยา | หญิงหากินในทางกาม, หญิงหาเงินในทางร่วมประเวณี | |
โพชฌงค์ | ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือองค์ของผู้ตรัสรู้มี ๗ ข้อ คือ ๑. สติ ๒. ธัมมวิจยะ (การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม) ๓. วิริยะ ๔. ปีติ ๕. ปัสสัทธิ ๖. สมาธิ ๗. อุเบกขา (ดู โพธิปักขิยธรรม) | |
โพธิ์, โพธิพฤกษ์ | ต้นโพธิ์, ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าได้ประทับ ณ ภายใต้ร่มเงาในคราวตรัสรู้, ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้และต้นไม้อื่นที่เป็นชนิดเดียวกันนั้น สำหรับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้แก่ พันธุ์ไม้ อัสสัตถะ (ต้นโพ) ต้นที่อยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลคยา; ต้นโพธิ์ตรัสรู้ที่เป็นหน่อของต้นเดิมที่คยาได้ปลูกเป็นต้นแรกในสมัยพุทธกาล (ปลูกจากเมล็ด) ที่ประตูวัดพระเชตวันโดยพระอานนท์เป็นผู้ดำเนินการตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และเรียกชื่อว่า อานันทโพธิ; หลังพุทธกาล ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระนางสังฆมิตตาเถรี ได้นำกิ่งด้านขวาของต้นมหาโพธิที่คยานั้นไปมอบแด่พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ทรงปลูกไว้ ณ เมืองอนุราธปุระ ในลังกาทวีป ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน; ในประเทศไทย สมัยราชวงศ์จักรี พระสมณทูตไทยในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์ ที่เมืองอนุราธปุระมา ๖ ต้นใน พ.ศ. ๒๓๕๗ โปรดให้ปลูกไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช ๒ ต้น นอกนั้นปลูกที่วัดมหาธาตุ วัดสุทัศน์ วัดสระเกศและที่เมืองกลันตัน แห่งละ ๑ ต้น; ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ประเทศไทยได้พันธุ์ต้นมหาโพธิจากคยาโดยตรงครั้งแรก ได้ปลูกไว้ ณ วัดเบญจมบพิตรและวัดอัษฎางคนิมิตร | |
โพธิญาณ | ญาณคือความตรัสรู้, ญาณคือปัญญาตรัสรู้, มรรคญาณทั้งสี่มีโสดาปัตติมัคคญาณ เป็นต้น | |
โพธิปักขิยธรรม | ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี ๓๗ ประการคือ สติปัฏฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิบาท ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗, มรรคมีองค์ ๘ | |
โพธิมัณฑะ | ประเทศเป็นที่ผ่องใสแห่งโพธิญาณ, บริเวณต้นโพธิ์เป็นที่ตรัสรู้ โพธิราชกุมาร เจ้าชายโพธิ พระราช-โอรสของพระเจ้าอุเทน พระเจ้าแผ่นดินแคว้นวังสะ | |
โพธิสมภาร | บุญบารมีของพระมหากษัตริย์ | |
โพธิสัตว์ | ท่านผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งกำลังบำเพ็ญบารมี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา | |
โพนทนา | กล่าวโทษ, ติเตียน, พูดกล่าวโทษท่านต่อหน้าผู้อื่น (พจนานุกรมเขียน โพนทะนา) | |
ไพบูลย์ | ความเต็มเปี่ยม, ความเจริญเต็มที่ มี ๒ คือ ๑. อามิสไพบูลย์ ความไพบูลย์แห่งอามิส ๒. ธรรมไพบูลย์ ความไพบูลย์แห่งธรรม; ดู เวปุลละ | |
ไพศาลี | ดู เวสาลี | |
ฟั่นเฝือ | เคลือบคลุม, พัวพันกัน, ปนคละกัน, ยุ่ง | |
ฟูมฟาย | มากมาย, ล้นเหลือ, สุรุ่ยสุร่าย, น้ำตาอาบหน้า | |
ภควา | พระผู้มีพระภาค, พระนามพระพุทธเจ้า แปลว่า “ทรงเป็นผู้มีโชค” คือ หวังพระโพธิญาณก็ได้สมหวัง ประกาศพระศาสนาก็ชักจูงผู้คนให้ได้บรรลุธรรมสมปรารถนา มีผู้คิดร้ายก็ไม่อาจทำร้ายได้; อีกนัยหนึ่งว่าทรงเป็นผู้จำแนกแจกธรรม | |
ภคันทลา | โรคริดสีดวงทวารหนัก | |
ภคินี | พี่หญิง น้องหญิง | |
ภคุ | ดู ภัคคุ | |
ภพ | โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์, ภาวะชีวิตของสัตว์ มี ๓ คือ ๑. กามภพ ภพของผู้ยังเสวยกามคุณ ๒. รูปภพ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน ๓. อรูปภพ ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาน | |
ภพหลัง | โลกที่สัตว์เกิดมาแล้วในชาติที่ผ่านมา, ภพก่อน, ชาติก่อน; ตรงข้ามกับ ภพหน้า | |
ภยตูปัฏฐานญาณ | ปรีชาหยั่งเห็นสังขารปรากฏโดยอาการเป็นของน่ากลัวเพราะสังขารทั้งปวงนั้นล้วนแต่จะต้องแตกสลายไป ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น (ข้อ ๓ ในวิปัสสนาญาณ ๙) | |
ภยันตราย | ภัยและอันตราย, อันตรายที่น่ากลัว | |
ภยาคติ | ลำเอียงเพราะกลัว (ข้อ ๔ ในอคติ ๔) | |
ภวตัณหา | ความอยากเป็นนั่นเป็นนี่ หรืออยากเกิดอยากมีอยู่คงอยู่ตลอดไป, ความทะยานอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ (ข้อ ๒ ในตัณหา ๓) | |
ภวทิฏฐิ | ความเห็นเนื่องด้วยภพ, ความเห็นว่าอัตตาและโลกจักมีอยู่คงอยู่เที่ยงแท้ตลอดไป เป็นพวกสัสสตทิฏฐิ | |
ภวราคะ | ความกำหนัดในภพ, ความติดใคร่ในภพ (ข้อ ๗ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ข้อ ๖ ในอนุสัย ๗) | |
ภวังค์ | ดู ภวังคจิต | |
ภวังคจิต | จิตที่เป็นองค์แห่งภพ, ตามหลักอภิธรรมว่า จิตที่เป็นพื้นอยู่ระหว่างปฏิสนธิและจุติ คือ ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ในเวลาที่มิได้เสวยอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ มีจักขุทวารเป็นต้น แต่เมื่อใดมีการรับรู้อารมณ์ เช่น เกิดการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ก็เกิดเป็นวิถีจิตขึ้นแทนภวังคจิต เมื่อวิถีจิตดับไป ก็เกิดเป็นภวังคจิตขึ้นอย่างเดิม ภวังคจิต นี้ คือมโน ที่เป็นอายตนะที่ ๖ หรือมโนทวาร อันเป็นวิบาก เป็นอัพยากฤต ซึ่งเป็นจิตตามสภาพ หรือตามปกติของมัน ยังไม่ขึ้นสู่วิถีรับรู้อารมณ์ (เป็นเพียงมโน ยังไม่เป็นมโน-วิญญาณ)พุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา” มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้นเป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้; จิตที่ประภัสสรนี้ พระอรรถ-กถาจารย์อธิบายว่า ได้แก่ ภวังคจิต | |
ภวาสวะ | อาสวะคือภพ, กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ทำให้อยากเป็นอยากเกิดอยากมีอยู่คงอยู่ตลอดไป (ข้อ ๒ ในอาสวะ ๓ และ ๔) | |
ภักษา | เหยื่อ, อาหาร | |
ภักษาหาร | เหยื่อ, อาหาร | |
ภัคคะ | ชื่อแคว้นหนึ่งในชมพูทวีปครั้งพุทธกาล นครหลวงชื่อ สุงสุมารคีระ | |
ภัคคุ | เจ้าศากยะองค์หนึ่ง ที่ออกบวชพร้อมกับพระอนุรุทธะ ได้บรรลุพระอรหัต และเป็นพระมหาสาวกองค์หนึ่ง เขียน ภคุ ก็มี | |
ภังคะ | ผ้าทำด้วยของเจือกัน คือ ผ้าทำด้วยเปลือกไม้ ฝ้าย ไหม ขนสัตว์ เปลือกป่าน ๕ อย่างนี้ อย่างใดก็ได้ปนกัน เช่น ผ้าด้ายแกมไหม เป็นต้น | |
ภังคญาณ | ปัญญาหยั่งเห็นความย่อยยับ คือ เห็นความดับแห่งสังขาร; ภังคา- นุปัสสนาญาณ ก็เรียก | |
ภงฺคํ | ดู ภังคะ | |
ภังคานุปัสสนาญาณ | ญาณตามเห็นความสลาย, ปรีชาหยั่งเห็นเฉพาะความดับของสังขารเด่นชัดขึ้นมาว่าสังขารทั้งปวงล้วนจะต้องแตกสลายไปทั้งหมด (ข้อ ๒ ในวิปัสสนาญาณ ๙) | |
ภัณฑไทย | ของที่จะต้องให้ (คืน) แก่เขา, สินใช้, การที่จะต้องชดใช้ทรัพย์ที่เขาเสียไป | |
ภัณฑาคาริก | ภิกษุผู้ได้รับสมมติคือแต่งตั้งจากสงฆ์ให้เป็นผู้มีหน้าที่รักษาเรือนคลังเก็บพัสดุของสงฆ์, ผู้รักษาคลังสิ่งของ | |
ภัณฑูกรรม | ดู ภัณฑูกัมม์ | |
ภัณฑูกัมม์ | การปลงผม, การบอกขออนุญาตกะสงฆ์เพื่อปลงผมคนผู้จะบวช ในกรณีที่ภิกษุจะปลงให้เอง เป็นอปโลกน-กรรมอย่างหนึ่ง | |
ภัต, ภัตร | อาหาร, ของกิน, ของฉัน, อาหารที่รับประทาน (หรือฉัน) เป็นมื้อๆ | |
ภัตกาล | เวลาฉันอาหาร, เวลารับประทานอาหาร เดิมเขียน ภัตตกาล | |
ภัตกิจ | การบริโภคอาหาร เดิมเขียน ภัตตกิจ | |
ภัตตัคควัตร | ข้อควรปฏิบัติในหอฉัน, ธรรมเนียมในโรงอาหาร ท่านจัดเข้าเป็นกิจวัตรประเภทหนึ่ง กล่าวย่อ มี ๑๑ ข้อ คือ นุ่งห่มให้เรียบร้อย, รู้จักอาสนะอันสมควรแก่ตน, ไม่นั่งทับผ้าสังฆาฏิในบ้าน, รับน้ำและโภชนะของถวายจากทายกโดยเอื้อเฟื้อ และคอยระวังให้ได้รับทั่วถึงกัน, ถ้าพอจะแลเห็นทั่วกัน พระสังฆเถระพึงลงมือฉันเมื่อภิกษุทั้งหมดได้รับโภชนะทั่วกันแล้ว, ฉันด้วยอาการเรียบร้อยตามหลักเสขิยวัตร, อิ่มพร้อมกัน (หัวหน้ารอยังไม่บ้วนปากและล้างมือ), บ้วนปากและล้างมือระวังไม่ให้น้ำกระเซ็น, ฉันในที่มีทายกจัดถวาย เสร็จแล้วอนุโมทนา, เมื่อกลับอย่างเบียดเสียดกันออกมา, ไม่เทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวหรือของเป็นเดนในบ้านเขา | |
ภัตตาหาร | อาหารคือข้าวของฉัน, อาหารที่สำหรับฉันเป็นมื้อๆ | |
ภัตตุทเทสกะ | ผู้แจกภัตต์, ภิกษุที่สงฆ์สมมติคือแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่จัดแจกภัต นิยมเขียน ภัตตุเทศก์ | |
ภัตตุเทศก์ | ดู ภัตตุทเทสกะ | |
ภัตร | ดู ภัต | |
ภัททกาปิลานี | พระมหาสาวิกาองค์หนึ่ง เป็นธิดาพราหมณ์โกสิยโคตรในสาคลนครแห่งมัททรัฐ (คัมภีร์อปทานว่าไว้ชัดดังนี้ แต่อรรถกถาอังคุตตรนิกายคลาดเคลื่อนเป็นแคว้นมคธ) พออายุ ๑๖ ปี ได้สมรสกับปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ต่อมามีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงออกบวชเป็นปริพาชิกา เมื่อพระมหาปชาบดีผนวชเป็นภิกษุณีแล้ว นางได้มาบวชอยู่ในสำนักของพระมหาปชาบดี เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยความไม่ประมาท ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางปุพเพนิวาสานุสติ เรียก ภัททากาปิลานี บ้าง ภัททากปิลานี บ้าง | |
ภัททปทมาส | เดือน ๑๐ เรียกง่ายว่า ภัทรบท | |
ภัททวัคคีย์ | พวกเจริญ, เป็นชื่อคณะสหาย ๓๐ คนที่พากันเข้ามาในไร่ฝ้ายแห่งหนึ่งเพื่อเที่ยวตามหาหญิงแพศยาผู้ลักห่อเครื่องประดับหนีไป และได้พบพระพุทธเจ้าซึ่งพอดีเสด็จแวะเข้าไปประทับพักอยู่ที่ไร่ฝ้ายนั้น ได้ฟังเทศนาอนุบุพพิกถา และอริยสัจจ์ ๔ ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วขออุปสมบท | |
ภัททากัจจานา | พระมหาสาวิกาองค์หนึ่ง เป็นธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะแห่ง โกลิยวงศ์ พระนามเดิมว่า ยโสธรา หรือ พิมพา เป็นพระมารดาของพระราหุลพุทธชิโนรส ได้นามว่า ภัททากัจจานา เพราะทรงมีฉวีวรรณดุจทองคำเนื้อเกลี้ยง บวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธ-ศาสนาเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ไม่ช้าก็ได้สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องว่า เป็นเอตทัคคะในทางบรรลุมหาภิญญา เรียก ภัททกัจจานา ก็มี | |
ภัททากุณฑลเกสา | พระมหาสาวิกาองค์หนึ่ง เป็นธิดาของเศรษฐีในพระนครราชคฤห์ เคยเป็นภรรยาโจรผู้เป็นนักโทษประหารชีวิต โจรคิดจะฆ่านางเพื่อเอาทรัพย์สมบัติ แต่นางใช้ปัญญาคิดแก้ไขกำจัดโจรได้ แล้วบวชในสำนักนิครนถ์ ต่อมาได้พบกับพระสารีบุตร ได้ถามปัญหากันและกัน จนนางมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ต่อมาได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระศาสดาทรงแสดงได้สำเร็จพระอรหัต แล้วบวชในสำนักนางภิกษุณี ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางขิปปาภิญญา คือ ตรัสรู้ได้ฉับพลัน | |
ภัททิยะ | 1. ชื่อภิกษุรูปหนึ่งในคณะปัญจ-วัคคีย์ เป็นพระอรหันต์รุ่นแรก 2. กษัตริย์ศากยวงศ์ โอรสของนางกาฬิ-โคธา สละราชสมบัติที่มาถึงตามวาระแล้วออกบวชพร้อมกับพระอนุรุทธะ สำเร็จอรหัตตผล ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้มาจากตระกูลสูง และจัดเป็นมหาสาวกองค์หนึ่งในจำนวน ๘๐ | |
ภัททิยศากยะ | ดู ภัททิยะ 2. | |
ภัทเทกรัตตสูตร | ชื่อสูตรหนึ่งในมัชฌิม-นิกาย อุปริปัณณาสก์ แห่งพระสุตตันตปิฎก แสดงเรื่องบุคคลผู้มีราตรีเดียวเจริญ คือ คนที่เวลาวันคืนหนึ่งๆ มีแต่ความดีงามความเจริญก้าวหน้า ได้แก่ ผู้ที่ไม่มัวครุ่นคำนึงอดีต ไม่เพ้อหวังอนาคต ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นแจ้งประจักษ์สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ทำความดีเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยไป มีความเพียรพยายาม ทำกิจที่ควรทำเสียแต่วันนี้ไม่รอวันพรุ่ง | |
ภัทราวุธมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ | |
ภันเต | “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ” เป็นคำที่ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าเรียกภิกษุผู้แก่พรรษากว่า (ผู้น้อยเรียกผู้ใหญ่) หรือคฤหัสถ์กล่าวเรียกพระภิกษุ, คู่กับคำว่า อาวุโส; บัดนี้ใช้เลือนกันไปกลายเป็นคำแทนตัวบุคคลไป ก็มี | |
ภัพพบุคคล | คนที่ควรบรรลุธรรมพิเศษได้; เทียบ อภัพบุคคล | |
ภัลลิกะ | พ่อค้าที่มาจากอุกกลชนบท คู่กับ ตปุสสะ พบพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ ณ ภายใต้ต้นไม้ราชายตนะ ได้ถวายเสบียงเดินทาง คือ ข้าวสัตตุผง ข้าวสัตตุก้อน แล้วแสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระพุทธเจ้ากับพระธรรมเป็นสรณะ นับเป็นปฐมอุบาสกประเภทเทฺววาจิก | |
ภาชกะ | ผู้แจก, ผู้จัดแบ่ง | |
ภาณวาร | “วาระแห่งการสวด”, ข้อความในคัมภีร์ต่างๆ เช่น ในพระสูตรขนาดยาวที่ท่านจัดแบ่งไว้เป็นหมวดหนึ่งๆ สำหรับสาธยายเป็นคราวๆ หรือเป็นตอนๆ | |
ภาระ | “สิ่งที่ต้องนำพา”, ธุระหนัก, การงานที่หนัก, หน้าที่ที่ต้องรับเอา, เรื่องที่พึงรับผิดชอบ, เรื่องหนักที่จะต้องเอาใจใส่หรือจัดทำ | |
ภารทวาชโคตร | ตระกูลภารทวาชะ เป็นตระกูลพราหมณ์เก่าแก่ ปรากฏตั้งแต่สมัยร้อยกรองพระเวท แต่ในพุทธกาลปรากฏตามคัมภีร์วินัยปิฎกว่าเป็นตระกูลต่ำ | |
ภาวนา | การทำให้มีขึ้นเป็นขึ้น, การทำให้เกิดขึ้น, การเจริญ, การบำเพ็ญ 1. การฝึกอบรม ตามหลักพระพุทธศาสนา มี ๒ อย่าง คือ ๑. สมถภาวนา ฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ ๒. วิปัสสนา-ภาวนา ฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้เข้าใจตามเป็นจริง, อีกนัยหนึ่ง จัดเป็น ๒ เหมือนกันคือ ๑. จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจให้เจริญงอกงามด้วยคุณธรรม มีความเข้มแข็งมั่นคง เบิกบาน สงบสุขผ่องใสพร้อมด้วยความเพียร สติ และสมาธิ ๒. ปัญญาภาวนา การฝึกอบรมเจริญปัญญา ให้รู้เท่าทันเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จนมีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์ 2. การเจริญสมถกรรมฐานเพื่อให้เกิดสมาธิ มี ๓ ขั้น คือ ๑. บริกรรมภาวนา ภาวนาขั้นตระเตรียม คือ กำหนดอารมณ์กรรมฐาน ๒. อุปจาร-ภาวนา ภาวนาขั้นจวนเจียน คือ เกิดอุปจารสมาธิ ๓. อัปปนาภาวนา ภาวนาขั้นแน่วแน่ คือ เกิดอัปปนาสมาธิเข้าถึงฌาน 3. ในภาษาไทย ความหมายเลือนมาเป็นการท่องบ่นหรือว่าซ้ำๆ ให้ขลัง ก็มี | |
ภาวนาปธาน | เพียรเจริญ, เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่มียังไม่เกิด ให้เกิดให้มีขึ้น (ข้อ ๓ ในปธาน ๔) | |
ภาวนามัย | บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา, ความดีที่ทำด้วยการฝึกอบรมจิตใจให้สุขสงบมีคุณธรรม เช่น เมตตากรุณา (จิตตภาวนา) และฝึกอบรมเจริญปัญญาให้รู้เท่าทันเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง (ปัญญาภาวนา); ดู ภาวนา (ข้อ ๓ ในบุญกิริยาวัตถุ ๓ และ ๑๐) | |
ภาวรูป | รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ มี ๒ คือ อิตถีภาวะ ความเป็นหญิง และ ปุริส-ภาวะ ความเป็นชาย | |
ภาษา | เสียงหรือกิริยาอาการซึ่งทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้, ถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน, คำพูด | |
ภาษามคธ | ภาษาที่ใช้พูดในแคว้นมคธ, ภาษาของชาวมคธ หมายถึงภาษาบาลี | |
ภาษิต | คำกล่าว, คำหรือข้อความที่พูดไว้ | |
ภาษี | ค่าสิ่งของที่เก็บตามจำนวนสินค้าเข้าออก | |
ภิกขาจาร | เที่ยวไปเพื่อศึกษา, เที่ยวไปเพื่อขอ, เที่ยวบิณฑบาต | |
ภิกขุ | ดู ภิกษุ | |
ภิกขนี | ดู ภิกษุณี | |
ภิกขุนีปาฏิโมกข์ | ประมวลสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้สำหรับภิกษุณี มี ๓๑๑ ข้อ | |
ภิกขุนีวิภังค์ | คัมภีร์ที่จำแนกความแห่งสิกขาบททั้งหลายในภิกขุนีปาฏิโมกข์ อยู่ในพระวินัยปิฎก | |
ภิกขุนูปัสสยะ | สำนักนางภิกษุณี, เขตที่อยู่อาศัยของภิกษุณีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในวัด | |
ภิกขุปาฏิโมกข์ | ประมวลสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้สำหรับภิกษุ มี ๒๒๗ ข้อ | |
ภิกขุวิภังค์ | คัมภีร์จำแนกความแห่งสิกขาบทในภิกขุปาฏิโมกข์ อยู่ในพระวินัยปิฎก มักเรียกว่า มหาวิภังค์ | |
ภิกษาจารกาล | เวลาเป็นที่เที่ยวไปเพื่อภิกษา, เวลาบิณฑบาต | |
ภิกษุ | ชายผู้ได้อุปสมบทแล้ว, ชายที่บวชเป็นพระ, พระผู้ชาย; แปลตามรูปศัพท์ว่า “ผู้ขอ” หรือ “ผู้มองเห็นภัยในสังขาร” หรือ “ผู้ทำลายกิเลส”; ดู บริษัท ๔,สหธรรมิก, บรรพชิต, อุปสัมบัน ภิกษุสาวกรูปแรก ได้แก่ พระอัญญาโกณฑัญญะ | |
ภิกษุณี | หญิงที่ได้อุปสมบทแล้ว, พระผู้หญิงในพระพุทธศาสนา; เทียบ ภิกษุ | |
ภิกษุณีสงฆ์ | หมู่แห่งภิกษุณี, ประดาภิกษุณีทั้งหมดกล่าวโดยส่วนรวมหรือโดยฐานเป็นชุมนุมหนึ่ง, ภิกษุณีตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ประชุมกันเนื่องในกิจพิธี; ภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นในพรรษาที่ ๕ แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจโดยมี พระมหาปชาบดี-โคตมี พระมาตุจฉาซึ่งเป็นพระมารดาเลี้ยงของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระภิกษุณีรูปแรกดังเรื่องปรากฏในภิกขุนี-ขันธกะและในอรรถกถา สรุปได้ความว่า หลังจากพระเจ้าสุทโธทนะปรินิพพานแล้ว วันหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นิโครธารามในเมืองกบิลพัสดุ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้าและทูลขออนุญาตให้สตรีสละเรือนออกบวชในพระธรรมวินัย แต่การณ์นั้นมิใช่ง่าย พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสียถึง ๓ ครั้ง ต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองเวสาลี ประทับที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ละความพยายาม ถึงกับปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะเอง ออกเดินทางพร้อมด้วยเจ้าหญิงศากยะจำนวนมาก (อรรถกถาว่า ๕๐๐ นาง) ไปยังเมืองเวสาลี และได้มายืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มประตูนอกกูฏาคารศาลา พระบาทบวม พระวรกายเปรอะเปื้อนธุลี พระอานนท์มาพบเข้า สอบถามทราบความแล้วรีบช่วยไปกราบทูลขออนุญาตให้ แต่เมื่อพระอานนท์กราบทูลต่อพระพุทธเจ้าก็ถูกพระองค์ตรัสห้ามเสียถึง ๓ ครั้ง ในที่สุดพระอานนท์เปลี่ยนวิธีใหม่ โดยกราบทูลถามว่าสตรีออกบวชในพระธรรมวินัยแล้วจะสามารถบรรลุโสดา-ปัตติผลจนถึงอรหัตตผลได้หรือไม่ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่าได้ พระอานนท์จึงอ้างเหตุผลนั้นพร้อมทั้งการที่พระนางมหาปชาบดีเป็นพระมาตุจฉาและเป็นพระมารดาเลี้ยงมีอุปการะมากต่อพระองค์ แล้วขอให้ทรงอนุญาตให้สตรีออกบวช พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตโดยมีเงื่อนไขว่าพระนางจะต้องรับปฏิบัติตามครุธรรม ๘ ประการ พระนางยอมรับตามพุทธานุญาตที่ให้ถือว่า การรับครุ-ธรรมนั้นเป็นการอุปสมบทของพระนาง ส่วนเจ้าหญิงศากยะที่ตามมาทั้งหมด พระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์อุปสมบทให้ ในคราวนั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่าการให้สตรีบวชจะ | |
ภิกษุบริษัท | ชุมนุมภิกษุ, ชุมชนชาวพุทธฝ่ายภิกษุ (ข้อ ๑ ในบริษัท ๔) | |
ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม | ดู มูลายปฏิกัสสนารหภิกษุ | |
ภิกษุสงฆ์ | หมู่ภิกษุ, หมู่พระ; ดู สงฆ์ | |
ภุมมชกภิกษุ | ชื่อภิกษุผู้โจทพระทัพพ-มัลลบุตร คู่กับพระเมตติยะ | |
ภุมมเทวะ | เทวดาผู้อาศัยอยู่บนแผ่นดินเช่น พระภูมิ เป็นต้น | |
ภูต, ภูตะ | 1. สัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือเกิดเสร็จไปแล้ว, นัยหนึ่ง หมายถึงพระอรหันต์ เพราะไม่แสวงหาภพเป็นที่เกิดอีก อีกนัยหนึ่งหมายถึงสัตว์ที่เกิดเต็มตัวแล้ว เช่น คนคลอดจากครรภ์แล้ว ไก่ออกจากไข่แล้ว เป็นต้น ต่างกับ สัมภเวสี คือสัตว์ผู้ยังแสวงหาที่เกิด ซึ่งได้แก่ปุถุชนและพระเสขะผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอีก หรือสัตว์ในครรภ์และในไข่ที่ยังอยู่ระหว่างจะเกิด 2. ผี, อมนุษย์ 3. ภูตรูป คือ ธาตุ ๔ มักเรียก มหาภูต | |
ภูตกสิณ | กสิณ คือ ภูตรูป, กสิณคือธาตุ ๔ ได้แก่ ปฐวี ดิน, อาโป น้ำ, เตโช ไฟ, วาโย ลม | |
ภูตคาม | ของเขียวหรือพืชพรรณอันเป็นอยู่กับที่ มี ๕ ชนิด ๑. พืชเกิดจากเหง้า คือใช้เหง้าเพาะ เช่น ขมิ้น ๒. พืชเกิดจากต้น คือตอนออกได้จากไม้ต้นทั้งหลาย เช่น ต้นโพธิ์ ๓. พืชเกิดจากข้อ คือใช้ข้อปลูก ได้แก่ไม้ลำ เช่น อ้อย ไม้ไผ่ ๔. พืชเกิดจากยอด คือใช้ยอดปักก็เป็น ได้แก่ผักต่างๆ มีผักชีล้อม ผักบุ้ง เป็นต้น ๕. พืชเกิดจากเมล็ด คือใช้เมล็ดเพาะ ได้แก่ ถั่ว งา ข้าว, แปลตามรูปศัพท์ว่า บ้านของภูต; คู่กับ พีชคาม | |
ภูตคามวรรค | หมวดที่ว่าด้วยภูตคาม เป็นวรรคที่ ๒ แห่งปาจิตติยกัณฑ์ในมหาวิภังค์แห่งพระวินัยปิฎก | |
ภูตรูป | ดู มหาภูต | |
ภูมิ | 1. พื้นเพ, พื้น, ชั้น, ที่ดิน, แผ่นดิน 2. ชั้นแห่งจิต, ระดับจิตใจ, ระดับชีวิต มี ๔ คือ ๑. กามาวจรภูมิ ชั้นที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในกาม ๒. รูปาวจรภูมิ ชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูป หรือชั้นของพวกที่ได้รูปฌาน ๓. อรูปาวจรภูมิ ชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในอรูปหรือชั้นของพวกที่ได้อรูปฌาน ๔. โลกุตตรภูมิ ชั้นที่พ้นโลกหรือระดับพระอริยบุคคล | |
ภูษา | เครื่องนุ่งห่ม, ผ้าทรง | |
ภูษามาลา | ช่างแต่งผม (ใช้เมื่อกล่าวถึงพระอุบาลี) | |
เภทกรวัตถุ | เรื่องทำความแตกกัน, เรื่องที่จะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดความแตกแยกในสงฆ์, เหตุให้สงฆ์แตกกัน ท่านแสดงไว้ ๑๘ อย่าง; ดู อัฏฐารสเภทกรวัตถุ | |
เภทนกปาจิตตีย์ | อาบัติปาจิตตีย์ที่ต้องทำลายสิ่งของที่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติเสียก่อน จึงแสดงอาบัติได้ ได้แก่ สิกขาบทที่ ๔ แห่งรตนวรรคที่ ๙ แห่งปาจิตติยกัณฑ์ (ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๘๖ ทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือ เขาสัตว์) | |
เภริ, เภรี | กลอง | |
เภสัช | ยา, ยารักษาโรค, ยาแก้โรค เป็นอย่างหนึ่งในปัจจัย ๔, เภสัช ๕ ที่เป็นสัตตาหกาลิก รับไว้ฉันได้ตลอด ๗ วัน คือ ๑. สัปปิ เนยใส ๒. นวนีตะ เนยข้น ๓. เตละ น้ำมัน ๔. มธุ น้ำผึ้ง ๕. ผาณิต น้ำอ้อย; ส่วนยาแก้โรคที่ทำจากรากไม้ เปลือกไม้ ใบไม้ เป็นต้น จัดเป็นยาวชีวิก คือรับประเคนไว้แล้วเก็บไว้ฉันได้ตลอดชีวิต | |
เภสัชชขันธกะ | ชื่อขันธกะที่ ๖ แห่งคัมภีร์มหาวรรค วินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่องเภสัชคือ ยาบำบัดโรค ตลอดจนเรื่องยาคู อุทิสสมังสะ กัปปิยอกัปปิยะ และกาลิก ๔ | |
โภคอาทิยะ | ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย์มี ๕ คือ ๑. เลี้ยงตัว มารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ ให้เป็นสุข ๒. เลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุข ๓. บำบัดป้องกันภยันตราย ๔. ทำ พลี ๕ อย่าง ๕. ทำทานในสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบ | |
โภชชยาคู | ข้าวต้มสำหรับฉันให้อิ่ม เช่น ข้าวต้มหมู เป็นต้น มีคติอย่างเดียวกันกับอาหารหนัก เช่น ข้าวสวยต่างจากยาคูที่กล่าวถึงตามปกติในพระวินัย ซึ่งเป็นของเหลวใช้สำหรับดื่ม ภิกษุรับนิมนต์ในที่แห่งหนึ่งไว้ ฉันยาคูสามัญไปก่อนได้ แต่จะฉันโภชชาคูไปก่อนไม่ได้; ดู ยาคู | |
โภชนะ | ของฉัน, ของกิน, โภชนะทั้ง ๕ ได้แก่ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ | |
โภชนปฏิสังยุต | ธรรมเนียมที่เกี่ยวกับโภชนะ, ข้อที่ภิกษุสามเณรควรประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับการรับบิณฑบาตและฉันอาหาร, เป็นหมวดที่ ๒ แห่งเสขิยวัตร มี ๓๐ สิกขาบท | |
โภชนวรรค | หมวดที่ว่าด้วยเรื่องอาหาร เป็นวรรคที่ ๔ แห่งปาจิตติยกัณฑ์ ในมหาวิภังค์ แห่งพระวินัยปิฎก | |
โภชนะทีหลัง | ดู ปรัมปรโภชน์ | |
โภชนะเป็นของสมณะ | (ในสิกขาบทที่ ๒ แห่งโภชนวรรค) พวกสมณะด้วยกันนิมนต์ฉัน (ฉันเป็นหมู่ได้ ไม่ต้องอาบัติปาจิตตีย์) | |
โภชนะอันประณีต | เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม | |
โภชนาหาร | อาหารคือของกิน | |
โภชนียะ | ของควรบริโภค, ของสำหรับฉัน ได้แก่ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ | |
โภชเนมัตตัญญุตา | ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร, รู้จักประมาณในการกิน คือ กินเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้ชีวิตเป็นอยู่ได้ผาสุก มิใช่เพื่อสนุกสนานมัวเมา (ข้อ ๒ ใน อปัณณกปฏิปทา ๓) | |
มกุฏพันธนเจดีย์ | ที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ อยู่ทิศตะวันออกของนคร กุสินารา | |
มคธ | 1. ชื่อแคว้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แคว้นใหญ่แห่งชมพูทวีปครั้งพุทธกาล ตั้งอยู่ฝั่งใต้ของแม่น้ำคงคาตอนกลาง เป็นแคว้นที่มีอำนาจมากแข่งกับแคว้นโกศล และเป็นที่พระพุทธเจ้าทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนา ในสมัยพุทธกาล มคธมีนครหลวงชื่อ ราชคฤห์ ราชาผู้ปกครองพระนามว่า พิมพิสาร ตอนปลายพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารถูกโอรสชื่อ อชาตศัตรู ปลงพระชนม์ และขึ้นครองราชย์สืบแทน ต่อมาในสมัยพระเจ้ากาลาโศก หรือก่อนนั้น เมืองหลวงของมคธ ย้ายไปตั้งที่เมืองปาฏลีบุตร บนฝั่งแม่น้ำคงคา เหนือเมืองราชคฤห์ขึ้นไป มคธรุ่งเรืองถึงที่สุดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งแคว้นใหญ่อื่นทั้งหมดได้รวมเข้าอยู่ภายในมหาอาณาจักรของพระองค์ทั้งหมดแล้ว บัดนี้ บริเวณที่เคยเป็นแคว้นมคธในสมัยพุทธกาล เรียกว่า แคว้นพิหาร 2. เรียกภาษาที่ใช้พูดในแคว้นมคธ หรือภาษาของชาวแคว้นมคธว่า ภาษามคธ และถือกันว่า ภาษาบาลีที่ใช้รักษาพระพุทธพจน์สืบมาจนบัดนี้ คือ ภาษามคธ | |
มคธชนบท | แคว้นมคธ, ประเทศมคธ | |
มคธนาฬี | ทะนานที่ใช้อยู่ในแคว้นมคธ, ทะนานชาวมคธ | |
มคธภาษา | ภาษาของชนชาวมคธ, ภาษาของชนผู้อยู่ในแคว้นมคธ | |
มคธราช | ราชาผู้ครองแคว้นมคธ, หมายถึงพระเจ้าพิมพิสาร | |
มฆเทวะ | พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองแคว้น วิเทหะพระองค์หนึ่ง สมัยก่อนพุทธกาลเรียก มขาเทวะ ก็มี | |
มงคล | สิ่งที่ทำให้มีโชคดี, ตามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึง ธรรม ที่นำมาซึ่งความสุขความเจริญ, มงคล ๓๘ ประการ หรือเรียกเต็มว่า อุดมมงคล (มงคลอันสูงสุด) ๓๘ ประการ มีดังนี้ คาถาที่ ๑ = ๑. อเสวนา จ พาลานํ ไม่คบคนพาล ๒. ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา คบบัณฑิต ๓. ปูชา จ ปูชนียานํ บูชาคนที่ควรบูชา คาถาที่ ๒ = ๔. ปฏิรูปเทสวาโส จ อยู่ในปฏิรูปเทศ, อยู่ในถิ่นมีสิ่งแวดล้อมดี ๕. ปุพฺเพ จ กตปุญฺ?ตา ได้ทำความดีให้พร้อมไว้ก่อน, ทำความดีเตรียมพร้อมไว้แต่ต้น ๖. อตฺตสมฺมา-ปณิธิ จ ตั้งตนไว้ชอบ คาถาที่ ๓ = ๗. พาหุสจฺจญฺจ เล่าเรียนศึกษามาก, ทรงความรู้กว้างขวาง, ใส่ใจสดับตรับฟังค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ ๘. สิปฺปญฺจ มีศิลปวิทยา, ชำนาญในวิชาชีพของตน ๙. วินโย จ สุสิกฺขิโต มีระเบียบวินัย, ได้ฝึกอบรมตนไว้ดี ๑๐. สุภาสิตา จ ยา วาจา วาจาสุภาษิต, รู้จักใช้วาจาพูดให้เป็นผลดี คาถาที่ ๔ = ๑๑. มาตาปิตุอุปฏ??านํ บำรุง มารดาบิดา ๑๒/๑๓. ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห = ปุตฺตสงฺคห สงเคราะห์บุตรและ ทาร-สงฺคห สงเคราะห์ภรรยา ๑๔. อนากุลา จ กมฺมนฺตา การงานไม่อากูล คาถาที่ ๕ = ๑๕. ทานญฺจ รู้จักให้, เผื่อแผ่แบ่งปัน, บริจาคสงเคราะห์และบำเพ็ญประโยชน์ ๑๖. ธมฺมจริยา จ ประพฤติธรรม, ดำรงอยู่ในศีลธรรม ๑๗. ?าตกานญฺจ สงฺคโห สงเคราะห์ญาติ ๑๘. อนวชฺชานิ กมฺมานิ การงานที่ไม่มีโทษ, กิจกรรมที่ดีงาม เป็นประโยชน์ ไม่เป็นทางเสียหาย คาถาที่ ๖ = ๑๙. อารตี วิรตี ปาปา เว้นจากความชั่ว ๒๐. มชฺชปานา จ สญฺ?โม เว้นจากการดื่มน้ำเมา ๒๑. อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย คาถาที่ ๗ = ๒๒. คารโว จ ความเคารพ, การแสดงออกที่แสดงถึงความเป็นผู้รู้จักคุณค่าของบุคคล สิ่งของ หรือกิจการนั้นๆ และรู้จักให้ความสำคัญและความใส่ใจเอื้อเฟื้อโดยเหมาะสม ๒๓. นิวาโต จ ความสุภาพอ่อนน้อม, ถ่อมตน ๒๔. สนฺตุฏฺ?ี จ ความสันโดษ, ความเอิบอิ่ม พึงพอใจในผลสำเร็จที่ได้สร้างขึ้น หรือใน ปัจจัยลาภที่แสวงหามาได้ ด้วยเรี่ยวแรงความเพียรพยายามของตนเองโดยทางชอบธรรม ๒๕. กตญฺญุตา มีความกตัญญู ๒๖. กาเลน ธมฺมสฺสวนํ ฟังธรรมตามกาล, หาโอกาสแสวงความรู้ ในเรื่องที่แสดงหลักความจริง คาถาที่ ๘ = ๒๗. ขนฺตี จ มีความอดทน ๒๘. โสวจสฺสตา เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ๒๙. สมณานญฺจ ทสฺสนํ พบเห็นสมณะ, เยี่ยมเยือนเข้าหาท่านผู้สงบกิเลส ๓๐. กาเลน ธมฺมสากจฺฉา สนทนาธรรมตามกาล, หาโอกาสสนทนาถกเถียงเกี่ยวกับหลักความจริงและหลักความถูกต้องดีงาม คาถาที่ ๙ = ๓๑. ตโป จ มีความเพียรเผากิเลส, รู้จักบังคับควบคุมตน ไม่ปรนเปรอตามใจอยาก ๓๒. พฺรหฺม-จริยญฺจ ประพฤติพรหมจรรย์, ดำเนินตามอริยมรรค, การรู้จักควบคุมตนในทางเพศ หรือถือเมถุนวิรัติตามควร ๓๓. อริยสจฺจาน ทสฺสนํ เห็นอริยสัจจ์, เข้าใจความจริงของชีวิต ๓๔. นิพฺพาน-สจฺฉิกิริยา จ ทำพระนิพพานให้แจ้ง, บรรลุนิพพาน คาถาที่ ๑๐ = ๓๕. ผุฏฺ?สฺส โลกธมฺเมหิ?จิตฺตํ?ยสฺส?น?กมฺปติ ถูก โลกธรรมจิตไม่หวั่นไหว ๓๖. อโสกํ จิตไร้เศร้า ๓๗. วิรชํ จิตปราศจากธุลี ๓๘.เขมํ จิตเกษม | |
มณฑป | เรือนยอดที่มีรูปสี่เหลี่ยม | |
มณฑล | วงรอบ, บริเวณ, แคว้น, ดินแดน, วงการ | |
มณฑารพ | ดอกไม้ทิพย์ คือ ดอกไม้ในเมืองสวรรค์ที่ตกลงมาบูชาพระพุทธเจ้า ในวันปรินิพพาน ดาดาษทั่วเมืองกุสินารา และพระมหากัสสปได้เห็นอาชีวกคนหนึ่งถืออยู่ขณะเดินทางระหว่างเมืองกุสินารา กับเมืองปาวา จึงได้ถามข่าวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า และทราบการปรินิพพานจากอาชีวกนั้น เมื่อ ๗ วันหลังพุทธปรินิพพาน | |
มณเฑียร | ดู มนเทียร | |
มตกภัต | “ภัตเพื่อผู้ตาย”, อาหารที่ถวายแก่สงฆ์เพื่ออุทิศกุศลแก่ผู้ตาย; ดู สังฆทาน | |
มติ | ความคิด, ความเห็น | |
มทะ | ความมัวเมา (ข้อ ๑๕ ในอุปกิเลส ๑๖) | |
มทนิมฺมทโน | ธรรมยังความเมาให้สร่าง, ความสร่างเมา (ไวพจน์อย่างหนึ่งของวิราคะ) | |
มธุกะ | มะซาง, น้ำคั้นมะซางเจือน้ำแล้ว เรียก มธุกปานะ เป็นสัตตาหกาลิกอย่างหนึ่ง; ดู ปานะ | |
มธุรสูตร | พระสูตรที่พระมหากัจจายนะแสดงแก่พระเจ้ามธุรราช อวันตีบุตร กล่าวถึงความไม่ต่างกันของวรรณะ ๔ เหล่า คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ใจความว่าวรรณะ ๔ นี้ แม้จะถือตัวอย่างไร เหยียดหยามกันอย่างไร แต่ถ้าทำดีก็ไปสู่ที่ดีเหมือนกันหมด ถ้าทำชั่วก็ต้องได้รับโทษไปอบายเหมือนกันหมด ทุกวรรณะเสมอกันในพระธรรม-วินัย ออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมแล้ว ไม่เรียกว่าวรรณะไหน แต่เป็นสมณะเหมือนกันหมด เมื่อจบเทศนา พระเจ้ามธุรราชประกาศพระองค์เป็นอุบาสก (สูตรที่ ๓๔ ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิม-ปัณณาสก์ พระสุตตันตปิฎก) | |
มนะ | ใจ | |
มนตร์ | คำที่เชื่อถือว่าศักดิ์สิทธิ์, คำสำหรับสวด, คำสำหรับเสกเป่า (มักใช้สำหรับศาสนาพราหมณ์) | |
มนเทียร | เรือนหลวง; โบราณใช้ มณเฑียร | |
มนสิการ | การทำในใจ, ใส่ใจ, พิจารณา | |
มนัส | ใจ | |
มนุษย์ | “ผู้มีใจสูง” ได้แก่คนผู้มีมนุษย-ธรรม เช่น เมตตา กรุณา เป็นต้น, สัตว์ที่รู้จักคิดเหตุผล, สัตว์ที่มีใจสูง, คน | |
มนุษยชาติ | เหล่าคน, มวลมนุษย์ | |
มนุษยธรรม | ธรรมที่ทำคนให้เป็นมนุษย์ ได้แก่ ศีล ๕ และคุณธรรมเช่น เมตตา กรุณา เป็นต้น | |
มนุษยโลก | โลกมนุษย์คือ โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ | |
มนุสสโลก | โลกมนุษย์คือ โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ | |
มนุษยวิบัติ | ผู้มีความเป็นมนุษย์บกพร่องเช่น คนที่ถูกตอน เป็นต้น | |
มโน | ใจ (ข้อ ๖ ในอายตนะภายใน ๖) | |
มโนกรรม | การกระทำทางใจ ทางชั่ว เช่น คิดเพ่งเล็งจ้องจะเอาของเขา ทางดี เช่น คิดช่วยเหลือผู้อื่น; ดู กุศลกรรมบถ, อกุศลกรรมบถ | |
มโนทวาร | ทวารคือใจ, ทางใจ, ใจ โดยฐานเป็นทางทำมโนกรรม คือ สำหรับคิดนึกต่างๆ (ข้อ ๓ ในทวาร ๓) | |
มโนทุจริต | ความประพฤติชั่วด้วยใจ, ความทุจริตทางใจมี ๓ อย่าง ๑. อภิชฌา ความเพ่งเล็งอยากได้จ้องจะเอาของเขา ๒. พยาบาท ความขัดเคืองคิดร้าย ๓. มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากคลองธรรม (ข้อ ๓ ในทุจริต ๓) | |
มโนภาวนีย์ | ผู้เป็นที่เจริญใจ, ผู้ทำให้จิตใจของผู้นึกถึงเจริญงอกงาม หมายถึง บุคคลที่เมื่อเราระลึก คะนึง ใส่ใจถึง ก็ทำให้สบายใจ จิตใจสดชื่น ผ่องใส (ตามปกติ เป็นคุณสมบัติของพระภิกษุ) | |
มโนมยิทธิ | ฤทธิ์ทางใจ คือนิรมิตกายอื่นออกจากกายนี้ได้ เหมือนชักดาบออกจากฝัก หรืองูออกจากคราบ (ข้อ ๒ ในวิชชา ๘) | |
มโนรถ | ประสงค์, ความหวัง | |
มโนรถปูรณี | ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในอังคุตตรนิกาย แห่งพระสุตตันตปิฎก พระพุทธโฆษาจารย์เรียบเรียงจากอรรถกถาภาษาสิงหฬ เมื่อ พ.ศ. ใกล้จะถึง ๑๐๐๐ | |
มโนรม, มโนรมย์ | เป็นที่ชอบใจ, น่ารื่นรมย์ใจ, งาม | |
มโนวิญญาณ | ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะธรรมารมณ์เกิดกับใจ, ธรรมเกิดกับใจ เกิดความรู้ขึ้น, ความรู้อารมณ์ทางใจ (ข้อ ๖ ในวิญญาณ ๖) | |
มโนสัญเจตนาหาร | ความจงใจเป็นอาหาร เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดกรรม คือ ทำให้พูดให้คิด ให้ทำการต่างๆ (ข้อ ๓ ในอาหาร ๔) | |
มโนสัมผัส | อาการที่ใจ ธรรมารมณ์ และมโนวิญญาณประจวบกัน; ดู สัมผัส | |
มโนสัมผัสสชาเวทนา | เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ใจ ธรรมารมณ์ และมโน-วิญญาณประจวบกัน; ดู เวทนา | |
มโนสุจริต | ความประพฤติชอบด้วยใจ, ความสุจริตทางใจ มี ๓ อย่าง คือ ๑. อนภิชฌา ไม่โลภอยากได้ของเขา ๒. อพยาบาท ไม่พยาบาทปองร้ายเขา ๓. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม (ข้อ ๓ ในสุจริต ๓) | |
มรณะ | ความตาย | |
มรณธรรม | มีความตายเป็นธรรมดา, ธรรมคือความตาย | |
มรดก | ทรัพย์สมบัติของผู้ตาย | |
มรณภัย | ภัยคือความตาย, ความกลัวต่อความตาย | |
มรณสติ | ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีมาถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาให้ใจสงบจากอกุศลธรรม เกิดความไม่ประมาทและไม่หวาดกลัว คิดเร่งขวนขวายบำเพ็ญกิจและทำความดี (ข้อ ๗ ในอนุสติ ๑๐) | |
มรณัสสติ | ดู มรณสติ | |
มรรค | ทาง, หนทาง 1. มรรค ว่าโดยองค์ประกอบ คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกเต็มว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่า “ทางมีองค์ ๘ ประการอันประเสริฐ” เรียกสามัญว่า มรรคมีองค์ ๘ คือ ๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ ๓. สัมมา-วาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ ทำการชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ; ดู โพธิปักขิยธรรม 2. มรรค ว่าโดยระดับการให้สำเร็จกิจ คือ ทางอันให้ถึงความเป็นอริยบุคคลแต่ละขั้น, ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด เป็นชื่อแห่งโลกุตตรธรรมคู่กับผล มี ๔ ชั้นคือ โสดาปัตติมรรค ๑ สกทาคามิมรรค ๑ อนาคามิมรรค ๑ อรหัตตมรรค ๑ | |
มรรคจิต | จิตที่สัมปยุตด้วยมรรค; ดู มรรค 2, พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในมรรค มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ตั้งอยู่ชั่วขณะมรรคจิตเท่านั้น พ้นจากนั้นก็จะเกิดผลจิต กลายเป็นผู้ตั้งอยู่ในผล มีโสดาปัตติผลเป็นต้น | |
มรรคนายก | “ผู้นำทาง”, ผู้แนะนำจัดแจงในเรื่องทางบุญทางกุศล และเป็นหัวหน้านำชุมชนฝ่ายคฤหัสถ์ในศาสนพิธี ตามปกติทำหน้าที่ประจำอยู่กับวัดใดวัดหนึ่ง เรียกว่าเป็นมรรคนายกของวัดนั้นๆ, ผู้นำทางบุญของเหล่าสัปบุรุษ | |
มรัมมนิกาย | นิกายพม่า หมายถึงพระสงฆ์พม่า เรียกชื่อโดยสัญชาติ | |
มรัมมวงศ์ | ชื่อนิกายพระสงฆ์ลังกาที่บวชจากพระสงฆ์พม่า | |
มฤคทายวัน | ป่าเป็นที่ให้อภัยแก่เนื้อ หมายความว่าห้ามทำอันตรายแก่สัตว์ในป่านี้ เขียน มิคทายวัน ก็ได้ เช่น อิสิปตนมฤคทายวัน มัททกุจฉิมิคทายวัน เป็นต้น | |
มฤตยุราช | ยมราช, พญายม, ความตาย (พจนานุกรมเขียน มฤตยูราช) | |
มละ | มลทิน, เครื่องทำให้มัวหมอง เปรอะเปื้อน, กิเลสดุจสนิมใจ มี ๙ อย่างคือ ๑. โกธะ ความโกรธ ๒. มักขะ ความลบหลู่คุณท่าน ๓. อิสสา ความริษยา ๔. มัจฉริยะ ความตระหนี่ ๕. มายา มารยา ๖. สาเถยยะ ความโอ้อวดหลอกเขา ๗. มุสาวาท การพูดเท็จ ๘. ปาปิจฉา ความปรารถนาลามก ๙. มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด | |
มลทิน | ความมัวหมอง, ความไม่บริสุทธิ์เช่น ผ้าขาวเมื่อเป็นจุดสีต่างๆ ก็เรียกว่า ผ้ามีมลทิน นักบวชผิดศีลก็เรียกได้ว่า นักบวชมีมลทิน; ดู มละ | |
มลยชนบท | ชื่อชนบทแห่งหนึ่งในเกาะลังกา เป็นที่ทำสังคายนาครั้งที่ ๕ จารึกพระไตรปิฎกเป็นตัวอักษรลงในใบลานเป็นครั้งแรก | |
มหกรรม | การฉลอง, การบูชา | |
มหรคต | “อันถึงความเป็นสภาพใหญ่” “ซึ่งถึงความยิ่งใหญ่” หรือ “ซึ่งดำเนินไปด้วยฉันทะวิริยะจิตตะและปัญญาอย่างใหญ่” คือ เข้าถึงฌาน, เป็นรูปาวจร หรืออรูปาวจร, ถึงระดับวิกขัมภนวิมุตติ (เขียนอย่างบาลีเป็น มหัคคตะ) | |
มหรรณพ | ห้วงน้ำใหญ่, ทะเล | |
มหรสพ | การเล่นรื่นเริง | |
มหหมัด | ชื่อนบีคนสุดท้ายซึ่งเป็นผู้ประกาศศาสนาอิสลาม ปัจจุบันให้เขียน มะหะหมัด | |
มุหัมมัด | ชื่อนบีคนสุดท้ายซึ่งเป็นผู้ประกาศศาสนาอิสลาม ปัจจุบันให้เขียน มะหะหมัด | |
มหัคฆภัณฑ์ | ของมีค่ามาก เช่น แก้ว แหวน เงิน ทอง เป็นต้น | |
มหันตโทษ | โทษหนัก, โทษอย่างหนัก; คู่กับ ลหุโทษ | |
มหัศจรรย์ | แปลกประหลาดมาก, น่าพิศวงมาก | |
มหากรุณา | ความกรุณายิ่งใหญ่, กรุณามาก | |
มหากัจจายนะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เกิดในกัจจายนโคตรที่พระนครอุชเชนี เป็นบุตรปุโรหิตของพระราชาแห่งแคว้นอวันตี เรียนจบไตรเพทแล้ว ต่อมาได้เป็นปุโรหิตแทนบิดา พระเจ้าจัณฑปัชโชตตรัสสั่งให้หาทางนำพระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่กรุงอุชเชนี กัจจายนปุโรหิตจึงเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรม-เทศนาแล้ว บรรลุอรหัตตผล อุปสมบทแล้ว แสดงความประสงค์ที่จะอัญเชิญเสด็จพระพุทธเจ้าสู่แคว้นอวันตี พระพุทธองค์ตรัสสั่งให้ท่านเดินทางไปเอง ท่านเดินทางไปยังกรุงอุชเชนี ประกาศธรรม ยังพระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองทั้งหมดให้เลื่อมใสในพระศาสนาแล้ว จึงกลับมาเฝ้าพระบรมศาสดา ต่อมาได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางขยายความคำย่อให้พิสดาร มีเรื่องเล่าเป็นเกร็ดว่าท่านมีรูปร่างสวยงาม ผิวพรรณดังทองคำ บุตรเศรษฐีคนหนึ่งชื่อโสเรยยะเห็นแล้วเกิดมีอกุศลจิตต่อท่านว่าให้ได้อย่างท่านเป็นภรรยาตนหรือให้ภรรยาตนมีผิวพรรณงามอย่างท่าน เพราะอกุศลจิตนั้น เพศของโสเรยยะกลายเป็นหญิงไป นางสาวโสเรยยะแต่งงานมีครอบครัว มีบุตรแล้ว ต่อมาได้พบและขอขมาต่อท่าน เพศก็กลับเป็นชายตามเดิม โสเรยยะขอบวชในสำนักของท่าน และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง | |
มหากัปปินะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติในนคร กุกกุฏวดีในปัจจันตประเทศ ได้ทราบข่าวการอุบัติของพระพุทธเจ้าแล้วบังเกิดปีติศรัทธา สละราชสมบัติทรงม้าเดินทางไกลถึง ๓๐๐ โยชน์มาเฝ้าพระพุทธเจ้า สดับธรรมกถา บรรลุพระอรหัตแล้วได้รับอุปสมบท ส่วนพระอัครมเหสีชื่ออโนชา เมื่อทราบข่าวการอุบัติของพระพุทธเจ้าก็เกิดปีติและศรัทธาเช่นเดียวกัน พระนางทรงรถเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ฟังธรรมบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว รับบรรพชาจากพระอุบลวรรณาเถรีไปอยู่ในสำนักภิกษุณี ฝ่ายมหากัปปิน-เถระชอบอยู่สงบสงัดและมักอุทานว่า สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ ท่านสามารถแสดงธรรมให้ศิษย์บรรลุอรหัตตผลได้พร้อมคราวเดียวถึง ๑,๐๐๐ องค์ พระบรมศาสดายกย่องว่าท่านเป็นเอตทัคคะในทางให้โอวาทแก่ภิกษุ | |
มหากัสสปะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เกิดที่หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อมหาติตถะในแคว้นมคธ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ มีชื่อเดิมว่าปิปผลิมาณพ เมื่ออายุ ๒๐ ปี ได้สมรสกับนางภัททกาปิลานีตามความประสงค์ของมารดาบิดา แต่ไม่มีความยินดีในชีวิตครองเรือน ต่อมาทั้งสามีภรรยาได้สละเรือน นุ่งห่มผ้ากาสาวะออกบวชกันเอง เดินทางออกจากบ้านแล้วแยกกันที่ทางสองแพร่ง ปิปผลิมาณพได้พบพระพุทธเจ้าที่พหุปุตตนิโครธระหว่างเมืองราชคฤห์กับเมืองนาลันทา ได้อุปสมบทด้วยโอวาท ๓ ข้อ และได้ถวายผ้าสังฆาฏิของตนแลกกับจีวรเก่าของพระพุทธเจ้า แล้วสมาทานธุดงค์ ครั้นบวชล่วงไปแล้ว ๗ วัน ก็ได้บรรลุพระอรหัต เป็นผู้มีปฏิปทามักน้อย สันโดษ ได้รับยกย่องว่าเป็น เอตทัคคะในทางถือธุดงค์ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านได้เป็นผู้ริเริ่มและเป็นประธานในปฐมสังคายนา ท่านดำรงชีวิตสืบมาจนอายุ ๑๒๐ ปี จึงปรินิพพาน | |
มหากาล | ชื่อพระสาวกรูปหนึ่งในครั้งพุทธกาล ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นพี่ชายของพระจุลกาลที่ถูกภรรยาเก่าสองคนรุมกันจับสึกเสีย | |
มหาโกฏฐิตะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เกิดในตระกูลพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี บิดาเป็นมหาพราหมณ์ชื่ออัสสลายนะ มารดาชื่อจันทวดี ท่านเรียนจบไตรเพท ได้ฟังเทศนาของพระศาสดามีความเลื่อมใส บวชแล้ว เจริญวิปัสสนา ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางเป็นผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ | |
มหาโกลาหล | เสียงกึกก้องเอิกเกริกอย่างมาก, เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความแตกตื่นอย่างมาก | |
มหาคัณฐี | ชื่อนิกายพระสงฆ์พม่านิกายหนึ่ง | |
มหาชนบท | แคว้นใหญ่, ประเทศใหญ่ | |
มหาฎีกา | ดู ปรมัตถมัญชุสา | |
มหานาม | 1. พระเถระองค์หนึ่งในคณะพระปัญจวัคคีย์ เป็นพระอรหันต์รุ่นแรก 2. เจ้าชายในศากยวงศ์ โอรสของพระเจ้าอมิโตทนศากยะ เป็นเชฏฐภาดา (พี่ชาย) ของพระอนุรุทธะ ได้เป็นราชาปกครองแคว้นศากยะในสมัยพุทธกาล (ภายหลังพระเจ้าสุทโธทนะ) และเป็นอุบาสกผู้มีศรัทธาแรงกล้า ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาผู้ถวายของประณีต | |
มหานามศากยะ | ดู มหานาม 2. | |
มหานิกาย | ดู คณะมหานิกาย | |
มหาบพิตร | คำสำหรับพระสงฆ์ใช้พูดแทนพระนามพระเจ้าแผ่นดินหรือพระมเหสี | |
มหาบริจาค | การสละอย่างใหญ่ของพระโพธิสัตว์ตามที่อรรถกถาแสดงไว้มี ๕ อย่างคือ ๑. ธนบริจาค สละทรัพย์สมบัติเป็นทาน ๒. อังคบริจาค สละอวัยวะเป็นทาน ๓. ชีวิตบริจาค สละชีวิตเป็นทาน ๔. บุตรบริจาค สละลูกเป็นทาน ๕. ทาร-บริจาค สละเมียเป็นทาน | |
มหาบันถก | ดู มหาปันถกะ | |
มหาบุรุษ | บุรุษผู้ยิ่งใหญ่, คนที่ควรบูชา, ผู้มีมหาบุรุษลักษณะ เป็นคำใช้เรียกพระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้ | |
มหาบุรุษลักษณะ | ลักษณะของมหาบุรุษมี ๓๒ ประการ มาในมหาปทานสูตร แห่งทีฆนิกาย มหาวรรค และลักขณสูตร แห่งทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระสุตตันต-ปิฎก โดยย่อ คือ ๑. สุปติฏ??ิตปาโท มีฝ่าพระบาทราบเสมอกัน ๒. เหฏ??าปาทตเลสุ จกฺกานิ ชาตานิ ลายพื้นพระบาทเป็นจักร ๓. อายตปณฺหิ มีส้นพระบาทยาว (ถ้าแบ่ง ๔, พระชงฆ์ตั้งอยู่ในส่วนที่ ๓) ๔. ทีฆงฺคุลิ มีนิ้วยาวเรียว (หมายถึงนิ้วพระหัตถ์และพระบาทด้วย) ๕. มุทุตลนหตฺถ-ปาโท ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม ๖. ชาลหตฺถปาโท ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าบาทมีลายดุจตาข่าย ๗. อุสฺสงฺขปาโท มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ อัฐิข้อพระบาทตั้งลอยอยู่หลังพระบาท กลับกลอกได้คล่อง เมื่อทรงดำเนินผิดกว่าสามัญชน ๘. เอณิชงฺโฆ พระชงฆ์เรียวดุจแข้งเนื้อทราย ๙. ?ิตโก ว อโนนมนฺโต อุโภหิ ปาณิตเลหิ ชณฺณุกานิ ปรามสติ เมื่อยืนตรง พระหัตถ์ทั้งสองลูบจับถึงพระชานุ ๑๐. โกโสหิตวตฺถคุยฺโห มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก ๑๑. สุวณฺณวณฺโณ มีฉวีวรรณดุจสีทอง ๑๒. สุขุมจฺฉวิ พระฉวีละเอียด ธุลีละอองไม่ติดพระกาย ๑๓. เอเกกโลโม มีเส้นพระโลมาเฉพาะขุมละเส้นๆ ๑๔. อุทฺธคฺคโลโม เส้นพระโลมาดำสนิท เวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีปลายงอนขึ้นข้างบน ๑๕. พฺรหฺมุชุคตฺโต พระกายตั้งตรงดุจท้าวมหาพรหม ๑๖. สตฺตุสฺสโท มีพระมังสะอูมเต็มในที่ ๗ แห่ง (คือหลังพระหัตถ์ทั้ง ๒, และหลังพระบาททั้ง ๒,พระอังสาทั้ง ๒, กับลำพระศอ) ๑๗. สีหปุพฺพฑฺฒกาโย มีส่วนพระสรีรกายบริบูรณ์ (ล่ำพี) ดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ ๑๘. ปีตนฺตรํโส พระปฤษฎางค์ราบเต็มเสมอกัน?๑๙. นิโคฺรธ-ปริมณฺฑโล ส่วนพระกายเป็นปริมณฑล ดุจปริมณฑลแห่งต้นไทร (พระกายสูงเท่ากับวาของพระองค์) ๒๐. สมวฏ?ฏกฺ-ขนฺโธ มีลำพระศอกลมงามเสมอตลอด ๒๑. รสคฺคสคฺคี มีเส้นประสาทสำหรับรับรสพระกระยาหารอันดี ๒๒. สีหหนุ มีพระหนุดุจคางแห่งราชสีห์ (โค้งเหมือนวงพระจันทร์) ๒๓. จตฺตาฬีส-ทนฺโต มีพระทนต์ ๔๐ ซี่ (ข้างละ ๒๐ ซี่) ๒๔. สมทนฺโต พระทนต์เรียบเสมอกัน ๒๕. อวิวรทนฺโต พระทนต์เรียบสนิทมิได้ห่าง ๒๖. สุสุกฺกทาโ? เขี้ยวพระทนต์ทั้ง ๔ ขาวงามบริสุทธิ์ ๒๗. ปหูตชิวฺโห พระชิวหาอ่อนและยาว (อาจแผ่ปกพระนลาฏได้) ๒๘. พฺรหฺมสโร กรวิกภาณี พระสุรเสียงดุจท้าวมหาพรหม ตรัสมีสำเนียงดุจนกการเวก ๒๙. อภินีลเนตฺโต พระเนตรดำสนิท ๓๐. โคปขุโม ดวงพระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด ๓๑. อุณฺณาภมุกนฺตเร ชาตา มีอุณาโลมระหว่างพระโขนง เวียนขวาเป็นทักษิณา-วัฏ ๓๒.อุณฺหิสสีโส มีพระเศียรงามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ ดู อนุพยัญชนะ | |
มหาบุรุษลักษณพยากรณศาสตร์ | วิชาว่าด้วยการทำนายลักษณะของมหาบุรุษ | |
มหาปชาบดีโคตมี | พระน้านางของพระพุทธเจ้า เดิมเรียกว่าพระนางปชาบดี เป็นธิดาของพระเจ้าอัญชนะแห่งโกลิยวงศ์ เป็นพระภคินีของพระนางสิริมหามายา เมื่อพระมหามายาสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าสุทโธทนะได้มอบพระสิตธัตถะให้พระนางเลี้ยงดู ต่อมาเมื่อพระเจ้าสุทโธทนะสวรรคตแล้ว พระนางได้ออกบวชเป็นภิกษุณีองค์แรก ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู (บวชนานรู้เหตุการณ์ก่อนใครๆ); ดู ภิกษุณีสงฆ์ | |
มหาปทานสูตร | สูตรแรกในคัมภีร์ทีฆ-นิกาย มหาวรรค พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ เฉพาะอย่างยิ่ง พระวิปัสสีซึ่งเป็นองค์แรกในจำนวน ๗ นั้น | |
มหาปเทส | “ข้อสำหรับอ้างใหญ่” (ในทางพระวินัย) หลักอ้างอิงสำหรับเทียบเคียง ๔ คือ ๑. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งเป็นอกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นกัปปิยะ สิ่งนั้นไม่ควร ๒. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นอกัปปิยะ สิ่งนั้นควร ๓. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นอกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นกัปปิยะ สิ่งนั้นไม่ควร ๔. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นอกัปปิยะ สิ่งนั้นควร | |
มหาปรันตปะ | นามหนึ่งที่ท่านถือมาว่าอยู่ในรายชื่ออสีติมหาสาวก แต่ไม่ปรากฏว่ามีชาติภูมิเป็นมาอย่างไร บางทีจะเกิดจากความสับสนกับพระนามพระราชบิดาของพระเจ้าอุเทน (ที่ถูก คือ ปุณณสุนาปรันตะ) | |
มหาปรินิพพานสูตร | สูตรที่ ๓ ในคัมภีร์ทีฆนิกาย มหาวรรค พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยเหตุการณ์ใกล้พุทธปรินิพพาน จนถึงโทณพราหมณ์แจกพระบรม-สารีริกธาตุเสร็จ | |
มหาปวารณา | ดู ปวารณา | |
มหาปันถกะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรของธิดาเศรษฐี กรุงราชคฤห์ ได้ไปวัดกับเศรษฐีผู้เป็นตา ได้ฟังเทศนาของพระศาสดาอยู่เสมอ จิตก็น้อมไปทางบรรพชา จึงบวชเป็นสามเณรตั้งแต่ยังเด็ก เมื่ออายุครบ ก็อุปสมบท ต่อมาได้สำเร็จพระอรหัต พระศาสดาทรงยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ ทางด้านเป็นผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฏฏ์ เพราะท่านชำนาญในอรูปาวจรฌานและเชี่ยวชาญทางด้านวิปัสสนา ท่านเคยรับหน้าที่เป็นภัตตุทเทสก์ คือ ผู้จัดแจกอาหารของสงฆ์ด้วย, ท่านเป็นพี่ชายของพระจุลลปันถกะ หรือจูฬบันถก | |
มหาปุริสลักษณะ | ดู มหาบุรุษลักษณะ | |
มหาปุริสวิตก | ธรรมที่พระมหาบุรุษตรึก, ความนึกคิดของพระโพธิสัตว์ | |
มหาปุริสอาการ | อาการของพระมหา-บุรุษ, ท่าทางของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ | |
มหาโพธิ | ต้นโพธิเป็นที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรียกกันสั้นๆ ว่า โพธิ์ตรัสรู้; ดู โพธิ์ | |
มหาภารตะ | ชื่อบทประพันธ์มหากาพย์เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของอินเดีย แสดงเรื่องสงคราม ระหว่างกษัตริย์ตระกูลปาณฑพกับกษัตริย์ตระกูลเการพ เพื่อแย่งความเป็นใหญ่ ในหัสตินาปุระ นครหลวงของกษัตริย์จันทรวงศ์ ตระกูลเการพ | |
มหาภิเนษกรมณ์ | การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่, การเสด็จออกบวชของพระพุทธเจ้า | |
มหาภูต | ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม; ดู มหาภูตรูป | |
มหาภูตรูป | รูปใหญ่, รูปต้นเดิม คือ ธาตุ ๔ ได้แก่ ปฐวี อาโป เตโช และวาโย; ดู ธาตุ ๔ | |
มหาโมคคัลลานะ | ชื่อพระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า เกิดที่หมู่บ้านโกลิตคาม ไม่ไกลจากเมืองราชคฤห์ เป็นบุตรของพราหมณ์นายบ้านแห่งนั้น มารดาชื่อนางโมคคัลลีพราหมณี เดิมเรียกชื่อว่าโกลิตะ ตามชื่อหมู่บ้านซึ่งบิดาของตนเป็นใหญ่ ต่อมาเรียก โมคคัลลานะ เพราะเป็นบุตรของนางพราหมณีโมคคัลลี หรือโมคคัลลานีนั้น ได้เป็นสหายกับอุปติสสะ (คือพระสารีบุตร) มาแต่เด็ก ต่อมาทั้งสองได้ออกบวชเป็นปริพาชกอยู่ในสำนักของสญชัยปริพาชกจนกระทั่งอุปติสสะได้พบพระอัสสชิ สหายทั้งสองจึงได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า บวชในพระธรรมวินัย เมื่อบวชแล้วถึงวันที่ ๗ โกลิตะ ซึ่งบัดนี้เรียกว่า มหาโมคคัลลานะ ก็ได้บรรลุอรหัตตผล ท่านได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์มาก ในตอนปลายพุทธกาล ท่านถูกพวกโจรซึ่งได้รับจ้างจากพวกเดียรถีย์ ลอบสังหารด้วยการทุบตีจนร่างแหลก พระพุทธเจ้าโปรดให้ก่อสถูปบรรจุอัฐิธาตุของท่านไว้ใกล้ซุ้มประตูวัดเวฬุวัน ในเขตเมืองราชคฤห์, ชื่อของท่านนิยมเรียกกันง่ายๆ ว่า พระโมคคัลลาน์ | |
มหายาน | ยานใหญ่, ชื่อเรียกพระพุทธ-ศาสนา นิกายที่มีผู้นับถือมากในประเทศฝ่ายเหนือของทวีปเอเชีย เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ทิเบต และมองโกเลีย บางทีเรียก อุตรนิกาย (นิกายฝ่ายเหนือ) บ้าง อาจารยวาท (ลัทธิของอาจารย์) บ้าง เป็นคู่กับ ทักษิณนิกาย (นิกายฝ่ายใต้) คือ เถรวาท ที่ฝ่ายมหายานเรียกว่า หีน-ยาน อย่างที่นับถืออยู่ในประเทศไทยและลังกา เป็นต้น | |
มหาวงส์ | ชื่อหนังสือพงศาวดารลังกาเรื่องใหญ่ แต่งขึ้นในสมัยอรรถกถา พรรณนาความเป็นมาของพระพุทธ-ศาสนาและชาติลังกา ตั้งแต่เริ่มตั้งวงศ์กษัตริย์สิงหล ในตอนพุทธปรินิพพาน จนถึงประมาณ พ.ศ. ๙๐๔ ประวัติต่อจากนั้นมีคัมภีร์ชื่อ จูฬวงส์ พรรณนาต่อไป | |
มหาวรรค | ชื่อคัมภีร์อันเป็นหมวดที่ ๓ ใน ๕ หมวด แห่งพระวินัยปิฎก คือ อาทิ-กัมม์ ปาจิตตีย์ มหาวรรค จุลวรรค ปริวาร, มหาวรรค มี ๑๐ ขันธกะ (หมวด ตอน หรือบท) คือ ๑. มหาขันธกะ (ว่าด้วยการบรรพชาอุปสมบท เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์หลังตรัสรู้ใหม่ๆ และการประดิษฐานพระศาสนา) ๒. อุโปสถ-ขันธกะ (ว่าด้วยอุโบสถและสีมา) ๓. วัสสูปนายิกขันธกะ (ว่าด้วยการเข้าพรรษา) ๔. ปวารณาขันธกะ (ว่าด้วยปวารณา) ๕. จัมมขันธกะ (ว่าด้วยเครื่องหนัง เช่น รองเท้าและเครื่องลาด) ๖. เภสัชชขันธกะ (ว่าด้วยเรื่องยาตลอดจนเรื่องกัปปิยะ อกัปปิยะ และกาลิกทั้ง ๔) ๗. กฐินขันธกะ (ว่าด้วยกฐิน) ๘. จีวร-ขันธกะ (ว่าด้วยเรื่องจีวร) ๙. จัมเปยย-ขันธกะ (ว่าด้วยข้อควรทราบบางอย่างเกี่ยวกับนิคหกรรมต่างๆ) ๑๐. โกสัมพิก-ขันธกะ (ว่าด้วยเรื่องภิกษุชาวเมือง โกสัมพีวิวาทกันและสังฆสามัคคี); ดู ไตรปิฎก | |
มหาวัน | 1. ป่าใหญ่ใกล้นครกบิลพัสดุ์ที่พระพุทธเจ้าเคยไปทรงพักผ่อนระหว่างประทับอยู่ที่นิโครธาราม 2. ป่าใหญ่ใกล้เมืองเวสาลี ณ ที่นี้พระศาสดาทรงอนุญาตให้มีภิกษุณีขึ้นเป็นครั้งแรก โดยประทานอนุญาตให้พระมหาปชาบดีบวชเป็นภิกษุณี ด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ | |
มหาวิกัฏ | ยา ๔ อย่าง คือ มูตร คูถ เถ้า ดิน ภิกษุอาพาธฉันได้โดยไม่ต้องรับประเคน คือไม่ต้องอาบัติเพราะขาดประเคน | |
มหาวิโลกนะ | “การตรวจดูอันยิ่งใหญ่”, ข้อตรวจสอบพิจารณาที่สำคัญ หมายถึงสิ่งที่พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาตรวจดูก่อนจะตัดสินพระทัยประทานปฏิญาณรับอาราธนาของเทพยดาทั้งหลายว่าจะจุติจากดุสิตเทวโลกไปบังเกิดในพระชาติสุดท้ายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มี ๕ อย่าง (นิยมเรียกว่า ปัญจมหาวิโลกนะ) คือ ๑. กาล คืออายุกาลของมนุษย์จะต้องอยู่ระหว่าง ๑๐๐ ถึง ๑ แสนปี (ไม่สั้นกว่าร้อยปี ไม่ยาวเกินแสนปี) ๒. ทีปะ คือทวีปจะอุบัติแต่ในชมพูทวีป ๓. เทสะ คือประเทศ หมายถึงถิ่นแดน จะอุบัติในมัธยมประเทศ และทรงกำหนดเมืองกบิลพัสดุ์เป็นที่พึงบังเกิด ๔. กุละ คือตระกูล จะอุบัติเฉพาะในขัตติยสกุล หรือในพราหมณสกุล และทรงกำหนดว่าเวลานั้นโลกสมมติว่าตระกูลกษัตริย์ประเสริฐกว่าตระกูลพราหมณ์ จึงจะอุบัติในตระกูลกษัตริย์ โดยทรงเลือกพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพุทธบิดา ๕. ชเนตติอายุปริจเฉท คือมารดา และกำหนดอายุของมารดา มารดาจะต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ ไม่โลเลในบุรุษ ไม่เป็นนักดื่มสุรา ได้บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัลป์ ทรงกำหนดได้พระนางมหามายา และทรงทราบว่าพระนางจะมีพระชนม์อยู่เกิน ๑๐ เดือนไปได้ ๗ วัน (สรุปตามแนวอรรถกถาชาดก) | |
มหาวิหาร | ชื่อวัดสำคัญวัดหนึ่ง เป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศลังกาสมัยอดีต เคยเป็นที่พำนักของพระพุทธโฆษาจารย์ชาวชมพูทวีปเมื่อครั้งท่านมาแปลคัมภีร์สิงหฬเป็นมคธ | |
มหาศาล | ผู้มั่งคั่ง, ผู้มั่งมี, ยิ่งใหญ่ | |
มหาศาลนคร | ชื่อถิ่นที่กั้นอาณาเขตด้านตะวันออกของมัชฌิมชนบท | |
มหาสติปัฏฐานสูตร | ชื่อสูตรที่ ๙ แห่งทีฆนิกาย มหาวรรค พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยสติปัฏฐาน ๔ | |
มหาสมณะ | พระนามหนึ่งสำหรับเรียกสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า | |
มหาสังคาม | ชื่อตอนหนึ่งในคัมภีร์ปริวาร พระวินัยปิฎก | |
มหาสัจจกสูตร | สูตรที่ ๓๖ ในคัมภีร์ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระสุตตันต-ปิฎก ว่าด้วยการอบรมกาย อบรมจิต และมีเรื่องราวในพุทธประวัติตอนแสวงหาโมกขธรรมคือ ตอนตรัสรู้รวมอยู่ด้วย | |
มหาสัตว์ | “สัตว์ผู้มีคุณความดีอันยิ่งใหญ่” หมายถึงพระโพธิสัตว์ | |
มหาสาล | ดู มหาศาล | |
มหาสาวก | สาวกผู้ใหญ่, สาวกชั้นหัวหน้า เรียนกันมาว่ามี ๘๐ องค์; ดู อสีติ-มหาสาวก | |
มหาสีมา | สีมาใหญ่ผูกทั่ววัด มีขัณฑสีมาซ้อนภายในอีกชั้นหนึ่งโดยมีสีมันตริกคั่น | |
มหาสุทธันตปริวาส | สุทธันตปริวาสที่ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายคราวด้วยกันจนจำจำนวนอาบัติและจำนวนวันที่ปิดไม่ได้เลย อยู่ปริวาสจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์ โดยกะเอาตั้งแต่บวชมาถึงเวลาใดยังไม่เคยต้องสังฆาทิเสสเลยเป็นช่วงแรก แล้วถอยหลังจากปัจจุบันไปจนตลอดเวลาที่ไม่ได้ต้องอีกช่วงหนึ่ง กำหนดเอาระหว่างช่วงทั้งสองนี้ | |
มหาสุทัศน์ | พระเจ้าจักรพรรดิผู้ครองราชสมบัติอยู่ที่กุสาวดีราชธานีในอดีต-กาล ก่อนพุทธกาลช้านาน เมืองกุสาวดีนี้ในสมัยพุทธกาลมีชื่อว่าเมืองกุสินารา, เรื่องมาในมหาสุทัสสนสูตรแห่งคัมภีร์ทีฆนิกาย มหาวรรค พระสุตตันตปิฎก | |
มหาสุบิน | ความฝันอันยิ่งใหญ่, ความฝันครั้งสำคัญ หมายถึงความฝัน ๕ เรื่อง (ปัญจมหาสุบิน) ของพระโพธิสัตว์ก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระอรรถกถาจารย์ระบุว่าทรงพระสุบินในคืนก่อนตรัสรู้ คือขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖) ดังตรัสไว้ในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต พระสุตตันตปิฎก ในความว่า ๑. เสด็จบรรทมโดยมีมหาปฐพีนี้เป็นพระแท่นไสยาสน์ ขุนเขาหิมวันต์เป็นเขนย พระหัตถ์ซ้ายเหยียดหยั่งลงในมหาสมุทรด้านบูรพทิศ พระหัตถ์ขวาเหยียดหยั่งลงในมหาสมุทรด้านปัจฉิม-ทิศ พระบาททั้งสองเหยียดหยั่งลงในมหาสมุทรด้านทักษิณ (ข้อนี้เป็นบุพนิมิตหมายถึง การได้ตรัสรู้สัมมา-สัมโพธิญาณอันไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่กว่า) ๒. มีหญ้าคางอกขึ้นจากนาภีของพระองค์สูงขึ้นจดท้องฟ้า (หมายถึงการที่ได้ตรัสรู้อารยอัษฎางคิกมรรคแล้วทรงประกาศออกไปถึงมวลมนุษย์และหมู่เทพ) ๓. หมู่หนอนตัวขาวศีรษะดำพากันไต่ขึ้นมาจากพระบาทคลุมเต็มถึงชานุมณฑล (หมายถึงการที่คนนุ่งขาวชาวคฤหัสถ์มากมายพากันถึงตถาคตเป็นสรณะตลอดชีวิต) ๔. นกทั้งหลายสี่จำพวกมีสีต่างๆ กันบินมาแต่ทิศทั้งสี่ แล้วมาหมอบจับที่เบื้องพระบาท กลับกลายเป็นสีขาวไปหมดสิ้น (หมายถึงการที่ชนทั้งสี่วรรณะมาออกบวชรวมกันในพระธรรมวินัย และได้ประจักษ์แจ้งวิมุตติธรรม) ๕. เสด็จดำเนินไปมาบนภูเขาคูถลูกใหญ่ แต่ไม่ทรงแปดเปื้อนด้วยคูถ (หมายถึงการทรงเจริญลาภในปัจจัยสี่พรั่งพร้อม แต่ไม่ทรงลุ่มหลงติดพัน ทรงบริโภคด้วยพระปัญญาที่ดำรงจิตปลอดโปร่งเป็นอิสระ) | |
มหาอุทายี | พระเถระผู้ใหญ่องค์หนึ่ง เป็นบุตรพราหมณ์ในเมืองกบิลพัสดุ์ เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเมื่อคราวที่พระองค์เสด็จไปโปรดพระญาติ จึงออกบวชและได้สำเร็จอรหัตตผล ท่านเป็นพระธรรมกถึกองค์หนึ่ง มีเรื่องเกี่ยวกับการที่ท่านแสดงธรรมบ้าง สนทนาธรรมบ้าง ปรากฏในพระไตรปิฎกหลายแห่ง คราวหนึ่งพระอานนท์เห็นท่านนั่งแสดงธรรมอยู่ มีคฤหัสถ์ล้อมฟังอยู่เป็นชุมนุมใหญ่ จึงได้กราบทูลเล่าถวายพระพุทธเจ้าเป็นข้อปรารภให้พระองค์ทรงแสดง ธรรมเทศกธรรม หรือองค์คุณของธรรมกถึก ๕ ประการคือ ๑. แสดงธรรมไปโดยลำดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดความ ๒. อ้างเหตุผลให้ผู้ฟังเข้าใจ ๓. มีจิตเมตตาปรารถนาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ ๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น | |
มหินทเถระ | พระเถระองค์หนึ่ง เป็นราช-โอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช และเป็นผู้นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานที่เกาะลังกา | |
มหี | ชื่อแม่น้ำสายหนึ่งในแม่น้ำใหญ่ ๕ สาย ที่เรียกว่าปัญจมหานทีของอินเดีย (คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี) | |
มเหสี | 1. ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่, ฤษีใหญ่, พระพุทธเจ้า 2. ชายาของพระเจ้าแผ่นดิน | |
มักขะ | ลบหลู่คุณท่าน, หลู่ความดีของผู้อื่น (ข้อ ๒ ในมละ ๙, ข้อ ๕ ในอุปกิเลส ๑๖) | |
มักน้อย | พอใจด้วยของเพียงน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น (อัปปิจฉะ) | |
มักมาก | โลภ, อยากได้มากๆ | |
มักใหญ่ | อยากเป็นใหญ่เป็นโต เกินคุณ-ธรรมและความสามารถของตน | |
มัคคญาณ | ญาณในอริยมรรค, ปัญญาสูงสุดที่กำจัดกิเลสเป็นเหตุให้บรรลุความเป็นอริยบุคคลชั้นหนึ่งๆ; ดู ญาณ ๑๖ | |
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ | ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง (ข้อ ๕ ในวิสุทธิ ๗) | |
มังคลัตถทีปนี | ชื่อคัมภีร์อธิบายมงคล ๓๘ ประการ ในมงคลสูตร พระสิริ- มังคลาจารย์แห่งลานนาไทย รจนาขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๗ โดยรวบรวมคำอธิบายจากอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกาต่างๆ เป็นอันมาก พร้อมทั้งคำบรรยายของท่านเอง | |
มังสะ | เนื้อ, ชิ้นเนื้อ | |
มังสจักขุ | จักษุคือดวงตา เป็นคุณพิเศษของพระพุทธเจ้า คือ มีพระเนตรที่งาม แจ่มใส ไว และเห็นได้ชัดเจนแม้ในระยะไกล (ข้อ ๑ ในจักขุ ๕) | |
มังสวิรัติ | การงดเว้นกินเนื้อสัตว์ (เป็นคำบัญญัติภายหลัง) | |
มัจจุ, มัจจุราช | ความตาย | |
มัจจุมาร | ความตายเป็นมาร เพราะตัดโอกาสที่จะทำความดีเสียทั้งหมด (ข้อ ๕ ในมาร ๕) | |
มัจฉะ | ชื่อแคว้นหนึ่งใน ๑๖ แคว้นใหญ่แห่งชมพูทวีปครั้งพุทธกาล อยู่ทิศใต้ของแคว้นสุรเสนะ นครหลวงชื่อ วิราฏ (บางแห่งว่า สาคละ แต่ความจริงสาคละเป็นเมืองหลวงของแคว้นมัททะ) | |
มัจฉริยะ | ความตระหนี่, ความหวง (ข้อ ๔ ในมละ ๙), มัจฉริยะ ๕ คือ ๑. อาวาสมัจฉริยะ ตระหนี่ที่อยู่ ๒. กุล-มัจฉริยะ ตระหนี่สกุล ๓. ลาภมัจฉริยะ ตระหนี่ลาภ ๔. วัณณมัจฉริยะ ตระหนี่วรรณะ ๕. ธัมมมัจฉริยะ ตระหนี่ธรรม (ข้อ ๙ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม) | |
มัชชะ | ของเมา, น้ำที่ทำผู้ดื่มให้เมา หมายถึงสุราและเมรัย | |
มัชฌันติกสมัย | เวลาเที่ยงวัน | |
มัชฌิมะ | ภิกษุผู้มีพรรษาครบ ๕ แล้ว แต่ยังไม่ถึง ๑๐ พรรษา (ต่ำกว่า ๕ เป็นนวกะ, ๑๐ พรรษาขึ้นไปเป็นเถระ) | |
มัชฌิมชนบท | ประเทศที่ตั้งอยู่ในท่ามกลาง, ถิ่นกลาง เป็นอาณาเขตที่กำหนดว่า มีความเจริญรุ่งเรือง มีประชาชนหนาแน่น มีเศรษฐกิจดี เป็นศูนย์กลางแห่งการค้าขาย เป็นที่อยู่แห่งนักปราชญ์ผู้มีวิชาความรู้ เป็นที่รวมของการศึกษาเป็นต้น กำหนดเขต ทิศบูรพา ภายในนับแต่มหาศาลนครเข้ามา อาคเนย์ นับแต่แม่น้ำสัลลวตีเข้ามา ทักษิณ นับแต่เสตกัณณิกนิคมเข้ามา ปัศจิม นับแต่ถูนคามเข้ามา อุดร นับแต่ภูเขาอุสีรธชะเข้ามา นอกจากนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท หรือ ปัจจันตประเทศ | |
มัชฌิมประเทศ | ประเทศที่ตั้งอยู่ในท่ามกลาง, ถิ่นกลาง เป็นอาณาเขตที่กำหนดว่า มีความเจริญรุ่งเรือง มีประชาชนหนาแน่น มีเศรษฐกิจดี เป็นศูนย์กลางแห่งการค้าขาย เป็นที่อยู่แห่งนักปราชญ์ผู้มีวิชาความรู้ เป็นที่รวมของการศึกษาเป็นต้น กำหนดเขต ทิศบูรพา ภายในนับแต่มหาศาลนครเข้ามา อาคเนย์ นับแต่แม่น้ำสัลลวตีเข้ามา ทักษิณ นับแต่เสตกัณณิกนิคมเข้ามา ปัศจิม นับแต่ถูนคามเข้ามา อุดร นับแต่ภูเขาอุสีรธชะเข้ามา นอกจากนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท หรือ ปัจจันตประเทศ | |
มัชฌิมนิกาย | นิกายที่สองแห่งพระสุตตันตปิฎก มีพระสูตรยาวปานกลาง ๑๕๒ สูตร | |
มัชฌิมโพธิกาล | ระยะเวลาบำเพ็ญพุทธกิจของพระพุทธเจ้าตอนกลางระหว่างปฐมโพธิกาลกับปัจฉิมโพธิกาล นับคร่าวๆ ตั้งแต่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธไปแล้ว ถึงปลงพระชนมายุสังขาร; ดู พุทธประวัติ | |
มัชฌิมภาณกาจารย์ | อาจารย์ผู้สาธยายคัมภีร์มัชฌิมนิกาย คือ ผู้ได้ศึกษาทรงจำและชำนาญในมัชฌิมนิกาย | |
มัชฌิมภูมิ | ขั้น ชั้น หรือระดับพระมัชฌิมะ คือพระปูนกลาง, ระดับอายุ คุณธรรม ความรู้ ที่นับว่าเป็นพระปูนกลาง (ระหว่างพระนวกะ กับพระเถระ) คือ มีพรรษาเกิน ๕ แต่ยังไม่ครบ ๑๐ และมีความรู้พอรักษาตัวเป็นต้น; เทียบ เถรภูมิ, นวกภูมิ | |
มัชฌิมยาม | ยามกลาง, ส่วนที่ ๒ ของราตรี เมื่อแบ่งคืนหนึ่งเป็น ๓ ส่วน, ระยะเที่ยงคืน; เทียบ ปฐมยาม, ปัจฉิมยาม | |
มัชฌิมวัย | ตอนท่ามกลางอายุ, วัยเมื่อเป็นผู้ใหญ่หรือกลางคน, วัยกลางคน ระหว่างปฐมวัยกับปัจฉิมวัย; ดู วัย | |
มัชฌิมา | ท่ามกลาง, กลาง | |
มัชฌิมาปฏิปทา | ทางสายกลาง, ข้อปฏิบัติเป็นกลางๆ ไม่หย่อนจนเกินไป และไม่ตึงจนเกินไป ไม่ข้องแวะที่สุด ๒ อย่างคือ กามสุขัลลิกานุโยค และ อัตต-กิลมถานุโยค, ทางแห่งปัญญา (เริ่มด้วยปัญญา, ดำเนินด้วยปัญญา นำไปสู่ปัญญา) อันพอดีที่จะให้ถึงจุดหมาย คือ ความดับกิเลสและความทุกข์ หรือความหลุดพ้นเป็นอิสระสิ้นเชิง ได้แก่มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น สัมมาสมาธิเป็นที่สุด | |
มัตตัญญุตา | ความเป็นผู้รู้จักประมาณ คือความพอเหมาะพอดี เช่น รู้จักประมาณในการแสวงหา รู้จักประมาณในการใช้จ่ายพอเหมาะพอควรเป็นต้น; ดู สัปปุริสธรรม | |
มัตถลุงค์ | มันสมอง | |
มัททกุจฉิมิคทายวัน | ป่าเป็นที่ให้อภัยแก่เนื้อ ชื่อมัททกุจฉิ อยู่ที่พระนครราชคฤห์ เป็นแห่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเคยทำนิมิตต์โอภาสแก่พระอานนท์ | |
มัททวะ | ความอ่อนโยน, ความนุ่มนวล, ความละมุนละไม (ข้อ ๕ ในราชธรรม ๑๐) | |
มัธยม | มีในท่ามกลาง; ระดับกลาง; เที่ยงวัน หมายถึงเวลาเที่ยงที่ปรากฏตามเงาแดด ถ้าเป็นเวลาที่คิดเฉลี่ยกันแล้วเรียกว่า สมผุส | |
มัธยมชนบท | เมืองในท่ามกลางชมพูทวีป; ดู มัชฌิมชนบท | |
มัธยมประเทศ | ดู มัชฌิมชนบท | |
มันตานี | นางพราหมณีผู้เป็นมารดาของปุณณมาณพ | |
มันตานีบุตร | บุตรของนางมันตานี หมายถึงพระปุณณมันตานีบุตร | |
มัลละ | ชื่อแคว้นหนึ่งบรรดา ๑๖ แคว้นใหญ่แห่งชมพูทวีปครั้งพุทธกาล ปกครองแบบสามัคคีธรรม โดยมีพวกมัลล-กษัตริย์เป็นผู้ปกครอง นครหลวงเดิมชื่อกุสาวดี แต่ภายหลังแยกเป็น กุสินารา กับ ปาวา | |
มัลลกษัตริย์ | คณะกษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นมัลละ แบ่งเป็น ๒ พวก คณะหนึ่งปกครองที่นครกุสินารา อีกคณะหนึ่งปกครองที่นครปาวา | |
มัลลชนบท | แคว้นมัลละ | |
มัลลปาโมกข์ | มัลลกษัตริย์ชั้นหัวหน้า | |
มัสสุ | หนวด | |
มาคสิรมาส | เดือน ๑, เดือนอ้าย | |
มาฆบูชา | การบูชาใหญ่ในวันเพ็ญ เดือน ๓ ในโอกาสคล้ายวันประชุมใหญ่แห่งพระสาวก ซึ่งเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต ณ พระเวฬุวันหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน ที่พระองค์ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ (การปลงพระชนมายุ-สังขาร ก็ตรงในวันนี้) | |
มาฆมาส | เดือน ๓ | |
มาณพ | ชายหนุ่ม, ชายรุ่น, คนรุ่นหนุ่ม (มักใช้แก่ชายหนุ่มในวรรณะพราหมณ์) | |
มาตรา | กิริยากำหนดประมาณ, เครื่องวัดต่างๆ เช่นวัดขนาด จำนวน เวลา ระยะทางเป็นต้น, มาตราที่ควรรู้ดังนี้ มาตราเวลา ๑๕ หรือ ๑๔ วัน เป็น ๑ ปักษ์ ๒ ปักษ์ “ ๑ เดือน ๔ เดือน “ ๑ ฤดู ๓ ฤดู “ ๑ ปี (๑๔ วัน คือ ข้างแรมเดือนขาด, ๑๒ เดือน ตั้งแต่เดือนอ้ายมีชื่อดังนี้: มาคสิร-มาส, ปุสสมาส, มาฆมาส, ผัคคุณมาส, จิตตมาส, เวสาขมาส, เชฏฐมาส, อาสาฬห-มาส, สาวนมาส, ภัททปทมาส หรือโปฏฐปทมาส, อัสสยุชมาส หรือ ปฐม-กัตติกมาส, กัตติกมาส; ฤดู ๓ คือเหมันต์ ฤดูหนาว เริ่มเดือนมาคสิระ ของเราเป็นแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒, คิมหะ ฤดูร้อน เริ่มเดือนจิตตะ ของเราเป็นแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔, วัสสานะ ฤดูฝน เริ่มเดือนสาวนะ ของเราเป็นแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘) มาตราวัด ๗ เล็ดข้าว เป็น ๑ นิ้ว ๑๒ นิ้ว ” ๑ คืบ ๒ คืบ ” ๑ ศอก ๔ ศอก เป็น ๑ วา ๒๕ วา ” ๑ อุสภะ ๘๐ อุสภะ ” ๑ คาวุต ๔ คาวุต ” ๑ โยชน์ หรือ ๔ ศอก เป็น ๑ ธนู ๕๐๐ ธนู ” ๑ โกสะ ๔ โกสะ ” ๑ คาวุต ๔ คาวุต ” ๑ โยชน์ มาตราตวง ๔ มุฏฐิ(กำมือ) เป็น ๑ กุฑวะ (ฟายมือ) ๒ กุฑวะ ” ๑ ปัตถะ (กอบ) ๒ ปัตถะ ” ๑ นาฬี (ทะนาน) ๔ นาฬี ” ๑ อาฬหก มาตรารูปิยะ ๕ มาสก เป็น ๑ บาท ๔ บาท ” ๑ กหาปณะ | |
มาตาปิตุอุปัฏฐาน | การบำรุงมารดาบิดาให้มีความสุข (ข้อ ๓ ในสัปปุริสบัญญัติ ๓, ข้อ ๑๑ ในมงคล ๓๘) | |
มาติกา | 1. หัวข้อ เช่น หัวข้อแห่งการเดาะกฐิน 2. แม่บท เช่นตัวสิกขาบท เรียกว่าเป็นมาติกา เพราะจะต้องขยายความต่อไป | |
มาตุคาม | ผู้หญิง | |
มาตุฆาต | ฆ่ามารดา (ข้อ ๑ ในอนันตริย-กรรม ๕) | |
มาตุจฉา | พระน้านาง, น้าผู้หญิง | |
มานะ | ความถือตัว, ความสำคัญตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่ (ข้อ ๘ ในสังโยชน์ ๑๐, ข้อ ๓ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ข้อ ๕ ในอนุสัย ๗, ข้อ ๑๓ ในอุปกิเลส ๑๖) | |
มานัต, มานัตต์ | ชื่อวุฏฐานวิธี คือระเบียบปฏิบัติในการออกจากครุกาบัติ แปลว่า “นับ” หมายถึงการนับราตรี ๖ ราตรี คือ ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว เมื่อจะปลดเปลื้องตนจากอาบัติ ตามธรรมเนียมแห่งอาบัติสังฆาทิเสส จะต้องไปหาสงฆ์จตุรวรรค ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง กราบภิกษุแก่กว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวคำขอมานัตตามอาบัติที่ต้อง ภิกษุรูปหนึ่งสวดประกาศให้มานัตแล้ว ภิกษุรูปนั้นประพฤติมานัต ๖ ราตรี เป็นวุฏฐานวิธีเบื้องต้น แห่งการออกจากครุกาบัติ แล้วสงฆ์จึงสวดระงับอาบัตินั้น (แต่ถ้าปกปิดอาบัติไว้ ต้องอยู่ปริวาสก่อนจึงประพฤติมานัตได้) | |
มานัตตจาริกภิกษุ | ภิกษุผู้ประพฤติมานัต | |
มานัตตารหภิกษุ | ภิกษุผู้ควรแก่มานัต คือ ภิกษุที่อยู่ปริวาสครบกำหนดแล้ว มีสิทธิขอมานัตกะสงฆ์ และสงฆ์จะให้มานัตเพื่อประพฤติในลำดับต่อไป | |
มายา | เจ้าหญิงแห่งเทวทหนคร เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าอัญชนะ เป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นพระราชชนนี ของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระพุทธมารดา เจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๗ วัน พระนางก็สวรรคต, คำว่า มายา ในที่นี้ มิได้หมายความว่ามารยา ที่แปลว่า เล่ห์เหลี่ยม หรือล่อลวง แต่หมายถึงความงามที่ทำให้ผู้ประสบงวยงงหลงใหล, นิยมเรียกว่า พระนางสิริมหามายา | |
มายา | มารยา คือเจ้าเล่ห์ (ข้อ ๕ ในมละ ๙, ข้อ ๙ ในอุปกิเลส ๑๖) | |
มาร | 1. สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี มี ๕ คือ ๑. กิเลสมาร มารคือกิเลส ๒. ขันธมาร มารคือเบญจขันธ์ ๓. อภิ-สังขารมาร มารคืออภิสังขารที่ปรุงแต่งกรรม ๔. เทวปุตตมาร มารคือเทพบุตร ๕. มัจจุมาร มารคือความตาย 2. พระยามารที่มีเรื่องราวปรากฏบ่อยๆ ในคัมภีร์ คอยมาแทรกแซงเหตุการณ์ต่างๆ ในพระพุทธประวัติ เช่น ยกพลเสนามาผจญพระมหาบุรุษในวันที่จะตรัสรู้ พระองค์ชนะพระยามารได้ด้วยทรงนึกถึงบารมี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฏฐาน เมตตา อุเบกขา มารในกรณีเช่นนี้ บางทีท่านอธิบายออกชื่อว่าเป็นวสวัตดีมาร ซึ่งครองแดนหนึ่งในสวรรค์ชั้นสูงสุดแห่งระดับกามาวจรคือปรนิมมิตวสวัตดี เป็นผู้คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนกามซึ่งอยู่ในอำนาจครอบงำของตน อย่างไรก็ดี ผู้ศึกษาพึงพิจารณาเทียบจากมาร ๕ ในความหมายที่ 1. ด้วย | |
มารยา | การแสร้งทำ, เล่ห์เหลี่ยม, การล่อลวง, กิริยาที่แสดงอาการให้เขาเห็นผิดจากที่เป็นจริง | |
มารยาท | กิริยา, กิริยาวาจาที่ถือว่าเรียบร้อย | |
มาลัย | ดอกไม้ที่ร้อยเป็นพวง | |
มาลา | พวงดอกไม้, ดอกไม้ทั่วไป, สร้อยคอ | |
มาลี | ดอกไม้ทั่วไป, ผู้แต่งด้วยพวงดอกไม้ | |
มาส | เดือน; ดู มาตรา, เดือน | |
มาสก | ชื่อมาตราเงินในครั้งโบราณ ห้ามาสกเป็นหนึ่งบาท | |
มิคจิรวัน | พระราชอุทยานของพระเจ้า โกรัพยะ ผู้ครองแคว้นกุรุ | |
มิจฉัตตะ | ความเป็นผิด, ภาวะที่ผิดมี ๑๐ อย่าง คือ ๑. มิจฉาทิฏฐิ ๒. มิจฉา-สังกัปปะ ๓. มิจฉาวาจา ๔. มิจฉา- กัมมันตะ ๕. มิจฉาอาชีวะ ๖. มิจฉา-วายามะ ๗. มิจฉาสติ ๘. มิจฉาสมาธิ ๙. มิจฉาญาณ ๑๐. มิจฉาวิมุตติ; ตรงข้ามกับ สัมมัตตะ | |
มิจฉา | ผิด | |
มิจฉากัมมันตะ | ทำการผิดได้แก่กายทุจริต ๓ คือ ๑. ปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ ๒. อทินนา-ทาน ลักทรัพย์ ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม (ข้อ ๔ ในมิจฉัตตะ ๑๐) | |
มิจฉาจริยา | ความประพฤติผิด | |
มิจฉาจาร | ความประพฤติผิด | |
มิจฉาชีพ | การหาเลี้ยงชีพในทางผิด; ดู มิจฉาอาชีวะ | |
มิจฉาญาณ | รู้ผิด เช่น ความรู้ในการคิดอุบายทำความชั่วให้สำเร็จ (ข้อ ๙ ใน มิจฉัตตะ ๑๐) | |
มิจฉาทิฏฐิ | เห็นผิด, ความเห็นที่ผิดจากคลองธรรม เช่นเห็นว่าทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี มารดาบิดาไม่มี เป็นต้น และความเห็นที่ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (พจนานุกรมเขียน มิจฉาทิฐิ); (ข้อ ๑ ในมิจฉัตตะ ๑๐) | |
มิจฉาวณิชชา | การค้าขายไม่ชอบธรรม, การค้าขายที่ผิดศีลธรรม หมายถึงอกรณีย-วณิชชา (การค้าขายที่อุบาสกไม่ควรทำ) ๕ อย่าง คือ ๑. สัตถวณิชชา ค้าอาวุธ ๒. สัตตวณิชชา ค้ามนุษย์ ๓. มังสวณิชชา ค้าสัตว์สำหรับฆ่าเป็นอาหาร ๔. มัชช-วณิชชา ค้าของเมา ๕. วิสวณิชชา ค้ายาพิษ | |
มิจฉาวาจา | วาจาผิด, เจรจาผิด ได้แก่ ๑. มุสาวาท พูดปด ๒. ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด ๓. ผรุสวาจา พูดคำหยาบ ๔. สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ (ข้อ ๓ ในมิจฉัตตะ ๑๐) | |
มิจฉาวายามะ | พยายามผิด ได้แก่พยายามทำบาป พยายามทำอกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เป็นต้น (ข้อ ๖ ใน มิจฉัตตะ ๑๐) | |
มิจฉาวิมุตติ | หลุดพ้นผิด เช่นการระงับกิเลสบาปธรรมได้ชั่วคราว เพราะกลัวอำนาจพระเจ้าผู้สร้างโลก การระงับกิเลสนั้นดี แต่การระงับเพราะกลัวอำนาจพระเจ้าสร้างโลกนั้น ผิดทาง ไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้จริง (ข้อ ๑๐ ในมิจฉัตตะ ๑๐) | |
มิจฉาสติ | ระลึกผิด ได้แก่ระลึกถึงการอันจะยั่วให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ (ข้อ ๗ ในมิจฉัตตะ ๑๐) | |
มิจฉาสมาธิ | ตั้งใจผิด ได้แก่จดจ่อ ปักใจแน่วในกามราคะ ในพยาบาท เป็นต้น (ข้อ ๘ ในมิจฉัตตะ ๑๐) | |
มิจฉาสังกัปปะ | ดำริผิด ได้แก่ดำริแส่ไปในกาม ดำริพยาบาท ดำริเบียดเบียนเขา (ข้อ ๒ ในมิจฉัตตะ ๑๐) | |
มิจฉาอาชีวะ | เลี้ยงชีพผิด ได้แก่หาเลี้ยงชีพในทางทุจริตผิดวินัยหรือผิดศีลธรรม เช่น หลอกลวงเขา เป็นต้น (ข้อ ๕ ในมิจฉัตตะ ๑๐) | |
มิตตปฏิรูป | คนเทียมมิตร, มิตรเทียมไม่ใช่มิตรแท้ มี ๔ พวก ได้แก่ ๑. คนปอกลอก มีลักษณะ ๔ คือ ๑. คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ๒. ยอมเสียน้อยโดยหวังจะเอาให้มาก ๓. ตัวมีภัย จึงมาช่วยทำกิจของเพื่อน ๔. คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๒. คนดีแต่พูด มีลักษณะ ๔ คือ ๑. ดีแต่ยกของหมดแล้วมาปราศรัย ๒. ดีแต่อ้างของยังไม่มีมาปราศรัย ๓. สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๔. เมื่อเพื่อนมีกิจ อ้างแต่เหตุขัดข้อง ๓. คนหัวประจบ มีลักษณะ ๔ คือ ๑. จะทำชั่วก็เออออ ๒. จะทำดีก็เออออ ๓. ต่อหน้าสรรเสริญ ๔. ลับหลังนินทา ๔. คนชวนฉิบหาย มีลักษณะ ๔ คือ ๑. คอยเป็นเพื่อนดื่มน้ำเมา ๒. คอยเป็นเพื่อนเที่ยวกลางคืน ๓. คอยเป็นเพื่อนเที่ยวดูการเล่น ๔. คอยเป็นเพื่อนไปเล่นการพนัน (เขียนว่า มิตรปฏิรูป, มิตรปฏิรูปก์ ก็มี) | |
มิตตปฏิรูปก์ | คนเทียมมิตร, มิตรเทียมไม่ใช่มิตรแท้ มี ๔ พวก ได้แก่ ๑. คนปอกลอก มีลักษณะ ๔ คือ ๑. คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ๒. ยอมเสียน้อยโดยหวังจะเอาให้มาก ๓. ตัวมีภัย จึงมาช่วยทำกิจของเพื่อน ๔. คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๒. คนดีแต่พูด มีลักษณะ ๔ คือ ๑. ดีแต่ยกของหมดแล้วมาปราศรัย ๒. ดีแต่อ้างของยังไม่มีมาปราศรัย ๓. สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๔. เมื่อเพื่อนมีกิจ อ้างแต่เหตุขัดข้อง ๓. คนหัวประจบ มีลักษณะ ๔ คือ ๑. จะทำชั่วก็เออออ ๒. จะทำดีก็เออออ ๓. ต่อหน้าสรรเสริญ ๔. ลับหลังนินทา ๔. คนชวนฉิบหาย มีลักษณะ ๔ คือ ๑. คอยเป็นเพื่อนดื่มน้ำเมา ๒. คอยเป็นเพื่อนเที่ยวกลางคืน ๓. คอยเป็นเพื่อนเที่ยวดูการเล่น ๔. คอยเป็นเพื่อนไปเล่นการพนัน (เขียนว่า มิตรปฏิรูป, มิตรปฏิรูปก์ ก็มี) | |
มิตร | เพื่อน, ผู้มีความเยื่อใยดี, ผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ แยกเป็นมิตรแท้ ๔ พวก มิตรเทียม (มิตตปฏิรูป) ๔ พวก | |
มิตรแท้ | มิตรด้วยใจจริง มี ๔ พวก ได้แก่ ๑. มิตรอุปการะ มีลักษณะ ๔ คือ ๑. เพื่อนประมาท ช่วยรักษาเพื่อน ๒. เพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์ของเพื่อน ๓. เมื่อมีภัย เป็นที่พึ่งพำนักได้ ๔. มีกิจจำเป็น ช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก ๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มีลักษณะ ๔ คือ ๑. บอกความลับแก่เพื่อน ๒. ปิดความลับของเพื่อน ๓. มีภัยอันตรายไม่ละทิ้ง ๔. แม้ชีวิตก็สละให้ได้ ๓. มิตรแนะประโยชน์ มีลักษณะ ๔ คือ ๑. จะทำชั่วเสียหายคอยห้ามปรามไว้ ๒. คอยแนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี ๓. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ไม่เคยได้รู้ได้ฟัง ๔. บอกทางสุขทางสวรรค์ให้ ๔. มิตรมีน้ำใจ มีลักษณะ ๔ คือ ๑. เพื่อนมีทุกข์ พลอยทุกข์ด้วย ๒. เพื่อนมีสุข พลอยดีใจ ๓. เขาติเตียนเพื่อน ช่วยยับยั้งแก้ให้ ๔. เขาสรรเสริญเพื่อน ช่วยพูดเสริมสนับสนุน | |
มิถิลา | ชื่อนครหลวงของแคว้นวิเทหะ | |
มิทธะ | ความท้อแท้, ความเซื่องซึม, มาคู่กับถีนะ ในนิวรณ์ ๕; ดู ถีนมิทธะ | |
มิลักขะ | คนป่าเถื่อน, คนดอย, คนที่ยังไม่เจริญ, พวกเจ้าถิ่นเดิมของชมพูทวีป มิใช่ชาวอริยกะ | |
มิลินท์ | มหากษัตริย์เชื้อชาติกรีก แห่งสาคลประเทศในชมพูทวีป ผู้เป็นปราชญ์ยิ่งใหญ่ โต้วาทะชนะนักปราชญ์ทั้งหลายในสมัยนั้น จนในที่สุดได้โต้กับพระนาคเสน ยอมเลื่อมใสหันมานับถือพระพุทธศาสนา และเป็นองค์อุปถัมภกสำคัญ พระนามภาษากรีกว่า พระเจ้า เมนานเดอร์ ครองราชย์ พ.ศ. ๔๒๓ สวรรคต พ.ศ. ๔๕๓ | |
มิลินทปัญหา | คัมภีร์สำคัญ บันทึกคำสนทนาตอบปัญหาธรรมระหว่างพระ นาคเสนกับพระยามิลินท์ | |
มิสสกสโมธาน | การประมวลครุกาบัติระคนกัน, เป็นชื่อปริวาสสำหรับภิกษุผู้ปรารถนาจะออกจากอาบัติสังฆาทิเสสต่างวัตถุกัน หมายความว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัวต่างสิกขาบทกัน ซึ่งมีวันปิดเท่ากันบ้าง ไม่เท่ากันบ้าง ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสเหล่านั้น ขอปริวาสจากสงฆ์เพื่ออยู่กรรมชดใช้ทั้งหมด | |
มุข | หัวหน้า, หัวข้อ, ปาก, ทาง | |
มุขปาฐ | คำออกจากปาก, ข้อความที่ท่องจำกันมาด้วยปากเปล่า ไม่ได้เขียนไว้, ต่อปากกันมา (พจนานุกรมเขียน มุขบาฐ) | |
มุขปุญฉนะ | ผ้าเช็ดปาก | |
มุจจลินท์ | 1. ต้นจิก, ไม้จิก ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระพุทธเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นไม้นี้ ๗ วัน (สัปดาห์ที่ ๓ ตามพระวินัย, สัปดาห์ที่ ๖ ตามคัมภีร์ชาดก) 2. ชื่อพระยานาคที่เข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า ขณะที่ประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นจิก (มุจจลินท์) ฝนตกพรำเจือด้วยลมหนาวตลอด ๗ วัน พระยามุจจลินท-นาคราชจึงแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าเพื่อป้องกันฝนและลมมิให้ถูกต้องพระกาย นี่เป็นมูลเหตุของการสร้างพระพุทธรูปนาคปรก | |
มุจจิตุกัมยตาญาณ | ดู มุญจิตุกัมยตาญาณ | |
มุจฉา | ลมจับ, สลบ, สวิงสวาย | |
มุญจิตุกัมยตาญาณ | ญาณอันคำนึงด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย, ความหยั่งรู้ที่ทำให้ต้องการจะพ้นไปเสีย คือ ต้องการจะพ้นไปเสียจากสังขารที่เบื่อหน่ายแล้ว ด้วยนิพพิทานุปัสสนาญาณ (ข้อ ๖ ในวิปัสสนาญาณ ๙) | |
มุฏฐิ | กำมือ; ดู มาตรา | |
มุตตะ | ดู มูตร | |
มุทิตา | ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี, เห็นผู้อื่นอยู่ดีมีสุข ก็แช่มชื่นเบิกบานใจด้วย เห็นเขาประสบความสำเร็จเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ก็พลอยยินดีบันเทิงใจ พร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุน ไม่กีดกันริษยา; ธรรมตรงข้ามคือ อิสสา (ข้อ ๓ ในพรหมวิหาร ๔) | |
มุนี | นักปราชญ์, ผู้สละเรือนและทรัพย์สมบัติแล้ว มีจิตใจตั้งมั่นเป็นอิสระไม่เกาะเกี่ยวติดพันในสิ่งทั้งหลาย สงบเย็น ไม่ทะเยอทะยานฝันใฝ่ ไม่แส่พร่านหวั่นไหว มีปัญญาเป็นกำลังและมีสติรักษาตน, พระสงฆ์หรือนักบวชที่เข้าถึงธรรมและดำเนินชีวิตอันบริสุทธิ์ | |
มุสา | เท็จ, ปด, ไม่จริง | |
มุสาวาท | พูดเท็จ, พูดโกหก, พูดไม่จริง (ข้อ ๔ ในกรรมกิเลส ๔, ข้อ ๗ ในมละ ๙, ข้อ ๔ ในอกุศลกรรมบถ ๑๐) | |
มุสาวาทวรรค | ตอนที่ว่าด้วยเรื่องพูดปดเป็นต้น เป็นวรรคที่ ๑ แห่งปาจิตติย-กัณฑ์ ในมหาวิภังค์ แห่งวินัยปิฎก | |
มุสาวาทา เวรมณี | เว้นจากการพูดเท็จ, เว้นจากการพูดโกหก, เว้นจากพูดไม่จริง (ข้อ ๔ ในศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และกุศลกรรมบถ ๑๐) | |
มูควัตร | ข้อปฏิบัติของผู้ใบ้, ข้อปฏิบัติของผู้เป็นดังคนใบ้, การถือไม่พูดจากันเป็นวัตรของเดียรถีย์อย่างหนึ่ง มีพุทธ-บัญญัติห้ามไว้มิให้ภิกษุถือ เพราะเป็นการเป็นอยู่อย่างปศุสัตว์ | |
มูตร | ปัสสาวะ, น้ำเบา, เยี่ยว | |
มูรธาภิเษก | พิธีหลั่งน้ำรดพระเศียรในงานราชาภิเษกหรือพระราชพิธีอื่น | |
มูล | (ในคำว่า “อธิกรณ์อันภิกษุจะพึงยกขึ้นว่าได้นั้น ต้องเป็นเรื่องมีมูล”) เค้า, ร่องรอย, ลักษณะอาการที่ส่อว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น, เรื่องที่จัดว่ามีมูลมี ๓ อย่าง คือ ๑. เรื่องที่ได้เห็นเอง ๒. เรื่องที่ได้ยินเอง หรือผู้อื่นบอกและเชื่อว่าเป็นจริง ๓. เรื่องที่รังเกียจโดยอาการ | |
มูลค่า | ราคา | |
มูลเฉท | “ตัดรากเหง้า” หมายถึงอาบัติปาราชิก ซึ่งผู้ต้องขาดจากความเป็นภิกษุและภิกษุณี | |
มูลนาย | (ในคำว่า “เลขสม คือ เลขสมัครมีมูลนาย”) ผู้อุปการะเป็นเจ้าบุญนายคุณ อย่างที่ใช้ว่า เจ้าขุนมูลนาย | |
มูลบัญญัติ | ข้อบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้เดิม, บัญญัติเดิม; คู่กับ อนุบัญญัติ (ตามปกติใช้เพียงว่า บัญญัติกับอนุ-บัญญัติ) | |
มูลเภสัช | “มีรากเป็นยา” ยาทำจากรากไม้ เช่น ขมิ้น ขิง ว่านน้ำ ข่า แห้วหมู เป็นต้น | |
มูลแห่งพระบัญญัติ | ต้นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัย | |
มูลายปฏิกัสสนา | การชักเข้าหาอาบัติเดิม เป็นชื่อวุฏฐานวิธีอย่างหนึ่ง; ดู ปฏิกัสสนา | |
มูลายปฏิกัสสนารหภิกษุ | ภิกษุผู้ควรแก่การชักเข้าหาอาบัติเดิม หมายถึงภิกษุผู้กำลังอยู่ปริวาส หรือประพฤติมานัตอยู่ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสข้อเดียวกันหรืออาบัติสังฆาทิเสสข้ออื่นเข้าอีกก่อนที่สงฆ์จะอัพภาน ต้องตั้งต้นอยู่ปริวาสหรือประพฤติมานัตใหม่ | |
เมฆิยะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เคยเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธองค์ คราวหนึ่ง ได้เห็นสวนมะม่วงริมฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา น่ารื่นรมย์ จึงขอลาพระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญเพียรที่นั่น พระพุทธเจ้าห้ามไม่ฟัง ท่านไปบำเพ็ญเพียร ถูกอกุศลวิตกต่างๆ รบกวน ในที่สุดต้องกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาเรื่องธรรม ๕ ประการสำหรับบ่มเจโต-วิมุตติ เป็นต้น ที่พระศาสดาทรงแสดงจึงได้สำเร็จพระอรหัต | |
เมณฑกานุญาต | ข้ออนุญาตที่ปรารภเมณฑกเศรษฐี คืออนุญาตให้ภิกษุยินดีของที่กัปปิยการก จัดซื้อมาด้วยเงินที่ผู้ศรัทธาได้มอบให้ไว้ตามแบบอย่างที่เมณฑกเศรษฐีเคยทำ | |
เมตตคูมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรีที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ณ ปาสาณเจดีย์ | |
เมตตา | ความรัก, ความปรารถนาให้เขามีความสุข, แผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า (ข้อ ๙ ในบารมี ๑๐, ข้อ ๑ ในพรหมวิหาร ๔, ข้อ ๒ ใน อารักขกรรมฐาน ๔); ดู แผ่เมตตา | |
เมตตากรุณา | เมตตา และ กรุณา ความรักความปรารถนาดีและความสงสาร ความอยากช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ (ข้อแรกในเบญจธรรม) | |
เมตตาจิต | จิตประกอบด้วยเมตตา, ใจมีเมตตา | |
เมตติยะ | ชื่อภิกษุผู้โจทพระทัพพมัลลบุตร คู่กับพระภุมมชกะ | |
เมตติยาภิกษุณี | ภิกษุณีผู้เป็นตัวการรับมอบหมายจากพระเมตติยะและพระภุมมชกะมาเป็นผู้โจทพระทัพพมัลลบุตรด้วยข้อหาปฐมปาราชิก | |
เมตเตยยะ | ดู ศรีอารย-เมตไตรย | |
เมตไตรย | ดู ศรีอารย-เมตไตรย | |
เมถุน | “การกระทำของคนที่เป็นคู่ๆ”, การร่วมสังวาส, การร่วมประเวณี | |
เมถุนวิรัติ | การเว้นจากการร่วมประเวณี | |
เมถุนสังโยค | อาการพัวพันเมถุน, ความประพฤติที่ยังเกี่ยวเนื่องกับเมถุน มี ๗ ข้อ โดยใจความคือ สมณะบางเหล่าไม่เสพเมถุน แต่ยังยินดีในเมถุนสังโยคคือ ชอบการลูบไล้และการนวดของหญิง, ชอบซิกซี้ เล่นหัวสัพยอกกับหญิง, ชอบจ้องดูตากับหญิง, ชอบฟังเสียงหัวเราะขับร้องของหญิง, ชอบนึกถึงการเก่าที่เคยหัวเราะพูดเล่นกับหญิง, เห็นชาวบ้านเขาบำรุงบำเรอกันด้วยกามคุณแล้วปลื้มใจ, หรือแม้แต่ประพฤติพรหมจรรย์ โดยตั้งความปรารถนาที่จะเป็นเทพเจ้า | |
เมทนีดล | พื้นแผ่นดิน | |
เมทฬุปนิคม | นิคมหนึ่งในสักกชนบท | |
เมโท | มันข้น | |
เมท | มันข้น | |
เมธี | นักปราชญ์, คนมีความรู้ | |
เมรัย | น้ำเมาที่ยังไม่ได้กลั่น, น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่ | |
เมรุ | 1. ชื่อภูเขาที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล บางทีเรียกพระสุเมรุ ตามคติของศาสนาฮินดู ถือว่าเป็นบริเวณที่มีสวรรค์อยู่โดยรอบ เช่น สวรรค์ของพระอินทร์อยู่ทางทิศเหนือ ไวกูณฐ์แดนสถิตของพระวิษณุหรือพระนารายณ์อยู่ทางทิศใต้ ไกลาสที่สถิตของพระศิวะหรือพระอิศวรก็อยู่ทางทิศใต้ เหนือยอดเขาพระสุเมรุนั้น คือ พรหมโลก เป็นที่สถิตของพระพรหม; ภูเขานี้เรียกชื่อเป็นภาษาบาลีว่า สิเนรุ และตามคติฝ่ายพระพุทธศาสนา ในชั้นอรรถกถา ยอดเขาสิเนรุเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่สถิตของพระอินทร์ เชิงเขาสิเนรุ ซึ่งหยั่งลึกลงไปในมหาสมุทรเป็นอสูรพิภพ สูงขึ้นไปกึ่งทางระหว่างแดนทั้งสองนั้น เป็นสวรรค์ของท้าวจาตุมหาราช สวรรค์ชั้นอื่นๆ และโลกมนุษย์ เป็นต้น ก็เรียงรายกันอยู่สูงบ้างต่ำบ้าง รอบเขาสิเนรุนี้ (ใน วรรณคดีบาลียุคหลัง เช่น จูฬวงส์ พงศาวดารลังกา เรียก เมรุ และ สุเมรุ อย่างสันสกฤตก็มี) 2. ที่เผาศพ หลังคาเป็นยอด มีรั้วล้อมรอบ ซึ่งคงได้คติจากภูเขาเมรุนั้น | |
แม่หม้ายงานท่าน | พระสนมในรัชกาลก่อนๆ | |
โมกข์ | 1. ความหลุดพ้นจากกิเลส คือนิพพาน 2. ประธาน, หัวหน้า, ประมุข | |
โมกขธรรม | ธรรมนำสัตว์ให้หลุดพ้นจากกิเลส, ความหลุดพ้น, นิพพาน | |
โมคคัลลานะ | ดู มหาโมคคัลลานะ | |
โมคคัลลานโคตร | ตระกูลพราหมณ์ โมคคัลลานะ | |
โมคคัลลี | ชื่อนางพราหมณีผู้เป็นมารดาของพระมหาโมคคัลลานะ | |
โมคคัลลีบุตรติสสเถระ | พระเถระผู้ใหญ่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านได้อาศัยพระบรมราชูปถัมภ์กำจัดพวกเดียรถีย์ที่เข้ามาปลอมบวชในสังฆมณฑล และเป็นประธานในการสังคายนาครั้งที่ ๓ | |
โมฆบุรุษ | บุรุษเปล่า, คนเปล่า, คนที่ใช้การไม่ได้, คนโง่เขลา, คนที่พลาดจากประโยชน์อันพึงได้พึงถึง | |
โมฆราชมาณพ | ศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี ที่ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณ-เจดีย์ ได้บรรลุอรหัตตผลแล้วอุปสมบท เป็นพระมหาสาวกองค์หนึ่ง และได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางทรงจีวรเศร้าหมอง | |
โมทนา | บันเทิงใจ, ยินดี; มักใช้พูดเป็นคำตัดสั้น สำหรับคำว่า อนุโมทนา หมายความว่าพลอยยินดี หรือชื่นชมเห็นชอบในการกระทำนั้นๆ ด้วยเป็นต้น; ดู อนุโมทนา | |
โมไนย | ความเป็นมุนี, ความเป็นปราชญ์, คุณธรรมของนักปราชญ์, ธรรมที่ทำให้เป็นมุนี | |
โมริยกษัตริย์ | กษัตริย์ผู้ครองเมือง ปิปผลิวัน ส่งทูตมาไม่ทันเวลาแจกพระบรมสารีริกธาตุ จึงได้แต่พระอังคารไปสร้างอังคารสตูป ที่เมืองของตน | |
โมลี | จอม, ยอด, ผมที่มุ่นเป็นจอม | |
เมาลี | จอม, ยอด, ผมที่มุ่นเป็นจอม | |
โมหะ | ความหลง, ความไม่รู้ตามเป็นจริง, อวิชชา (ข้อ ๓ ในอกุศลมูล ๓) | |
โมหจริต | พื้นนิสัยที่หนักในโมหะ โง่เขลางมงาย พึงแก้ด้วยให้มีการเรียน การถาม การฟังธรรม สนทนาธรรมตามกาล หรืออยู่กับครู (ข้อ ๓ ในจริต ๖) | |
โมหันธ์ | มืดมนด้วยความหลง, มืดมนเพราะความหลง | |
โมหาคติ | ลำเอียงเพราะเขลา (ข้อ ๓ ในอคติ ๔) | |
โมหาโรปนกรรม | กิริยาที่สวดประกาศยกโทษภิกษุว่า แสร้งทำหลง คือรู้แล้วทำเป็นไม่รู้; เมื่อสงฆ์สวดประกาศแล้ว ยังแกล้งทำไม่รู้อีก ต้องปาจิตตีย์ (สิกขาบทที่ ๓ แห่งสหธรรมิกวรรค ปาจิตติยกัณฑ์) | |
โมโห | โกรธ, ขุ่นเคือง; ตามรูปศัพท์เป็นคำภาษาบาลี ควรแปลว่า “ความหลง” แต่ที่ใช้กันมาในภาษาไทย ความหมายเพี้ยนไปเป็นอย่างข้างต้น | |
ไม่มีสังวาส | ไม่มีธรรมเป็นเหตุอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย, ขาดสิทธิอันชอบธรรม ที่จะถือเอาประโยชน์แห่งความเป็นภิกษุ, ขาดจากความเป็นภิกษุ, อยู่ร่วมกับสงฆ์ไม่ได้ | |
ไมตรี | “คุณชาติ (ความดีงาม) ที่มีในมิตร”, ความเป็นเพื่อน, ความรัก, ความหวังดีต่อกัน, ความเยื่อใยต่อกัน, มิตรธรรม, เมตตา | |
ไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร | ไตรจีวรอยู่กับตัว คืออยู่ในเขตที่ตัวอยู่ | |
ยกนะ | [ยะ-กะ-นะ] ตับ | |
ยชุพเพท | ชื่อคัมภีร์ที่ ๒ แห่งพระเวทในศาสนาพราหมณ์ เป็นตำรับประกอบด้วยมนตร์สำหรับใช้สวดในยัญพิธีและแถลงพิธีทำกิจบูชายัญ เขียนอย่างสันสกฤตเป็น ยชุรเวท; ดู ไตรเพท, เวท | |
ยติ | ผู้สำรวมอินทรีย์, นักพรต, พระภิกษุ | |
ยถาภูตญาณ | ความรู้ตามความเป็นจริง, รู้ตามที่มันเป็น | |
ยถาภูตญาณทัสสนะ | ความรู้ความเห็นตามเป็นจริง | |
ยถาสันถติกังคะ | องค์แห่งผู้ถือการอยู่ในเสนาสนะตามแต่เขาจัดให้ ไม่เลือกเสนาสนะเอาตามพอใจตัวเอง (ข้อ ๑๒ ในธุดงค์ ๑๓) | |
ยม | เทพผู้เป็นใหญ่ประจำโลกของคนตาย | |
ยมกะ | ชื่อภิกษุรูปหนึ่งที่มีความเห็นว่าพระขีณาสพตายแล้วดับสูญ ซึ่งเป็นความเห็นที่ผิด ภายหลังได้พบกับพระสารีบุตร พระสารีบุตรได้เปลื้องท่านจากความเห็นผิดนั้นได้ | |
ยศ | ความเป็นใหญ่และความยกย่องนับถือ; ในภาษาไทย มักได้ยินคำว่า เกียรติยศ ซึ่งบางครั้งมาคู่กับ อิสริยยศ และอาจจะมี ปริวารยศ หรือ บริวารยศ มาเข้าชุดด้วย รวมเป็น ยศ ๓ ประเภท | |
ยศกากัณฑกบุตร | พระเถระองค์สำคัญผู้ชักชวนให้ทำสังคายนาครั้งที่ ๒ หลังพุทธปรินิพพาน ๑๐๐ ปี เดิมชื่อยศ เป็นบุตรกากัณฑกพราหมณ์; ดู สังคายนาครั้งที่ ๒ | |
ยส | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีมีความเป็นอยู่อย่างสุขสมบูรณ์ วันหนึ่งเห็นสภาพในห้องนอนของตนเป็นเหมือนป่าช้า เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย จึงออกจากบ้านไปพบพระพุทธเจ้าที่ป่าอิสิปตน-มฤคทายวัน ในเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาอนุบุพพิกถา และอริยสัจจ์โปรด ยสกุลบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม ต่อมาได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่เศรษฐีบิดาของตน ก็ได้บรรลุอรหัตตผลแล้วขออุปสมบท เป็นภิกษุสาวกองค์ที่ ๖ ของพระพุทธเจ้า | |
ยสะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีมีความเป็นอยู่อย่างสุขสมบูรณ์ วันหนึ่งเห็นสภาพในห้องนอนของตนเป็นเหมือนป่าช้า เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย จึงออกจากบ้านไปพบพระพุทธเจ้าที่ป่าอิสิปตน-มฤคทายวัน ในเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาอนุบุพพิกถา และอริยสัจจ์โปรด ยสกุลบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม ต่อมาได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่เศรษฐีบิดาของตน ก็ได้บรรลุอรหัตตผลแล้วขออุปสมบท เป็นภิกษุสาวกองค์ที่ ๖ ของพระพุทธเจ้า | |
ยสกุลบุตร | พระยสะเมื่อก่อนอุปสมบทเรียกว่ายสกุลบุตร | |
ยโสชะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรหัวหน้าชาวประมง ใกล้ประตูเมืองสาวัตถี ได้ฟังพระธรรมเทศนากปิลสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีความเลื่อมใสขอบวช ต่อมาไปเจริญสมณธรรมที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ได้สำเร็จพระอรหัต | |
ยโสธรา | 1. เจ้าหญิงศากยวงศ์ เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าชยเสนะ เป็นพระมเหสีของพระเจ้าอัญชนะผู้ครองกรุงเทวทหะ เป็นพระมารดาของพระนาง สิริมหามายา และพระนางมหาปชาบดีโคตมี 2. อีกชื่อหนึ่งว่า พิมพา เป็นเจ้าหญิงแห่งเทวทหนคร เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นพระชายาของพระสิทธัตถะ เป็นมารดาของพระราหุล ต่อมาออกบวช เรียกชื่อว่า พระภัททากัจจานา | |
ยอพระเกียรติ | ชื่อประเภทหนังสือที่แต่งเชิดชูเกียรติของพระมหากษัตริย์ให้สูงเด่น | |
ยักยอก | เอาทรัพย์ของผู้อื่นที่อยู่ในความรักษาของตนไปโดยทุจริต | |
ยักษ์ | มีความหมายหลายอย่าง แต่ที่ใช้บ่อยหมายถึงอมนุษย์พวกหนึ่งเป็นบริวารของท้าวกุเวร หรือเวสสวัณ, ตามที่ถือกันมาว่ามีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัวมีเขี้ยวงอกโง้ง ชอบกินมนุษย์กินสัตว์ โดยมากมีฤทธิ์เหาะได้ จำแลงตัวได้ | |
ยักษิณี | นางยักษ์ | |
ยัญ | การเซ่น, การบูชา, การบวงสรวงชนิดหนึ่งของพราหมณ์ เช่น ฆ่าสัตว์บูชาเทพเจ้าเพื่อให้ตนพ้นเคราะห์ร้ายเป็นต้น | |
ยัญพิธี | พิธีบูชายัญ | |
ยาคุภาชกะ | ภิกษุผู้ได้รับสมมติคือแต่งตั้งจากสงฆ์ให้เป็นผู้มีหน้าที่แจกยาคู | |
ยาคู | ข้าวต้ม, เป็นอาหารเบาสำหรับฉันรองท้องก่อนถึงเวลาฉันอาหารหนัก เป็นของเหลว ดื่มได้ ซดได้ ไม่ใช่ของฉันให้อิ่ม เช่น ภิกษุดื่มยาคูก่อนแล้วไปบิณฑบาต ยาคูสามัญอย่างนี้ ที่จริงจะแปลว่าข้าวต้มหาถูกแท้ไม่ แต่แปลกันมาอย่างนั้นพอให้เข้าใจง่ายๆ ข้าวต้มที่ฉันเป็นอาหารมื้อหนึ่งได้อย่างที่ฉันกันอยู่โดยมากมีชื่อเรียกต่างออกไปอีกอย่างหนึ่งว่า โภชชยาคู | |
ยาจก | ผู้ขอ, คนขอทาน, คนขอทานโดยไม่มีอะไรแลกเปลี่ยน | |
ยาตรา | เดิน, เดินเป็นกระบวน | |
ยาน | เครื่องนำไป, พาหนะต่างๆ เช่น รถ, เรือ, เกวียน เป็นต้น | |
ยาม | คราว, เวลา, ส่วนแห่งวันคืน | |
ยามะ | สวรรค์ชั้นที่ ๓ มีท้าว สุยามเทพบุตรปกครอง | |
ยามา | สวรรค์ชั้นที่ ๓ มีท้าว สุยามเทพบุตรปกครอง | |
ยามกาลิก | ของที่ให้ฉันได้ ชั่วระยะวันหนึ่ง กับคืนหนึ่ง; ดู กาลิก | |
ยาวกาลิก | ของที่อนุญาตให้ฉันได้ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน; ดู กาลิก | |
ยาวชีวิก | ของที่ให้ฉันได้ไม่จำกัดเวลาตลอดชีวิต; ดู กาลิก | |
ยาวตติยกะ | แปลว่า “ต้องอาบัติเมื่อสวดสมนุภาสน์จบครั้งที่ ๓” หมายความว่า เมื่อภิกษุล่วงละเมิดสิกขาบทเข้าแล้วยังไม่ต้องอาบัติ ต่อเมื่อสงฆ์สวดประกาศสมนุภาสน์หนที่ ๓ จบแล้ว จึงจะต้องอาบัตินั้น ได้แก่ สังฆาทิเสสข้อที่ ๑๐, ๑๑, ๑๒, ๑๓ และสิกขาบทที่ ๘ แห่งสัปปาณกวรรคใน ปาจิตติยกัณฑ์; คู่กับ ปฐมาปัตติกะ | |
ยินร้าย | ไม่พอใจ, ไม่ชอบใจ | |
ยี่ | สอง โบราณเขียน ญี่ เดือนยี่ ก็คือเดือนที่สองต่อจากเดือนอ้ายอันเป็นเดือนที่หนึ่ง | |
ยุกติ | ชอบ, ถูกต้อง, สมควร | |
ยุค | คราว, สมัย | |
ยุคล | คู่, ทั้งสอง | |
ยุคลบาท | เท้าทั้งสอง, เท้าทั้งคู่ | |
บาทยุคล | เท้าทั้งสอง, เท้าทั้งคู่ | |
ยุติธรรม | ความเที่ยงธรรม, ความชอบธรรม, ความชอบด้วยเหตุผล | |
ยุทธนา | การรบพุ่ง, การต่อสู้กัน | |
ยุบล | ข้อความ, เรื่องราว | |
ยุพราช | พระราชกุมารที่ได้รับอภิเษกหรือแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งที่จะสืบราช-สมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบไป | |
เยภุยยสิกา | กิริยาเป็นไปตามข้างมากได้แก่ วิธีตัดสินอธิกรณ์ โดยถือเอาตามคำของคนข้างมาก เช่น วิธีจับสลากเพื่อชี้ข้อผิดถูก ข้างไหนมีภิกษุผู้ร่วมพิจารณาลงความเห็นมากกว่า ก็ถือเอาพวกข้างนั้น เป็นวิธีอย่างเดียวกับการโหวตคะแนนเสียง, ใช้สำหรับระงับวิวาทาธิกรณ์; ดู อธิกรณสมถะ | |
เยวาปนกธรรม | “ก็หรือว่าธรรมแม้อื่นใด” หมายถึงธรรมจำพวกที่กำหนดแน่ไม่ได้ว่าข้อไหนจะเกิดขึ้น ได้แก่ เจตสิก ๑๖ เป็นพวกที่เกิดในกุศลจิต ๙ คือ ๑. ฉันทะ ๒. อธิโมกข์ ๓. มนสิการ ๔. อุเบกขา (ตัตรมัชฌัตตตา) ๕. กรุณา ๖. มุทิตา ๗. สัมมาวาจา (วจีทุจริตวิรัติ) ๘. สัมมากัมมันตะ (กายทุจริตวิรัติ) ๙. สัมมาอาชีวะ (มิจฉาชีววิรัติ) เป็นพวกที่เกิดในอกุศลจิต ๑๐ คือ ๑. ฉันทะ ๒. อธิโมกข์ ๓. มนสิการ ๔. มานะ ๕. อิสสา ๖. มัจฉริยะ ๗. ถีนะ ๘. มิทธะ ๙. อุทธัจจะ ๑๐. กุกกุจจะ นับเฉพาะที่ไม่ซ้ำ (คือเว้น ๓ ข้อแรก) เป็น ๑๖ | |
เยี่ยง | อย่าง, แบบ, เช่น | |
โยคะ | 1. กิเลสเครื่องประกอบ คือประกอบสัตว์ไว้ในภพ หรือผูกสัตว์ดุจเทียมไว้กับแอก มี ๔ คือ ๑. กาม ๒.ภพ ๓. ทิฏฐิ ๔. อวิชชา 2. ความเพียร โยคเกษม, โยคเกษมธรรม ธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ” ความหมายสามัญว่าความปลอดโปร่งโล่งใจหรือสุขกายสบายใจ เพราะปราศจากภัยอันตรายหรือล่วงพ้นสิ่งที่น่าพรั่นกลัว มาถึงสถานที่ปลอดภัย; ในความหมายขั้นสูงสุด มุ่งเอาพระนิพพาน อันเป็นธรรมที่เกษมคือโปร่งโล่งปลอดภัยจากโยคกิเลสทั้ง ๔ จำพวก; ดู โยคะ, เกษมจากโยคธรรม | |
โยคธรรม | ธรรมคือกิเลสเครื่องประกอบ ในข้อความว่า “เกษมจากโยคธรรม” คือความพ้นภัยจากกิเลส; ดู โยคะ | |
โยคักเขมะ | ดู โยคเกษม | |
โยคาวจร | ผู้หยั่งลงสู่ความเพียร, ผู้ประกอบความเพียร, ผู้เจริญภาวนา คือกำลังปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน เขียน โยคาพจร ก็มี | |
โยคี | ฤษี, ผู้ปฏิบัติตามลัทธิโยคะ; ผู้ประกอบความเพียร; ดู โยคาวจร | |
โยชน์ | ชื่อมาตราวัดระยะทาง เท่ากับ ๔ คาวุต หรือ ๔๐๐ เส้น | |
โยธา | ทหาร, นักรบ | |
โยนิ | กำเนิดของสัตว์ มี ๔ จำพวก คือ ๑. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น คน แมว ๒. อัณฑชะ เกิดในไข่ เช่น นก ไก่ ๓. สังเสทชะ เกิดในไคล คือที่ชื้นแฉะสกปรก เช่น หนอนบางอย่าง ๔. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น เช่น เทวดา สัตว์นรก | |
โยนิโส | โดยแยบคาย, โดยถ่องแท้, โดยวิธีที่ถูกต้อง, ตั้งแต่ต้นตลอดสาย, โดยตลอด | |
โยนิโสมนสิการ | การทำในใจโดยแยบคาย, กระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย, การพิจารณาโดยแยบคาย คือพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริงโดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยหรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่ว ยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบ ซึ่งจะมิให้เกิดอวิชชาและตัณหา, ความรู้จักคิด, คิดถูกวิธี; เทียบ อโยนิโสมนสิการ | |
โยม | คำที่พระสงฆ์ใช้เรียกคฤหัสถ์ที่เป็นบิดามารดาของตน หรือที่เป็นผู้ใหญ่คราวบิดามารดา บางทีใช้ขยายออกไป เรียกผู้มีศรัทธาซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงพระศาสนา โดยทั่วไปก็มี; คำใช้แทนชื่อบิดามารดาของพระสงฆ์; สรรพนามบุรุษที่ ๑ สำหรับบิดามารดาพูดกะพระสงฆ์ (บางทีผู้ใหญ่คราวบิดามารดา หรือผู้เกื้อกูลคุ้นเคยก็ใช้) | |
โยมวัด | คฤหัสถ์ที่อยู่ปฏิบัติพระในวัด | |
โยมสงฆ์ | คฤหัสถ์ผู้อุปการะพระทั่วๆ ไป | |
โยมอุปัฏฐาก | คฤหัสถ์ที่แสดงตนเป็นผู้อุปการะพระสงฆ์โดยเจาะจง อุปการะรูปใด ก็เป็นโยมอุปัฏฐากของรูปนั้น | |
รจนา | แต่ง, ประพันธ์ เช่น อาจารย์ผู้รจนาอรรถกถา คือผู้แต่งอรรถกถา | |
รตนะ | ดู รัตนะ | |
รตนวรรค | ตอนที่ว่าด้วยเรื่องรัตนะเป็นต้น เป็นวรรคที่ ๙ แห่งปาจิตติยกัณฑ์ ในมหาวิภังค์ พระวินัยปิฎก | |
รตนวรรคสิกขาบท | สิกขาบทในรตนวรรค | |
รติ | ความยินดี | |
ร่ม | สำหรับพระภิกษุ ห้ามใช้ร่มที่กาววาว เช่น ร่มปักด้วยไหมสีต่างๆ และร่มที่มีระบายเป็นเฟือง ควรใช้ของเรียบๆ ซึ่งทรงอนุญาตให้ใช้ได้ในวัดและอุปจาระแห่งวัด ห้ามกั้นร่มเข้าบ้าน หรือกั้นเดินตามถนนหนทางในละแวกบ้าน เว้นแต่เจ็บไข้ ถูกแดดถูกฝนอาพาธจะกำเริบ เช่น ปวดศีรษะ ตลอดจน (ตามที่อรรถกถาผ่อนผันให้) กั้นเพื่อกันจีวรเปียกฝนในเวลาฝนตก กั้นเพื่อป้องกันภัย กั้นเพื่อรักษาตัว เช่นในเวลาแดดจัด | |
รมณีย์ | น่าบันเทิงใจ, น่ารื่นรมย์, น่าสนุก | |
รส | อารมณ์ที่รู้ได้ด้วยลิ้น (ข้อ ๔ ในอารมณ์ ๖), โดยปริยาย หมายถึงความรู้สึกชอบใจ | |
รองเท้า | ในพระวินัยกล่าวถึงรองเท้าไว้ ๒ ชนิดคือ ๑. ปาทุกา แปลกันว่า “เขียงเท้า” (รองเท้าไม้หรือเกี๊ยะ) ซึ่งรวมไปถึงรองเท้าโลหะ รองเท้าแก้ว หรือรองเท้าประดับแก้วต่างๆ ตลอดจนรองเท้าสาน รองเท้าถักหรือปักต่างๆ สำหรับพระภิกษุห้ามใช้ปาทุกาทุกอย่าง ยกเว้นปาทุกาไม้ที่ตรึงอยู่กับที่สำหรับถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะและเป็นที่ชำระขึ้นเหยียบได้ ๒. อุปาหนา รองเท้าสามัญ สำหรับพระภิกษุทรงอนุญาตรองเท้าหนังสามัญ (ถ้าชั้นเดียว หรือมากชั้นแต่เป็นของเก่าใช้ได้ทั่วไป ถ้ามากชั้นเป็นของใหม่ ใช้ได้เฉพาะแต่ในปัจจันต-ชนบท) มีสายรัด หรือใช้คีบด้วยนิ้วไม่ปกหลังเท้า ไม่ปกส้น ไม่ปกแข้ง นอกจากนั้น ตัวรองเท้าก็ตาม หูหรือสายรัดก็ตาม จะต้องไม่มีสีที่ต้องห้าม (คือ สีขาบ เหลือง แดง บานเย็น แสด ชมพู ดำ) ไม่ขลิบด้วยหนังสัตว์ที่ต้องห้าม (คือ หนังราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง ชะมด นาค แมว ค่าง นกเค้า) ไม่ยัดนุ่น ไม่ตรึงหรือประดับด้วยขนนกกระทา ขนนกยูง ไม่มีหูเป็นช่อดังเขาแกะเขาแพะหรือง่ามแมลงป่อง รองเท้าที่ผิดระเบียบเหล่านี้ถ้าแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว เช่น สำรอกสีออก เอาหนังที่ขลิบออกเสีย เป็นต้น ก็ใช้ได้ รองเท้าที่ถูกลักษณะทรงอนุญาตให้ใช้ได้ในวัด ส่วนที่มิใช่ต้องห้ามและในป่า ห้ามสวมเข้าบ้าน และถ้าเป็นอาคันตุกะเข้าไปในวัดอื่นก็ให้ถอด ยกเว้นแต่ฝ่าเท้าบางเหยียบพื้นแข็งแล้วเจ็บ หรือในฤดูร้อน พื้นร้อนเหยียบแล้วเท้าพอง หรือในฤดูฝนไปในที่แฉะภิกษุผู้อาพาธด้วยโรคกษัยสวมกันเท้าเย็นได้ | |
ร้อยกรอง | ได้แก่ดอกไม้ที่ร้อยถักเป็นตา เป็นผืนที่เรียกว่าตาข่าย | |
ร้อยคุม | คือเอาดอกไม้ร้อยเป็นสายแล้วควบหรือคุมเข้าเป็นพวง เช่น พวงอุบะสำหรับห้อยปลายภู่ หรือสำหรับห้อยตามลำพังเช่น พะวง “ภู่สาย” เป็นตัวอย่าง; ร้อยควบ ก็เรียก | |
ร้อยตรึง | คือเอาดอกไม้เช่นดอกมะลิ เป็นต้น เสียบเข้าในระหว่างใบตองที่เจียนไว้ แล้วตรึงให้ติดกันโดยรอบ แล้วร้อยประสมเข้ากับอย่างอื่นเป็นพวง เช่น พวงภู่ชั้นเป็นตัวอย่าง | |
ร้อยผูก | คือช่อดอกไม้และกลุ่มดอกไม้ที่เขาเอาไม้เสียบก้านดอกไม้แล้วเอาด้ายพันหรือผูกทำขึ้น | |
ร้อยวง | คือดอกไม้ที่ร้อยสวมดอกหรือร้อยแทงก้านเป็นสาย แล้วผูกเข้าเป็นวงนี้คือพวงมาลัย | |
ร้อยเสียบ | คือดอกไม้ที่ร้อยสวมดอก เช่น สายอุบะ หรือพวงมาลัย มีพวงมาลัยดอกปีบและดอกกรรณิการ์เป็นต้น หรือดอกไม้ที่ใช้เสียบไม้ เช่นพุ่มดอกพุทธชาด พุ่มดอกบานเย็นเป็นตัวอย่าง | |
ระยะบ้านหนึ่ง | ในประโยคว่า “โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง เป็นปาจิตติยะ” ระยะทางชั่วไก่บินถึง แต่ในที่คนอยู่คับคั่ง ให้กำหนดตามเครื่องกำหนดที่มีอยู่โดยปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง (เช่นชื่อหมู่บ้าน) | |
ระลึกชอบ | ดู สัมมาสติ | |
รักขิตวัน | ชื่อป่าที่พระพุทธเจ้าเสด็จหลีกไปสำราญพระอิริยาบถเมื่อสงฆ์เมือง โกสัมพีแตกกัน; ดู ปาริเลยยกะ | |
รังสฤษฏ์ | สร้าง, แต่งตั้ง | |
รังสี | แสง, แสงสว่าง, รัศมี | |
รัชกาล | เวลาครองราชสมบัติแห่งพระราชาองค์หนึ่งๆ | |
รัชทายาท | ผู้จะสืบราชสมบัติ, ผู้จะได้ครองราชสมบัติสืบต่อไป | |
รัฏฐานุบาลโนบายราชธรรม | ธรรมของพระราชา ซึ่งเป็นวิธีปกครองบ้านเมือง, หลักธรรมสำหรับพระราชาใช้เป็นแนวปกครองบ้านเมือง | |
รัฏฐปาสะ | ดู รัฐบาล | |
รัฐชนบท | ชนบทคือแว่นแคว้น | |
รัฐบาล | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรแห่งตระกูลหัวหน้าในถุลลโกฏฐิตนิคมในแคว้นกุรุ ฟังธรรมแล้วมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ลาบิดา มารดาบวช แต่ไม่ได้รับอนุญาต เสียใจมาก และอดอาหารจะได้ตายเสีย บิดามารดาจึงต้องอนุญาต ออกบวชแล้วไม่นานก็ได้สำเร็จพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางบวชด้วยศรัทธา | |
รัตตัญญู | ผู้รู้ราตรี คือผู้เก่าแก่ รู้กาลนานมีประสบการณ์มาก รู้เหตุการณ์มาแต่ต้น เช่นพระอัญญาโกณฑัญญะได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู | |
รัตติกาล | เวลากลางคืน | |
รัตติเฉท | การขาดราตรี หมายถึงเหตุขาดราตรีแห่งมานัต หรือปริวาส; สำหรับมานัต มี ๔ คือ ๑. สหวาโส อยู่ร่วม ๒. วิปฺปวาโส อยู่ปราศ ๓. อนาโรจนา ไม่บอก ๔. อูเน คเณ จรณํ ประพฤติในคณะอันพร่อง; สำหรับปริวาส มี ๓ คือ ๑. สหวาโส อยู่ร่วม ๒. วิปฺปวาโส อยู่ปราศ ๓. อนาโรจนา ไม่บอก เมื่อขาดราตรีในวันใด ก็นับวันนั้นเข้าในจำนวนวันที่จะต้องอยู่ปริวาสหรือประพฤติมานัตนั้นไม่ได้; ดูความหมายที่คำนั้นๆ | |
รัตน์ | แก้ว, ของวิเศษหรือมีค่ามาก, สิ่งประเสริฐ, สิ่งมีค่าสูงยิ่ง เช่น พระรัตนตรัย และรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ; ในประโยคว่า “ที่รัตนะยังไม่ออก เป็นปาจิตติยะ” หมายถึงพระมเหสี, พระราชินี | |
รัตนะ | แก้ว, ของวิเศษหรือมีค่ามาก, สิ่งประเสริฐ, สิ่งมีค่าสูงยิ่ง เช่น พระรัตนตรัย และรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ; ในประโยคว่า “ที่รัตนะยังไม่ออก เป็นปาจิตติยะ” หมายถึงพระมเหสี, พระราชินี | |
รัตนฆรเจดีย์ | เจดีย์คือเรือนแก้ว อยู่ทางทิศตะวันตกของรัตนจงกรมเจดีย์ หรือทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้นพระศรี-มหาโพธิ์ ณ ที่นี้พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาพระอภิธรรมปิฎกสิ้น ๗ วัน (สัปดาห์ที่ ๔ แห่งการเสวยวิมุตติสุข); ดู วิมุตติสุข | |
รัตนจงกรมเจดีย์ | เจดีย์คือที่จงกรมแก้ว อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ระหว่างต้นพระศรีมหาโพธิ์ กับอนิมิสเจดีย์ ณ ที่นี้พระพุทธเจ้าเสด็จจงกรมตลอด ๗ วัน (สัปดาห์ที่ ๓ แห่งการเสวยวิมุตติสุข); ดู วิมุตติสุข | |
รัตนตรัย | แก้ว ๓ ดวง, สิ่งมีค่าและเคารพบูชาสูงสุดของพุทธศาสนิกชน ๓ อย่าง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ | |
รัตนบัลลังก์ | บัลลังก์ที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งตรัสรู้, ที่ประทับใต้ต้นพระ ศรีมหาโพธิ | |
รัศมี | แสงสว่าง, แสงที่เห็นกระจายออกเป็นสายๆ, แสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดกลาง; เขียนอย่างบาลีเป็น รังสี แต่ในภาษาไทยใช้ในความหมายที่ต่างกันออกไปบ้าง | |
รัสสะ | สระอันพึงว่าโดยระยะสั้นกึ่งหนึ่งแห่งสระยาว ได้แก่ อ อิ อุ; คู่กับ ทีฆะ | |
รากขวัญ | ส่วนของร่างกายที่เรียกว่าไหปลาร้า; ตำนานกล่าวว่า ในบรรดาพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายนั้น พระรากขวัญเบื้องขวาขึ้นไปประดิษฐานอยู่ในจุฬามณีเจดีย์ ณ ดาวดึงสเทวโลก พระรากขวัญเบื้องซ้าย ขึ้นไปประดิษ-ฐานอยู่ในทุสสเจดีย์ (เจดีย์ที่ฆฏิการพรหมสร้างขึ้นไว้ก่อนแล้ว ให้เป็นที่บรรจุพระภูษาเครื่องทรงในฆราวาสที่พระโพธิสัตว์สละในคราวเสด็จออกบรรพชา) ณ พรหมโลก | |
ราคะ | ความกำหนัด, ความยินดีในกาม, ความติดใจหรือความย้อมใจติดอยู่ในอารมณ์ | |
ราคจริต | พื้นนิสัยที่หนักในราคะ เช่น รักสวย รักงาม แก้ด้วยเจริญกายคตาสติ หรืออสุภกัมมัฏฐาน (ข้อ ๑ ในจริต ๖) | |
ราคา | ชื่อลูกสาวพระยามาร อาสาพระยามารเข้าไปประโลมพระพุทธเจ้าด้วยอาการต่างๆ พร้อมด้วยนางตัณหาและนางอรดี ในขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ หลังจากตรัสรู้ | |
ราคี | ผู้มีความกำหนัด; มลทิน, เศร้าหมอง, มัวหมอง | |
ราชการ | กิจการงานของประเทศ หรือของพระเจ้าแผ่นดิน, หน้าที่หลั่งความยินดีแก่ประชาชน | |
ราชกุมาร | ลูกหลวง | |
ราชคฤห์ | นครหลวงของแคว้นมคธ เป็นนครที่มีความเจริญรุ่งเรือง เต็มไปด้วยคณาจารย์เจ้าลัทธิ พระพุทธเจ้าทรงเลือกเป็นภูมิที่ประดิษฐานพระพุทธ-ศาสนาเป็นปฐม พระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งแคว้นมคธ ครองราชสมบัติ ณ นครนี้ | |
ราชทัณฑ์ | โทษหลวง, อาญาหลวง | |
ราชเทวี | พระมเหสี, นางกษัตริย์ | |
ราชธรรม | ธรรมสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน, คุณสมบัติของนักปกครองที่ดี สามารถปกครองแผ่นดินโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความชื่นชมยินดี มี ๑๐ ประการ (นิยมเรียกว่า ทศพิธราชธรรม) คือ ๑. ทาน การให้ทรัพย์สินสิ่งของ ๒. ศีล ประพฤติดีงาม ๓. ปริจจาคะ ความเสียสละ ๔. อาชชวะ ความซื่อตรง ๕. มัททวะ ความอ่อนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดชเผากิเลสตัณหา ไม่หมกมุ่นในความสุขสำราญ ๗. อักโกธะ ความไม่กริ้วโกรธ ๘. อวิหิงสา ความไม่ข่มเหงเบียดเบียน ๙. ขันติ ความอดทนเข้มแข็งไม่ท้อถอย ๑๐. อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม | |
ราชธานี | เมืองหลวง, นครหลวง | |
ราชิธิดา | ลูกหญิงของพระเจ้าแผ่นดิน | |
ราชนิเวศน์ | ที่อยู่ของพระเจ้าแผ่นดิน, พระราชวัง | |
ราชบริวาร | ผู้แวดล้อมพระราชา, ผู้ห้อมล้อมติดตามพระราชา | |
ราชบุตร | ลูกชายของพระเจ้าแผ่นดิน | |
ราชบุตรี | ลูกหญิงของพระเจ้าแผ่นดิน | |
ราชบุรุษ | คนของพระเจ้าแผ่นดิน | |
ราชพลี | ถวายเป็นหลวง มีเสียภาษีอากรเป็นต้น (ข้อ ๔ แห่งพลี ๕ ในโภค- อาทิยะ ๕) | |
ราชภฏี | ราชภัฏหญิง, ข้าราชการหญิง | |
ราชภัฏ | ผู้อันพระราชาเลี้ยง คือ ข้าราชการ | |
ราชวโรงการ | คำสั่งของพระราชา | |
ราชสมบัติ | สมบัติของพระราชา, สมบัติคือความเป็นพระราชา | |
ราชสังคหวัตถุ | สังคหวัตถุของพระราชา, หลักการสงเคราะห์ประชาชนของนักปกครอง มี ๔ คือ ๑. สัสสเมธะ ฉลาดบำรุงธัญญาหาร ๒. ปุริสเมธะ ฉลาดบำรุงข้าราชการ ๓. สัมมาปาสะ ผูกผสานรวมใจประชา (ด้วยการส่งเสริมสัมมาชีพให้คนจนตั้งตัวได้) ๔. วาชไปยะ มีวาทะดูดดื่มใจ | |
ราชสาสน์ | หนังสือทางราชการของพระราชา | |
ราชอาสน์ | ที่นั่งสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน | |
ราชา | “ผู้ยังเหล่าชนให้อิ่มเอมใจ” หรือ “ผู้ทำให้คนอื่นมีความสุข”, พระเจ้าแผ่นดิน, ผู้ปกครองประเทศ | |
ราชาณัติ | คำสั่งของพระราชา | |
ราชาธิราช | พระราชาผู้เป็นใหญ่กว่าพระราชาอื่นๆ | |
ราชาภิเษก | พระราชพิธีในการขึ้นสืบราช-สมบัติ | |
ราชายตนะ | ไม้เกต อยู่ทางทิศใต้แห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ ที่นี้พระพุทธเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน พ่อค้า ๒ คน คือ ตปุสสะกับภัลลิกะ ซึ่งมาจากอุกกลชนบท ได้พบพระพุทธเจ้าที่นี่; ดู วิมุตติสุข | |
ราชูปถัมภ์ | การที่พระราชาทรงเกื้อกูลอุดหนุน | |
ราชูปโภค | เครื่องใช้สอยของพระราชา | |
ราโชวาท | คำสั่งสอนของพระราชา | |
ราตรี | กลางคืน, เวลามืดค่ำ | |
ราธะ | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เดิมเป็นพราหมณ์ในเมืองราชคฤห์ เมื่อชราลงถูกบุตรทอดทิ้ง อยากจะบวชก็ไม่มีภิกษุรับบวชให้ เพราะเห็นว่าเป็นคนแก่เฒ่า ราธะเสียใจ ร่างกายซูบซีด พระศาสดาทรงทราบจึงตรัสถามว่า มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง พระสารีบุตรระลึกถึงภิกษาทัพพีหนึ่งที่ราธะถวาย จึงรับเป็นอุปัชฌาย์ และราธะได้เป็นบุคคลแรกที่อุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม-วาจา ท่านบวชแล้วไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัต พระราธะเป็นผู้ว่าง่าย ตั้งใจรับฟังคำสั่งสอน มีความสุภาพอ่อนโยน เป็นตัวอย่างของภิกษุผู้บวชเมื่อแก่ ทั้งพระพุทธเจ้าและพระสารีบุตรก็ชมท่าน ท่านเคยได้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า เคยทำหน้าที่เป็นพุทธอุปฐาก ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางก่อให้เกิดปฏิภาณ | |
รามคาม | นครหลวงของแคว้นโกลิยะ บัดนี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล เป็นที่ประดิษฐานสถูปบรรจุพระบรม-สารีริกธาตุแห่งหนึ่ง | |
รามัญนิกาย | นิกายมอญ หมายถึงพระสงฆ์ผู้สืบเชื้อสายมาจากรามัญประเทศ ส่วนมากเป็นมอญเองด้วยโดยสัญชาติ | |
รามัญวงศ์ | ชื่อนิกายพระสงฆ์ลังกาที่บวชจากพระสงฆ์มอญ | |
รามายณะ | เรื่องราวของพระราม ว่าด้วยเรื่องศึกระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ พระฤษีวาลมีกิเป็นผู้แต่ง เป็นที่มาเรื่องรามเกียรติ์ของไทย | |
ราศี | 1. ชื่อมาตราวัดจักรราศีคือ ๓๐ องศาเป็น ๑ ราศี และ ๑๒ ราศีเป็น ๑ รอบจักรราศี (อาณาเขตโดยรอบดวงอาทิตย์ที่ดาวพระเคราะห์เดิน); ราศี ๑๒ นั้น คือ ราศีเมษ (แกะ), พฤษภ (วัว), เมถุน (คนคู่), กรกฏ (ปู), สิงห์ (ราชสีห์), กันย์ (หญิงสาว) ตุล (คั่นชั่ง), พฤศจิก (แมลงป่อง), ธนู (ธนู), มกร (มังกร), กุมภ์ (หม้อน้ำ) มีน (ปลา ๒ ตัว) 2. อาการที่รุ่งเรือง, ลักษณะที่ดีงาม 3. กอง เช่น บุญราศี ว่ากองบุญ | |
ราหุล | พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ คราวพระพุทธเจ้า เสด็จนครกบิลพัสดุ์ ราหุลกุมารเข้าเฝ้าทูลขอทายาทสมบัติตามคำแนะนำของพระมารดา พระพุทธเจ้าจะประทานอริยทรัพย์ จึงให้พระสารีบุตรบวชราหุลเป็นสามเณร นับเป็นสามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมาได้อุปสมบทเป็นภิกษุได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา อรรถกถาว่าพระราหุลปรินิพพานในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก่อนพุทธปรินิพพานและก่อนการปรินิพพานของพระสารีบุตร | |
ริบราชบาทว์ | เอาเป็นของหลวงตามกฎหมาย เพราะเจ้าของต้องโทษแผ่นดิน | |
ริษยา | ความไม่อยากให้คนอื่นได้ดี, เห็นเขาได้ดีทนอยู่ไม่ได้, เห็นผู้อื่นได้ดีไม่สบายใจ, คำเดิมในสันสกฤตเป็น อีรฺษาบาลีใช้ว่า อิสฺสา (ข้อ ๓ ในมละ ๙; ข้อ ๘ ในสังโยชน์ ๑๐ หมวด ๒; ข้อ ๗ ในอุปกิเลส ๑๖) | |
รุกข์ | ต้นไม้ | |
รุกขชาติ | ต้นไม้ | |
รุกขมูลิกังคะ | องค์แห่งผู้ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร ไม่อยู่ในที่มุงบัง (ข้อ ๙ ในธุดงค์ ๑๓) | |
รุจิ | ความชอบใจ | |
รูป | 1. สิ่งที่ต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่างๆ อันขัดแย้ง, สิ่งที่เป็นรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะอาการของมัน, ส่วนร่างกาย จำแนกเป็น ๒๘ คือ มหาภูต หรือ ธาตุ ๔ และ อุปาทายรูป ๒๔ (= รูปขันธ์ในขันธ์ ๕) 2. อารมณ์ที่รู้ได้ด้วยจักษุ, สิ่งที่ปรากฏแก่ตา (ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรือในอายตนะภายนอก ๖) 3. ลักษณ-นามใช้เรียกพระภิกษุสามเณร เช่น ภิกษุรูปหนึ่ง สามเณร ๕ รูป; ในภาษาพูดบางแห่งนิยมใช้ องค์ | |
รูปกัมมัฏฐาน | กรรมฐานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ | |
รูปกาย | ประชุมแห่งรูปธรรม, กายที่เป็นส่วนรูป โดยใจความได้แก่รูปขันธ์หรือร่างกาย; เทียบ นามกาย | |
รูปฌาน | ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ มี ๔ คือ ๑. ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ วิตก (ตรึก) วิจาร (ตรอง) ปีติ (อิ่มใจ) สุข (สบายใจ) เอกัคคตา (จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง) ๒. ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ คือ ปีติ, สุข เอกัคคตา ๓. ตติยฌาน ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ สุข, เอกัคคตา ๔. จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา, เอกัคคตา | |
รูปตัณหา | ความอยากในรูป | |
รูปธรรม | สิ่งที่มีรูป, สภาวะที่เป็นรูป; คู่กับ นามธรรม | |
รูปนันทา | พระราชบุตรีของพระเจ้า สุทโธทนะและพระนางปชาบดีโคตมี เป็นพระกนิฏฐภคินีต่างพระมารดาของพระสิทธัตถะ | |
รูปพรรณ | เงินทองที่ทำเป็นเครื่องใช้หรือเครื่องประดับ, ลักษณะ, รูปร่าง และสี | |
รูปพรหม | พรหมในชั้นรูปภพ, พรหมที่เกิดด้วยกำลังรูปฌาน มี ๑๖ ชั้น; ดู พรหมโลก | |
รูปภพ | โลกเป็นที่อยู่ของพวกพรหม; ดู พรหมโลก | |
รูปราคะ | ความติดใจในรูปธรรม คือ ติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต (ข้อ ๖ ในสังโยชน์ ๑๐) | |
รูปวิจาร | ความตรองในรูป เกิดต่อจากรูปวิตก | |
รูป |